มันคงเป็เื่โกหกที่จะบอกว่านางไม่มีความสุขกับการกำจัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย แต่มู่จื่อหลิงกลับมีความสุขเพียงชั่วครู่
ทันใดนั้น นางรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พลุ่งพล่านจากจุดที่บั้นท้ายของนางนั่งอยู่ บั้นท้ายของนางเริ่มร้อนและเจ็บ
ในขณะนี้ ลมร้อนและควันสีขาวได้เริ่มพลุ่งพล่านออกมาจากรูชั้นด้านล่างของหม้อนึ่ง โดยไม่ต้องคิดก็ทราบได้ทันทีว่าน้ำด้านล่างกำลังจะเดือด
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตูดของตนถูกเผาไหม้ อีกทั้งนางยังเกรงว่าหวงอีจะกลับมาอย่างกะทันหัน มู่จื่อหลิงจึงไม่กล้ารอช้า นางรีบลุกขึ้นยืน ปีนลงบันไดข้างหม้อนึ่งทันที
ช่างเสี่ยงอะไรเช่นนี้! มู่จื่อหลิงลงจากบันได เห็นไฟที่ลุกโชนอยู่ใต้หม้อนึ่ง นางถึงกับกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
หากนางไม่จัดการกับหลานหนิงได้เร็วถึงเพียงนี้ นางนึกภาพไม่ออกเลยว่านางจะต้องทรมานกับ่เวลาแห่งชีวิตและความตายเป็ครั้งที่สามหรือไม่
ถูกนึ่งทั้งเป็! ครั้งนี้ต้องเป็แบบที่นางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน น่ากลัวยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมู่จื่อหลิงหันกลับมา กำลังจะจากไป นางสังเกตเห็นร่างในชุดเหลืองยืนพิงผาลึกอยู่ไม่ไกล มือข้างหนึ่งโบกแส้ยาวด้วยรอยยิ้มน่ากลัว จ้องมองนางเขม็ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ร่างมู่จื่อหลิงก็เซไปอย่างกะทันหัน แทบล้มลง
สลดใจยิ่งนัก! นางยังมิได้ยกเท้าหนีก็ถูกพบเข้าเสียแล้ว
หวงอีปรากฏตัวอย่างเงียบๆ เป็อีกครั้งที่นางทำตนดั่งตั๊กแตนจับจักจั่น
ที่น่าโมโหที่สุดคือนกขมิ้นยังเป็ตัวเดิม [1]
ิญญาเ้านกกระจอกบ้านี่ช่างอืดอาดเสียจริง [2]
ประตูปีศาจตดหมา [3] อะไรกัน? โชคดีบ้าอะไรกัน? นางจะโชคดีสักครั้งไม่ได้เลยหรือ?
จิติญญาตกต่ำ โชคชะตาเลวร้ายจนไม่อาจฉุดรั้งไว้ได้...โชคร้ายเสียจนอยากตาย มู่จื่อหลิงเสียใจมากจนแทบบ้า
โดยไม่รอการเคลื่อนไหวต่อไปของมู่จื่อหลิง ร่างของหวงอีซึ่งอยู่ไม่ไกลพุ่งเข้ามาราวลูกธนู [4] นางลอยตัวเข้ามาหยุดตรงร่างหลานหนิง
หวงอีชำเลืองมองร่างหลานหนิงที่ไร้หัว เศษเืเศษสมองที่แตกเป็เสี่ยงๆ แววตาของนางก็ฉายแววสยดสยอง
ยัยตัวเหม็นผู้นี้ช่างเหี้ยมยิ่งนัก!
โเี้ยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา!
เริ่มแรกนางเฉือนเนื้อขาเฉิงอวี้ ทั้งยังทำให้ใบหน้าของนางเสียโฉม จากนั้นนางก็ตัดหัวลวี่จู๋ มายามนี้นางยังทำให้หัวหลานหนิงแยกออกเป็เสี่ยงๆ
จากนั้นหวงอีจึงเงยหน้าขึ้นอย่างใจเย็น ท่วงท่าราวกับนกยูงที่เย่อหยิ่งจองหอง เหลือบมองมู่จื่อหลิงอย่างเ็า
แต่ใครจะคิด เพียงมองแวบเดียวนางก็แทบหยุดหายใจ แววตานางฉายแววประหลาดใจ
เมื่อครู่ยืนห่างออกมาจึงมีบางอย่างที่เห็นได้ไม่ชัดเจน
แต่ยามนี้...
ในขณะนี้ แสงอาทิตย์ในต้นฤดูหนาวแสนอบอุ่นกระทบร่างของมู่จื่อหลิง ทั้งร่างของนางถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงนุ่มนวล สีทองจางเคลือบร่างบอบบางของนาง
นางแต่งกายด้วยชุดสีดำที่ดำมืดจนสามารถโดนเพิกเฉยได้ทันที แต่ใบหน้าดำขาวของนางซึ่งต้องใช้เวลาเจ็ดวันในการจางหายไป ไม่รู้ว่าเลือนหายไปหมดสิ้นั้แ่เมื่อใด ยามนี้จึงเผยให้เห็นใบหน้างดงามอมชมพูไร้ที่ติ
ไออุ่นในหม้อนึ่งยามนี้ยังไม่จางหายไป ทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ทั้งยังมีเหงื่อบางๆ
เหงื่อใสโปร่งแสงสะท้อนแสงเปล่งประกายภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ทำให้ใบหน้างดงามของนางยิ่งน่าทึ่ง งดงามจนแทบหยุดหายใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้นที่ไม่ต่างจากบ่อน้ำโบราณไร้คลื่น [5] ดูเหมือนจะเปล่งประกายด้วยแสงแห่งความตาย แวววาวจนดูเหมือนว่าจะสามารถเจาะเข้าไปในหัวใจของคนได้อย่างรวดเร็ว
แม้ทั้งร่างจะดูยุ่งเหยิง แต่นางก็ยังให้อารมณ์สูงส่งสง่างาม ยังคงงามสง่าดุจเทพเซียน
แสงพร่างพราวถึงเพียงนี้ สีหน้าของหวงอีสั่นไหวเล็กน้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงอีรู้สึกราวกับว่านางเห็นภาพลวงตา จนจำคนผิด
นอกจากใบหน้าขาวดำก่อนหน้านี้ของมู่จื่อหลิงที่นางไม่สามารถทนมองตรงๆ ได้ ก็ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมู่จื่อหลิงมาก่อน
แม้จะมองมู่จื่อหลิงที่อยู่ต่อหน้านาง แต่นางก็ยังคงมีใบหน้าไม่ต่างจากเดิม
แต่ในขณะนี้ เมื่อมองแวบแรก ใบหน้าของนางกลับงดงามจนไร้ที่ติ
ใบหน้างดงาม ลักษณะใบหน้าที่สมส่วนจนยากจะหาผู้ใดมาเทียบได้ ดูเหมือนแม้กระทั่งนายหญิงรองของพวกนางก็ยังไม่อาจเทียบได้
ไม่ ไม่เพียงแต่ด้อยกว่าเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าตราบใดที่ยืนข้างกายมู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย
เป็ไปได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงซุกซ่อนความลับของนางก็ไม่เป็ไร แต่ก่อนหน้านี้แม้แต่รูปร่างหน้าตาที่งดงามก็ยังถูกนางปกปิดไว้ด้วยหรือ?
หวงอีจ้องมองมู่จื่อหลิงไม่กะพริบตา ในใจนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อถูกจ้องมองเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงเอื้อมมือไปััใบหน้าของนางโดยไม่รู้ตัว ยามนี้นางกำลังคิดจะวิ่งหนี ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจมือของนางมากนัก
แต่ในเวลานี้ จากหางตาของนาง นางเห็นมือสีดำของนางที่ควรต้องใช้เวลาเจ็ดวันกว่าจะจางหายไป แต่ยามนี้มันกลับมาเป็เหมือนเดิมแล้ว
นิ้วเรียวขาวดั่งหยก
แม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดสีดำถึงจางหายไปเร็วเช่นนี้ แต่ส่วนสีดำที่มือจางหายไป เช่นนั้นสีบนใบหน้าย่อมต้องจางหายไปแล้ว
นางไม่ได้แค่เปลี่ยนกลับเป็รูปลักษณ์เดิมหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น สงสัยสิ่งใดกัน?
มู่จื่อหลิงรู้สึกแปลกยิ่งนักกับสายตาหวงอีที่จับจ้องมาที่นาง
หวงอีจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจเช่นนั้น มีความหมายว่าอย่างไร?
หรือว่าใบหน้าของนางอัปลักษณ์ขึ้น? มู่จื่อหลิงตกตะลึงกับความคิดนี้ ก่อนจะปฏิเสธการคาดเดานี้ทันที
ยามนี้ไม่ใช่เวลามานึกถึงเื่นี้ นางกำลังจะตาย ยังจะสนใจว่าใบหน้าจะอัปลักษณ์ได้อีกหรือ?
ไม่ว่าหวงอีจะจ้องมองเช่นนั้นด้วยเหตุผลใดก็ตาม หัวใจของมู่จื่อหลิงก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บๆ คันๆ
หวงอีรู้สึกประหลาดใจเพียงชั่วครู่ จากนั้นนางก็ฟื้นตัวกลับสู่ท่าทีปกติของนางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นแล้วอย่างไรเล่า? อีกไม่นานก็ตายแล้ว
ศพคนตายไม่ว่าจะงดงามเพียงใด ในที่สุดก็ต้องเน่าเปื่อยกลายเป็ก้อนเนื้อ
หวงอีเย้ยหยันอย่างเ็าในใจ
จากนั้น นางเหลือบมองศพหลานหนิงที่อยู่บนพื้น ทันใดนั้นกลิ่นอายเลวร้ายในดวงตาของนางก็ะเิออกมา นางกัดฟันด้วยความแค้น พูดเน้นทีละคำว่า “นางหญิงหน้าเหม็น เ้าโเี้กว่าที่ข้าคิดไว้ เ้าเก็บซ่อนตัวตนไว้ลึกเสียจริง!”
ประโยคสุดท้ายมีความหมายมากมาย แต่น่าเสียดายที่มู่จื่อหลิงเข้าใจเพียงความหมายตามที่นางกล่าวมาเท่านั้น
นางโเี้?
มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างเ็าในใจ
หากนางไม่โเี้ ก็ต้องตกเป็เป้าของความเหี้ยมโหด
หากนางไม่โเี้ ในยามนี้นางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
อยู่มาสองชีวิต ทั้งยังทรมานจากความเป็ความตายถึงสองครั้ง ในยามนี้นางเทียบเท่ากับคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
ดังนั้นนางจึงรู้ว่าการมีเมตตาต่อศัตรู นั่นคือการประทุษร้ายต่อตนเอง
อีกอย่างนางไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ที่จะต้องมีเมตตาแม้แต่ในยามสังหารใครสักคน
ั้แ่ยามที่นางเข้ามาสู่โลกใบนี้ กลายเป็ฉีหวางเฟยโดยไม่ได้ตั้งใจ นางก็ถูกกำหนดให้ไม่มีความเมตตาไว้ก่อนแล้ว
สิ่งนี้จึงถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกันว่าหากนางพบเจอคนมีปัญหาอีกครั้ง นางจะไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกต่อไป จะไม่รีบร้อนพุ่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยไม่พูดอะไรอีก
คนบ้าผู้นี้รับมือยากกว่าคนที่ตายไปก่อนหน้านี้มาก อีกทั้งนางระแวดระวังยิ่งนัก...สีหน้ามู่จื่อหลิงยังคงสงบนิ่ง แต่สมองกำลังคิดหาวิธีหลบหนีอยู่ตลอดเวลา
หวงอีสะบัดแส้ยาวในมืออย่างไม่ใส่ใจ เย้ยหยันอย่างเหยียดหยามว่า “ในเมื่อเ้าตื่นแล้ว เช่นนั้นจงมอบเ้าตัวน้อยมา”
ประกายเยาะเย้ยถากถางฉายแววในดวงตามู่จื่อหลิง
คาดไม่ถึงว่าหวงอียังคงคิดเกี่ยวกับเสี่ยวไตกู
คนบ้าผู้นี้กลับยัง้าเสี่ยวไตกูอยู่เช่นเดิม ยามนี้นางอยากบอกหวงอีเพียงคำเดียวว่า เ้าคนหลงผิด!
“หากข้ามอบให้ เ้าจะปล่อยข้าไปไหม?” มู่จื่อหลิงแสร้งทำท่าประนีประนอมด้วยความเจ็บใจ แต่ความคิดกลับเหมือนกระแสไฟฟ้า [6] มีกลยุทธ์แวบเข้ามาในหัวตลอดเวลา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวงอีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดัง ปากยังคงเยาะเย้ยไม่หยุดหย่อน “เ้าทำให้สหายของข้าทั้งสามคนตายอย่างอนาถ ข้าไว้ชีวิตเ้าจนถึงยามนี้ นับว่าเ้ามีโชคแล้ว ยังขอให้ปล่อยเ้าไปอีกหรือ? นางหญิงหน้าเหม็น ควรพูดว่าเ้าไร้เดียงสา หรือควรบอกว่าเ้าเพ้อเจ้อดี?”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของหวงอีก็กลับมามืดมนอีกครั้ง นางยิ้มอย่างเ็า “รีบส่งเ้าตัวน้อยนั้นมาเร็วเข้า จากนั้นก็ปีนกลับขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องทำเอง”
ขณะที่นางพูด นางก็เชิดคางไปทางหม้อนึ่งขนาดใหญ่ ส่งสัญญาณให้มู่จื่อหลิงกลับขึ้นไป
เมื่อเห็นหวงอีเชิดคางขึ้น ทั้งยังได้ยินเสียงน้ำร้อนในหม้อต้ม หัวใจของมู่จื่อหลิงก็เต้นรัว
เ้ากำลังล้อเล่นอะไร หากกลับขึ้นไป ใช้เวลาไม่นานนางคงถูกนึ่งเป็แน่
ยังจะขึ้นไปอีกหรือ? มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะขึ้นไปและยอมถูกนึ่งทั้งเป็
“หากยื่นให้ก็ต้องตาย ไม่ให้ก็ต้องตาย เ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?” มู่จื่อหลิงเหลือบมองหวงอีอย่างเฉยเมย ในใจกำลังคัดกรองกลยุทธ์ที่เป็ไปได้ทุกรูปแบบออกมา
แต่เมื่อกล่าวถึงหม้อนึ่งขนาดใหญ่นี้...
เหลือบมองหม้อนึ่งขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากนาง มู่จื่อหลิงก็มีประกายแห่งแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางนึกถึงกลยุทธ์ที่อาจเป็อันตรายอย่างยิ่งสำหรับนางขึ้นมาได้
แม้ว่าอาจจะมีอันตรายมาก แต่หากนางไม่มีแผน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางคงต้องตาย
ยิ่งกว่านั้น ยามนี้นางกำลังถูกต้อนเข้ามุมสู่สถานการณ์สิ้นหวัง หากใช้แผนนี้นางอาจยังพอมีโอกาสมีชีวิตต่อได้
มู่จื่อหลิงคำนวณอย่างรวดเร็วในใจว่าตำแหน่งของนางและตำแหน่งของหวงอีนั้นตรงข้ามกัน มีหม้อนึ่งขนาดใหญ่อยู่ระหว่างพวกนาง สิ่งเดียวที่นางสามารถใช้ได้ในยามนี้คือชั้นของหม้อนึ่งขนาดใหญ่
ก่อนหน้านี้นางเตะเ้าหมูหลินเกาฮั่น ทั้งยังเตะเฉิงอวี้จนกระอักเื แม้ว่านางจะยังไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็ผลงานชิ้นเอกของนางก็ตาม
แต่ในยามนี้นางเต็มใจที่จะยอมเชื่ออย่างกล้าหาญสักครั้ง
พลังวิชาเท้าไร้เงาฝอซานนี้น่าจะสามารถเตะหม้อนึ่งขนาดใหญ่นี้ขึ้นไปในอากาศได้ด้วยใช่ไหม?
มู่จื่อหลิงคาดเดาอย่างกล้าหาญในใจของตน
ยามนี้จุดที่พวกนางยืนอยู่...ตราบใดที่หวงอีก้าวมาข้างหน้าอีกก้าว จุดยืนจะสมบูรณ์แบบ
ถ้านางสามารถเตะหม้อนึ่งนี้ได้ หวงอีย่อมโชคไม่ดี แต่หากนางไม่เตะเ้าสิ่งนี้ให้ลอยได้ นางก็จะตาย
สถานการณ์บีบคั้น กดดันอย่างยิ่ง!
เดิมพันด้วยชีวิต ไม่อยากเสี่ยงก็ต้องเสี่ยงแล้ว
มู่จื่อหลิงกัดฟันในใจ หันไปเผชิญหน้ากับหวงอี ไม่อยากสู้ก็ต้องสู้!
ยามมู่จื่อหลิงกำลังคิดแผนการ ดูเหมือนหวงอีจะหมดความอดทนเสียแล้ว
เพียงแค่พริบตา หวงอีก็ฟาดแส้ยาวในมือลงพื้น ยิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว “ดูเหมือนว่าหากเ้าไม่ถูกเฆี่ยนก็คงไม่คิดทำตามสินะ อยากให้ข้าลงมือเองหรือ?”
“เ้าตัวน้อยที่เ้ากล่าวถึง ข้าไม่อาจมอบให้ได้ ถ้าจะให้ปีนขึ้นไป...” มู่จื่อหลิงััคางของตนด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ พร้อมกับแสดงสีหน้ายั่วยุ “ข้าไม่รู้ว่าต้องปีนอย่างไร เหตุใดเ้าไม่สอนข้าสักหน่อยเล่า ว่าต้องปีนอย่างไร?”
ท่าทีสงบนิ่งรวมทั้งคำพูดยั่วยุของมู่จื่อหลิงทำให้หวงอีโกรธมากอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน นางหลงลืมไปในทันทีว่าก่อนหน้านี้นางถูกมู่จื่อหลิงโจมตีจนปลิวไป
นางตวัดแส้ยาวในมือออกไปพร้อมเปล่งเสียงะโด้วยความโกรธ “นางหญิงหน้าเหม็น ท่าทางจะไม่ชอบดื่มจิ้งจิ่วแล้วกระมัง เช่นนั้นข้าจะให้เ้าดื่มฝาจิ่วแทนก็แล้วกัน [7] รอรับแส้เสียเถอะ!”
ความเร็วแส้ของหวงอีนั้นเร็วมาก
อย่างไรก็ตาม ใน่เวลาที่สำคัญเช่นนี้...
“เ้ากำลังหาที่ตาย!” มู่จื่อหลิงก้าวถอยหลัง ทันใดนั้นดวงตาสงบของนางก็ฉายแสงน่าสะพรึงกลัวออกมา นางะโว่า “ลองรับเท้าไร้เงาฝอซานของข้าหน่อยเถอะ”
ก่อนพูดจบ นางยกขาขึ้นอย่างงดงาม เตะไปยังหม้อนึ่งขนาดใหญ่โดยไม่ลังเล......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] นกขมิ้นยังเป็ตัวเดิม เป็คำที่แยกมาจากวลีเปรียบเปรย ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง (做捕螳螂的黄雀) มีความหมายว่า ผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาว นอกจากนี้ยังใช้กระทบกระเทียบกับผู้ที่เอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน
[2] ิญญาเ้านกกระจอกบ้านี่ช่างอืดอาดเสียจริง (这只疯麻雀还真是阴魂不散) เป็วลี มีความหมายว่า โชคร้าย ดวงไม่ดีที่เข้ามาไม่หยุดไม่หายไปไหน
[3] ตดหมา (狗屁) เป็คำด่า คำหยาบแบบหนึ่ง มีความหมายว่า พูดไร้สาระเหมือนหมาตด หรือตรรกะโง่ๆ ในที่นี้มู่จื่อหลิงด่าความคิดของตนที่ก่อนหน้านี้นางนึกว่าการกระทำชั่วๆ ของตนเป็เื่ดี แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่
[4] พุ่งเข้ามาราวลูกธนู (离弦的箭) เป็วลี มีความหมายว่า การเคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็วมาก
[5] บ่อน้ำโบราณไร้คลื่น (古井无波) เป็สำนวน มีความหมายว่า ใจนิ่ง อารมณ์ไม่หวั่นไหวจากสิ่งเร้าภายนอก
[6] ความคิดเหมือนกระแสไฟฟ้า (心绪如电) เป็วลี มีความหมายว่า คิดไม่หยุด มีความคิดมากมายในสมอง โดยนิยมใช้กับการคิดหลายสิ่งพร้อมๆ กัน
[7] ท่าทางจะไม่ชอบดื่มจิ้งจิ่วแล้วกระมัง เช่นนั้นข้าจะให้เ้าดื่มฝาจิ่วแทนก็แล้วกัน (敬酒不吃吃罚酒) เป็วลี มีความหมายว่า ในเมื่อพูดด้วยดีๆ ไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับ โดยจิ้งจิ่ว (敬酒) คือเหล้าที่ใช้ดื่มอวยพรแสดงความยินดี ฝาจิ่ว (罚酒) คือเหล้าที่ให้ดื่มเมื่อถูกปรับแพ้หรือถูกลงโทษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้