บทที่ 1 เถ้าธุลีแห่งจักรพรรดินี
ปี 2026 นครเซี่ยงไฮ้
ณ ชั้นสูงสุดของตึก “คุนเผิงเทคโนโลยีทาวเวอร์” (Kunpeng Technology Tower) ตึกระฟ้าที่เสียดแทงก้อนเมฆและเป็สัญลักษณ์แห่งอำนาจทางเทคโนโลยีของเอเชีย มู่หรงเซียน นั่งสงบนิ่งอยู่บนหัวโต๊ะประชุม ร่างระหงในชุดเดรสสูทสีดำสนิทที่ตัดเย็บอย่างประณีต ขับเน้นรัศมีอันเยือกเย็นและน่าเกรงขามของเธอออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ แสงไฟสีนวลจากโคมไฟระย้าสาดส่องลงมากระทบผิวแก้มที่เรียบเนียน ทว่ากลับไม่อาจละลายความเ็าในดวงตาเรียวคมกริบคู่นั้นได้เลย
ดวงตาคู่นั้น ที่เปรียบดังใบมีดอาบน้ำแข็ง กวาดมองไปทั่วห้องประชุมที่เงียบงันราวกับสุสาน บรรดาผู้บริหารระดับสูงที่ปกติมีเงินเดือนหลายล้านหยวน บัดนี้กลับนั่งตัวลีบหลังงุ้ม ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเธอตรงๆ พวกเขาต่างรู้ดีว่านี่คือห้องพิพากษา และผู้พิพากษาก็คือเธอ จักรพรรดินีน้ำแข็งแห่งอาณาจักรคุนเผิงเทคโนโลยีทาวเวอร์
"โปรเจกต์ โพรมีธีอุส (Project Prometheus)"
เสียงของเธอเย็นเยียบแต่กลับก้องกังวานไปทั่วทุกอณูของความเงียบ "งบประมาณหนึ่งพันสามร้อยล้านหยวน ระยะเวลาพัฒนาสองปีเต็ม ผลลัพธ์คือแอปพลิเคชันที่ล่มั้แ่วันแรกที่เปิดตัว สร้างความเสียหายให้บริษัทจนประเมินค่าไม่ได้ คุณหวัง" เธอจ้องมองชายวัยกลางคนที่เหงื่อแตกพลั่ก "ในฐานะหัวหน้าโปรเจกต์ มีอะไรจะชี้แจงไหม?"
ชายวัยกลางคนชื่อหวังสะดุ้งสุดตัว เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก "ท่านประธานครับ มัน มันเป็เหตุสุดวิสัย"
"เหตุสุดวิสัย?" มู่หรงเซียนแค่นยิ้มมุมปาก เป็รอยยิ้มที่ทำให้คนมองหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง
"เหตุสุดวิสัยคือการที่คุณวางศูนย์ข้อมูลไว้บนเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้อัปเดตระบบรักษาความปลอดภัยมานานกว่าหกเดือนงั้นหรือ?"
"หรือสุดวิสัยคือการที่คุณอนุมัติโค้ดที่มีช่องโหว่ร้ายแรงโดยไม่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยขั้นสุดท้าย?"
เธอหยุด ปล่อยให้ความเงียบที่น่าอึดอัดกัดกินทุกคนในห้อง
"ในพจนานุกรมของดิฉัน" เธอเอ่ยต่อ "คำว่า เหตุสุดวิสัย มีไว้สำหรับคนขี้แพ้ ส่วนสิ่งที่คุณทำ เขาเรียกว่า ความประมาทเลินเล่อขั้นหายนะ ค่ะ"
เธอเคาะปลายนิ้วเรียวยาวลงบนโต๊ะกระจก เกิดเสียงคลิกเบาๆ แต่กลับหนักแน่นดุจค้อนของผู้พิพากษาที่กำลังจะลงทัณฑ์
"คุณถูกไล่ออก เก็บของส่วนตัวแล้วไปรับเงินชดเชยที่ฝ่ายบุคคลได้ภายในหนึ่งชั่วโมง"
สิ้นคำประกาศิต ชายคนนั้นก็ทรุดลงบนเก้าอี้ราวกับไร้กระดูกสันหลัง ไม่มีใครในห้องกล้าคัดค้าน นั่นคืออำนาจของมู่หรงเซียน เด็ดขาด เฉียบคม และไร้ความปรานี
ณ บาร์หรูใจกลางย่านเดอะบันด์ สองสัปดาห์ก่อนหน้า
กลิ่นซิการ์คิวบาชั้นดีคละคลุ้งปะปนกับเสียงดนตรีแจ๊สเบาๆ เฉินอี้ฟาน ชายหนุ่มรูปงามผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์ยามเช้า ยกแก้ววิสกี้ขึ้นชนกับแก้วของจางเหลียง เพื่อนสนิทผู้มีแววตาซื่อตรงและจริงใจ
"เพื่อความสำเร็จของเรา!" เฉินอี้ฟานกล่าว
"เธอยังไม่แน่ใจอีกเหรอเหลียง?"
จางเหลียงถอนหายใจ "ฉันแค่ รู้สึกผิดนิดหน่อย เซียนเธอไว้ใจพวกเรามากนะ เธอเป็คนดึงพวกเราขึ้นมาจากโคลนตมด้วยซ้ำ"
เฉินอี้ฟานหัวเราะในลำคอ แววตาที่เคยอบอุ่นพลันเ็าลง
"ไว้ใจรึ? เธอไม่ได้ไว้ใจใครหรอก เธอไว้ใจแค่ตัวเลขและผลกำไรเท่านั้นแหละ! สำหรับเธอ พวกเราก็เป็แค่เครื่องมือ เป็แค่สินทรัพย์ชิ้นหนึ่งที่เธอลงทุน! เธอทำงานเหมือนเครื่องจักร เธอไม่เคยเข้าใจหรอกว่าความรักคืออะไร!"
"แต่ คุนเผิงเทคโนโลยีทาวเวอร์มันคือชีวิตของเธอนะ"
"แล้วมันก็กำลังจะเป็ชีวิตของพวกเราเหมือนกัน!" เฉินอี้ฟานกล่าวเสียงกร้าว "ฉันทนไม่ไหวแล้วที่จะต้องเป็แค่เงาของเธอ ทนไม่ไหวแล้วที่ทุกคนมองฉันเป็แค่ คนรักของจักรพรรดินี ฉันต่างหากที่สมควรจะเป็จักรพรรดิ!"
เขาหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ
"ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือแค่ลายเซ็นเดียวเท่านั้น ลายเซ็นที่จะเปลี่ยนทุกอย่าง"
สองวันต่อมา…
เมื่อการประชุมที่น่าอึดอัดสิ้นสุดลง ผู้บริหารคนอื่นๆ ก็รีบทยอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับหนีตาย เหลือเพียงคนสามคนในห้องประชุมที่กว้างใหญ่
มู่หรงเซียนถอนหายใจยาว เปลือกตาที่แข็งกร้าวเมื่อครู่พลันอ่อนแสงลง เธอนวดขมับเบาๆ ความเหนื่อยล้าที่ซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากน้ำแข็งฉายชัดบนดวงหน้าที่งดงามจนน่าใจหาย
"เหนื่อยหน่อยนะ เซียน" เสียงทุ้มนุ่มนวลดังขึ้นข้างกาย เฉินอี้ฟานเดินเข้ามาโอบไหล่เธออย่างปลอบโยน เขาคือคนรัก คือคู่ชีวิต และคือประธานฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท คือโลกทั้งใบของเธอ
"ฉันแค่ผิดหวัง" เธอตอบ พลางเอนศีรษะซบไหล่กว้างของเขาอย่างโหยหาที่พึ่งพิง "เราทุ่มเทกับโพรมีธีอุสไปมาก"
"ไม่เป็ไรหรอกน่า" จางเหลียง เพื่อนสนิทและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเดินเข้ามาสมทบ "ดั่งคำที่ว่า ล้มเหลวคือมารดาแห่งความสำเร็จเราพลาดได้ แต่เราก็ลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ"
มู่หรงเซียนยิ้มบางๆ "นั่นสินะ โชคดีที่ฉันยังมีพวกนายสองคนอยู่"
เฉินอี้ฟานยิ้มละมุน รอยยิ้มนั้นสามารถละลายูเาน้ำแข็งได้ทั้งลูก "แน่นอนสิ เราจะอยู่ข้างเธอเสมอ" เขาพูดพลางยื่นปากกามองบลังค์ด้ามหรูและเอกสารปึกหนึ่งให้เธอ "นี่คือเอกสารอนุมัติงบประมาณก้อนใหม่สำหรับโปรเจกต์ฟื้นฟู แค่เธอเซ็น ทุกอย่างก็จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้"
"ขอบใจนะอี้ฟาน" มู่หรงเซียนรับเอกสารมาโดยไม่ได้มองรายละเอียด อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เธอแสร้งทำ ดวงตาของเธอเหลือบมองลายน้ำพิเศษที่มุมกระดาษเพียงเสี้ยววินาที เป็ลายน้ำรูปพยัคฆ์คำราม ไม่ใช่รูปวิหคคุนเผิง ตราสัญลักษณ์ของบริษัทเธอ
หัวใจของเธอเย็นเยียบลงทันที แต่ใบหน้ายังคงระบายยิ้มไว้วางใจเช่นเดิม เธอรู้ตัวมาหลายสัปดาห์แล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล การเงินที่รั่วไหลอย่างผิดสังเกต พฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ของคนทั้งสอง มู่หรงเซียนไม่ใช่คนโง่ เธอไม่ใช่เด็กสาวที่เพิ่งเข้าสู่วงการธุรกิจอีกต่อไป
เธอจรดปลายปากกาเซ็นชื่อของตัวเองลงไป แต่เป็ลายเซ็นที่แตกต่างจากปกติเล็กน้อย เป็ลายเซ็นที่เธอใช้สำหรับเอกสารที่เป็โมฆะ ซึ่งมีเพียงเธอและทนายความส่วนตัวเท่านั้นที่รู้
ทว่า ทันทีที่เธอวางปากกาลง บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป
รอยยิ้มของเฉินอี้ฟานที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็รอยยิ้มเย้ยหยันที่น่าขนลุก จางเหลียงที่เคยดูซื่อสัตย์จริงใจ บัดนี้กลับยืนกอดอกมองเธอด้วยแววตาของผู้ชนะ
"ในที่สุด เธอก็เซ็น" เฉินอี้ฟานหัวเราะในลำคอ
"เอกสารพวกนี้ไม่ใช่คำของบประมาณใหม่หรอกนะ ที่รัก มันคือเอกสารโอนหุ้นทั้งหมดของเธอ ให้กับฉันและจางเหลียงแต่เพียงผู้เดียว"
ราวกับมีค้อนั์ทุบลงกลางศีรษะ โลกทั้งใบของมู่หรงเซียนหมุนคว้าง แต่เธอกลับฝืนยืนหยัดอย่างมั่นคง ความเ็ปแล่นริ้วในอก แต่ดวงตาของเธอกลับวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
"ฉันรู้อยู่แล้ว"
คำพูดของเธอทำให้คนทั้งสองชะงักไป เฉินอี้ฟานขมวดคิ้ว "เธอว่าอะไรนะ?"
มู่หรงเซียนหัวเราะเบาๆ เป็เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสมเพช "พวกนายคิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? คิดว่าฉันจะไม่สังเกตเห็นเงินทุนที่ถูกยักยอกไปเข้าบัญชีลับในต่างประเทศของนายเหรอ เฉินอี้ฟาน? หรือคิดว่าฉันจะไม่รู้เื่ที่นายแอบไปพบกับคู่แข่งของเราบ่อยๆ เหรอ จางเหลียง?"
ใบหน้าของทั้งคู่ซีดเผือด
"เธอ เธอรู้ได้ยังไง!" จางเหลียงอุทาน
"พวกนายทิ้งร่องรอยไว้เยอะเกินไป" มู่หรงเซียนกล่าวอย่างเ็า "ฉันให้โอกาสพวกนายแล้ว ให้โอกาสสารภาพ แต่พวกนายกลับเลือกหนทางที่เลวร้ายที่สุด"
เธอชี้นิ้วไปที่กองเอกสาร "เอกสารพวกนั้นน่ะเหรอ? ลายเซ็นนั่นเป็โมฆะ ทนายของฉันได้รับการยืนยันแล้ว และแน่นอนว่าการกระทำของพวกนายก็ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว ทั้งภาพและเสียง" เธอมองไปยังกล้องวงจรปิดขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในเครื่องฟอกอากาศ
เฉินอี้ฟานหน้าถอดสี แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
"แล้วยังไง! เธอคิดว่าแค่นี้จะหยุดพวกเราได้เหรอ? หุ้นส่วนใหญ่ในบอร์ดบริหารอยู่ข้างฉัน! ต่อให้เอกสารนี้เป็โมฆะ พวกเขาก็จะโหวตเธอออกจากตำแหน่งอยู่ดี! เธอมันจบแล้วมู่หรงเซียน! จบแล้ว!"
"ฉันอาจจะจบ แต่พวกนายก็ต้องล่มจมไปพร้อมกับฉัน!" มู่หรงเซียนสวนกลับทันควัน ดวงตาของเธอฉายแววอำมหิต
"เฉินอี้ฟาน นายคงลืมไปสินะว่ากองทุนส่วนตัวทั้งหมดของนาย ที่นายเอาเงินของบริษัทไปฟอก นายลงทุนผ่านโบรกเกอร์ที่ฉันเป็คนแนะนำให้"
หัวใจของเฉินอี้ฟานหล่นวูบ "เธอ เธอหมายความว่ายังไง"
"ฉันหมายความว่า เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ขณะที่พวกเรากำลังประชุมกันอยู่ ทนายของฉันได้ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับโบรกเกอร์ของนาย เป็เอกสารมอบอำนาจที่นายเคยเซ็นให้ฉันไว้เมื่อนานมาแล้วตอนที่เรายังรักกันดี นายคงจำไม่ได้สินะ?"
เฉินอี้ฟานเบิกตากว้าง ความทรงจำแล่นกลับเข้ามา เอกสารที่เขาเซ็นอย่างไม่ใส่ใจตอนมู่หรงเซียนบอกว่าจะช่วยจัดการเื่การลงทุนที่ซับซ้อนให้
"ฉันใช้เอกสารฉบับนั้น สั่งขายชอร์ต (Short Sell) หุ้นของบริษัทคู่แข่งทั้งหมด โดยใช้เงินในกองทุนของนายเป็หลักประกัน และในขณะเดียวกัน ก็ปล่อยข่าวลวงที่นายเตรียมไว้เพื่อทำลาย คุนเผิงเทคโนโลยีทาวเวอร์ออกไปสู่ตลาด แต่เปลี่ยนเป้าหมายเป็บริษัทนั้นแทน"
ติ๊ง!
โทรศัพท์มือถือของเฉินอี้ฟานและจางเหลียงดังขึ้นพร้อมกัน ข้อความด่วนจากตลาดหลักทรัพย์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
[หุ้นของ ซีรีอุสเทค (SiriusTech) ดิ่งเหว 80% หลังมีข่าวลือเื่การล้มละลาย]
"เงินทั้งหมดของนาย หลักทรัพย์ค้ำประกันทั้งหมดของนาย มันหายไปแล้ว เฉินอี้ฟาน" มู่หรงเซียนกล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึก "นายไม่ได้แค่ล้มละลาย แต่นายยังเป็หนี้มหาศาลจากการทำ Short Sell ผิดพลาดอีกด้วย ยินดีด้วยนะ จากมหาเศรษฐีคนใหม่ กลายเป็ยาจกในชั่วข้ามคืน"
"ไม่จริง!!! อ๊ากกกกกก! นังสารเลว! ฉันจะฆ่าแก!" เฉินอี้ฟานกรีดร้องอย่างเสียสติ เขาพุ่งเข้าใส่หม่าหรงเซียนราวกับสัตว์ป่าที่าเ็ แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยที่จางเหลียงเรียกมาเองเพื่อเชิญเธอออกไป กลับเข้ามารวบตัวเขาไว้ก่อน
"เอาตัวมันออกไป! ลากมันออกไป!!!" เขาะโลั่น
หน่วยรักษาความปลอดภัยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะทำตามคำสั่งของผู้ที่ (ณ เวลานี้) ดูเหมือนจะเป็ผู้ชนะ พวกเขาลากมู่หรงเซียนออกจากห้องประชุม
มู่หรงเซียนไม่ได้ขัดขืน เธอเดินออกมาอย่างผู้แพ้ที่ยังคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี เธออาจจะสูญเสียบริษัท แต่เธอก็ได้ลากคนที่ทรยศเธอลงนรกไปด้วย แม้มันจะเป็ชัยชนะที่ว่างเปล่าและเ็ปก็ตาม
เธอถูกผลักออกมาสู่ทางเท้าด้านนอกตึกระฟ้าที่เคยเป็ของเธอ
ซ่า...
ฝนเม็ดใหญ่เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารับรู้ความพ่ายแพ้ของเธอ มู่หรงเซียนยืนตากฝน เนื้อตัวเปียกปอน แต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด หัวใจของเธอ... มันด้านชาไปหมดแล้ว เธอมองขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของตึก เห็นเงาของจางเหลียงที่ยืนมองลงมาด้วยสีหน้าซับซ้อน ส่วนเฉินอี้ฟานคงกำลังคลุ้มคลั่งอยู่ข้างใน
จบแล้ว ทุกอย่างที่เธอสร้างมา พังทลายลงในพริบตา เพียงเพราะความไว้ใจ 'น้ำลึกหยั่งได้ แต่ใจคนยากแท้หยั่งถึง' บัดนี้เธอเข้าใจความหมายของมันอย่างลึกซึ้งแล้ว
เธอก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้สายฝนชะล้างคราบน้ำตาที่มองไม่เห็น และชะล้างความเ็ปที่กัดกินหัวใจ แสงไฟนีออนจากตึกสูงและป้ายโฆษณาสะท้อนบนพื้นถนนที่เปียกแฉะ กลายเป็ภาพพร่าเลือนในม่านสายตาของเธอ โลกที่เคยสดใสและเต็มไปด้วยโอกาส บัดนี้กลับดูอ้างว้างและว่างเปล่า
เธอเดินข้ามถนนโดยไม่มองซ้ายมองขวา ในหัวของเธอมีแต่ภาพรอยยิ้มเย้ยหยันของเฉินอี้ฟาน และแววตาของผู้ชนะของจางเหลียงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
ทันใดนั้น... แสงไฟสว่างวาบพุ่งเข้าใส่ พร้อมกับเสียงแตรลมที่ดังสนั่นหวั่นไหวจนแก้วหูแทบแตก
มู่หรงเซียนหันไปตามสัญชาตญาณ ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง มันอยู่ใกล้เกินกว่าจะหลบทัน
ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายของสติสัมปชัญญะ ริมฝีปากของมู่หรงเซียนกลับยกขึ้นเป็รอยยิ้มบางเบา เป็รอยยิ้มเยาะเย้ยโชคชะตา และเยาะเย้ยความโง่เขลาของตนเอง
บางที แบบนี้อาจจะดีแล้วก็ได้
โครม!
ร่างของเธอกระเด็นไปไกลเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ขาดวิ่น โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นผสมกับน้ำฝนบนพื้นถนน ความเ็ปแล่นพล่านไปทั่วร่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงสู่ความมืดมิดอันเป็นิรันดร์
และแล้ว เถ้าธุลีแห่งจักรพรรดินีก็ได้ปลิวสลายไปกับสายลมและสายฝนแห่งนครเซี่ยงไฮ้
