ตามที่เฉินเฟิงคาดการณ์ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในโม๋ตู ณ ปัจจุบันไม่สูงมาก แค่หนึ่งล้านก็ซื้อวิลล่าขนาดใหญ่ได้ทั้งหลัง
แต่ถึงสถานการณ์จะเป็อย่างนั้น เฉินเฟิงก็วางแผนจ่ายเงินผ่อนบ้านเพียงไม่กี่หมื่นเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะกู้ยืมจากธนาคาร
นอกจากนี้เฉินเฟิงจะเตรียมจำนองสัญญาทางการค้าทั้งหมดเพื่อทำเื่กู้ยืมแล้ว ซึ่งอาจจะกู้ยืมได้หลายสิบหรือร้อยล้าน
เศรษฐีตัวจริงมักใช้เงินทุนน้อยที่สุด แต่ต้องส่งผลต่อตลาดมากที่สุด
ตัวอย่างคือ หลังปี 2016 เฉียนต๋ากรุ๊ปดำเนินกิจการโดยมองข้ามนโยบายบางข้อ จนส่งผลให้บริษัทเปลี่ยนจากบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กลายเป็บริษัทที่มีหนี้สินมากที่สุด!
ประธานหวังในเวลานั้นก็ต้องเปลี่ยนจากมหาเศรษฐีผู้มีเงินมหาศาล เป็เศรษฐีที่มีหนี้สินมหาศาลเช่นกัน มีข่าวลือว่าเขาเป็หนี้ธนาคารสูงถึงสี่แสนล้าน
อย่างไรก็ตาม เื่นี้ไม่ได้ส่งผลต่อสถานะความร่ำรวยของเขา สุดท้ายเขาก็ยังเป็เศรษฐีคนหนึ่งอยู่ดี
แม้มีข่าวลือด้านลบติดตัว แต่ก็นับว่าเป็เศรษฐีอยู่
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าการจัดการหนี้สินจากธนาคารก็เป็ทักษะหนึ่งเช่นกัน
เวลานี้เฉินเฟิงมีเงินติดตัวอยู่หนึ่งล้าน เขาจะทำให้มันกลายเป็สิบล้าน ร้อยล้าน หรืออาจจะมากกว่านั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่ความสามารถเขาจะทำได้
เมื่อมีเงินทุนพอประมาณ ก็เข้าซื้อหุ้นหรือที่ดินที่มีศักยภาพมากพอเพื่อเพิ่มพูนผลกำไร
เฉินเฟิงจะไม่อยู่เฉยรอรับความสำเร็จเพียงเพราะเขาเป็ผู้ถือหุ้นของเฉียนต๋ากรุ๊ปหรือปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปแน่
เพราะหุ้นเหล่านี้อยู่ในชื่อของเขา ไม่ใช่ของบริษัท
แต่เป้าหมายของเฉินเฟิงคือผลักดันบริษัทของเขาให้เป็บริษัทั์ใหญ่ชั้นแนวหน้า
บริษัทของเขาต้องเป็บริษัทที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่สุดของเหยียนหวงภายในปี 2021 โดยไม่รวมหุ้นอื่นๆ จากตัวเขาเอง
ส่วนเป้าหมายของตัวเขาเองคือ ขึ้นแท่นเป็มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก
ชาติก่อน หากนับรวมทรัพย์สินและหุ้นทั้งหมดใน เขาจะมีสินทรัพย์ทั้งหมดมูลค่ากว่า หนึ่งแสนสี่หมื่นล้าน (140,000,000,000) แม้จะมีเงินมากมายขนาดนี้ แต่เขากลับติดเพียงอันดับ 4 ของการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลก ซึ่งมากกว่าก้ายซือจากร่วนเว่ยกรุ๊ปที่อยู่อันดับ 5 เพียง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
แล้วอันดับที่หนึ่งในการจัดอันดับ เขามีสินทรัพย์มูลค่าโดยรวมกว่า หนึ่งแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยล้านดอลลาห์สหรัฐ (191,400,000,000)
เป้าหมายของเฉินเฟิงในชาตินี้เท่ากับมีสินทรัพย์ในอย่างน้อยสองล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2021 โดยนับเพียงมูลค่าของเฟิงฮวาเจว๋ต้ายกรุ๊ปเท่านั้น
หากรวมกับหุ้นจากกลุ่มบริษัทั์ใหญ่ในประเทศอีก 9 แห่ง เฉินเฟิงคาดการณ์ว่าจะเป็สินทรัพย์มูลค่ารวมกว่าห้าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อเขามีทรัพย์สินรวมอย่างน้อยห้าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะเป็มหาเศรษฐีตัวจริงเสียงจริง
เป้าหมายเขามีความทะเยอทะยาน ทุกวินาทีจึงเป็เงินเป็ทอง
ไม่เช่นนั้น การเกิดใหม่คงไร้ความหมาย
อย่างไรก็ตาม เขาในชาติก่อนเป็มหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก และเป็มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศ
แต่เฉินเฟิงชาตินี้ได้ร่วมหลับนอนกับสาวสวยมากถึง 3 คนแล้ว ซึ่งชดเชยความเสียใจในชาติก่อนที่เขาไม่เคยแตะต้องผู้หญิงเลยสักครั้งไปได้บ้าง
แฟนสาวคนแรกและเพื่อนสนิทที่ทรยศเขา ก็ถูกเขาตอกหน้าหงายไปแล้ว
สุขภาพพ่อแม่ก็ยังแข็งแรง เฉินเฟิงยังหาหลานให้พวกเขาอุ้มได้โดยไวอีกด้วย
เป้าหมายสูงสุดหลังจากเกิดใหม่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้เปลี่ยนกลับมาเป็การทำเงิน และต้องเป็เงินก้อนโตเท่านั้น
"ที่รัก... คิดอะไรอยู่? ฟังจากที่นายพูดเมื่อกี้ ฉันว่านายเก่งมาก!"
ระหว่างที่หลิ่วอีอีไตร่ตรองคำพูดของเฉินเฟิงอย่างละเอียด เธอเหลือบไปเห็นเฉินเฟิงกำลังจ้องมองท้องฟ้าโดยไม่พูดอะไร เธอจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ไม่มีอะไร ผมแค่กำลังคิดว่าหลังจากจดทะเบียนสมรสกับซื้อบ้านแล้ว ผมว่าจะเอาสัญญาทั้งหมดไปจำนองกับธนาคาร ทำเื่กู้สักร้อยล้านน่ะ"
น้ำเสียงเฉินเฟิงชวนให้ผู้ฟังใ
"แต่ดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารมันสูงมากนะ"
พวกเขาเพิ่งจบปีสาม แม้ว่าเธอจะมีพร์ด้านธุรกิจ แต่เธอไม่เคยคิดว่าการเริ่มต้นธุรกิจของเธอต้องไปขอสินเชื่อจากธนาคาร
ก่อนหน้านี้ ถ้าเธอขาดเงินทุนจริงๆ เธอก็ขอทุนจากพ่อของเธอหลิว่จื้อได้ เพราะเขาคือประธานบริษัทเซียงเหลียน
"ดอกสินเชื่อสูงกว่าดอกที่เราฝากเงินก็จริง แต่ถ้ามีทุนเพียงพอ ผมสามารถหาเงินได้เร็วกว่านั้น อาจจะเร็วกว่าเครื่องพิมพ์ธนบัตรอีก ไม่เห็นเหรอว่าผมได้เงินมาเป็ล้านโดยไม่ลงทุนลงแรงอะไรเลย คิดดูสิ ตอนนี้ผมมีเงินจากที่ดินแห้งแล้งมูลค่าไม่น้อยกว่าสี่สิบล้าน สิทธิ์พัฒนาอาคาร แถมหุ้นบริษัทอสังหาฯ อีกสองแห่ง"
เฉินเฟิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม เขาต้องปรับวิธีคิดของหลิ่วอีอีให้เร็วที่สุด
คนทั่วไปเก็บเงินเพื่อประทังชีวิต หวังแค่เศษเงินในรูปแบบดอกเบี้ยเงินฝาก
แต่เงินที่พวกนั้นฝากไว้ กลับถูกธนาคารนำไปปล่อยกู้ด้วยดอกเบี้ยสูงลิบลิ่วให้คนที่้าทำธุรกิจ
ก็เลยเป็เหตุผลว่าคนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย
การใช้เงินของคนอื่นทำเงินก้อนโต นี่แหละเจ๋งสุดๆ
คิดไปคิดมา เฉินเฟิงรู้สึกว่าเขาต้องหาทางลงทุนกับธนาคารพาณิชย์ใหญ่หลายๆ แห่งให้ได้สักทาง
หรือไม่ก็!
ก่อตั้งธนาคารเฟิงฮวาเจว๋ต้ายภายใต้นามบริษัทเฟิงฮว๋าเจว๋ต้ายไปเลย
พูดตามหลักการ ธุรกิจไหนก็สู้ธนาคารเื่วิธีการใช้เงินไม่ได้
ธนาคารเป็ตัวอย่างที่เยี่ยมยอดที่สุดสำหรับการใช้เงินทำเงิน
หลิ่วอีอีไม่มีทางอ่านความคิดเฉินเฟิงออก
จะมีใครที่ไหนตัวเตรียมยื่นจดทะเบียนสมรส แต่ใจกลับคิดยื่นสินเชื่อ
ยิ่งกว่านั้นยังเป็สินเชื่อระดับหลายร้อยล้าน
คิดดู จะมีนักศึกษาที่ไหนไปทำเื่ขอสินเชื่อเป็ร้อยล้านกับธนาคาร
ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนเื่เพ้อฝัน!
"เอาละ ฉันรู้ว่านายเก่ง ก็เพราะว่านายคือผู้ชายที่ฉันแอบชอบตั้งสามปี..."
หลิ่วอีอีพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จูงมือเฉินเฟิงเข้าไปในสำนักงานเขต
ขั้นตอนหลังจากนั้นดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว เพราะแม่ของหลิ่วอีอีเป็หัวหน้าสำนักงาน
ดูเหมือนว่าเฉินเฟิงประเมินแม่ยายต่ำไปจริงๆ เขาคิดว่าเธอเป็แค่พนักงานคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม
แค่จะถ่ายรูปก็ยังเจอกับอุปสรรคเสียได้
จ้าวฉินเสวียบังเอิญฝึกงานที่สำนักงานทะเบียนสมรสพอดี งานของเธอคือช่วยช่างภาพถ่ายรูปทะเบียนสมรสให้คู่บ่าวสาว
แต่ที่น่าสนใจคือแม่ของจ้าวฉินเสวียเป็เ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเื่การหย่าร้าง เห็นได้ชัดว่าจ้าวฉินเสวียใช้เส้นสายเพื่อมาฝึกงานที่นี่ ทั้งที่ยังไม่จบปีสามด้วยซ้ำ!
"พวกคุณสองคนขยับเข้าหากันหน่อยครับ ยิ้มให้ดูมีความสุขกว่านี้หน่อย พวกคุณครับ นี่ไม่ใช่ถ่ายรูปเล่นๆ ทั่วไปนะ รูปพวกนี้ต้องติดทะเบียนสมรสพวกคุณ"
ช่างภาพมองเฉินเฟิงและหลิ่วอีอีผ่านเลนส์กล้อง เขาเห็นสีหน้าของคู่บ่าวสาวคู่นี้ดูไม่เป็ธรรมชาติสักที ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย
แต่ว่าเื่นี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเฉินเฟิงและหลิ่วอีอีซะทีเดียว
เพราะว่าจ้าวฉินเสวียที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยรับผิดชอบเื่การเติมแสงและแต่งหน้าอยู่
บรรยากาศมันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว!
เฉินเฟิงเพิ่งจะตบหน้าจ้าวฉินเสวียเมื่อวาน่หัวค่ำนี่เอง ยังไม่ทันครบ 24 ชั่วโมงเลย วันนี้ดันต้องมาเจอกันที่นี่อีก
"พี่ช่างกล้องคะ ผู้ช่วยของพี่คนนั้น พอดีเธอเป็รุ่นพี่ของพวกเราน่ะค่ะ ก่อนจะถ่ายใหม่ ขอพวกหนูคุยกันสักพักหนึ่งได้ไหมคะ?"
หลิ่วอีอีคิดว่าต้องคุยกับจ้าวฉินเสวียให้รู้เื่รู้ราวกันก่อน
ไม่งั้นถ้าปล่อยให้บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อไปแบบนี้ รูปถ่ายทะเบียนสมรสของพวกเธอคงไม่น่าดู
