บทที่ 3 เริ่มต้นปรุงโอสถ
ลู่เหว่ยจุนกวาดตามองไปรอบๆ ฝูงชนด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว อยู่ๆ ก็พลันหัวเราะขึ้นมา แล้วหยิบยาอายุวัฒนะไท่หยวนเข้าปากโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย พร้อมกันนั้นเขาได้เก็บขวดหยกที่เหลือยาอายุวัฒนะไท่หยวนอีกสองเม็ดไว้กับตนเองด้วย แล้วกลับไปนั่งลงบนบัลลังก์งประมุขตระกูลลู่ในห้องโถง พลันหลับตาลงรอให้เม็ดยาสำแดงฤทธิ์
ในเมื่อลูกชายแสดงความกตัญญูต่อเขาเช่นนี้ เช่นนั้นตัวเขาเองย่อมต้องเป็คนแรกที่ได้ััมัน ในมุมนี้ผู้อื่นไม่อาจมาตำหนิเขาได้ ขนาดสมาชิกในตระกูลลู่ที่มีอำนาจยังทำได้เพียงลอบกลืนน้ำลาย ไม่มีใครกล้าออกมาคัดค้านสักคน
ทุกคนในที่นี้พลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที แล้วกลั้นหายใจ จับตาดูการเปลี่ยนแปลงของประมุขลู่เหว่ยจุน
มีเพียงลู่อวี่ที่ดูมีท่าทีเฉยเมยทำเหมือนมานั่งกินลมชมวิว ยาอายุวัฒนะไท่หยวนนี้เขาปรุงขึ้นเพื่อยกระดับพลังยุทธ์ให้ตัวเอง แต่น่าเสียดายที่วัตถุดิบมีน้อยเกินไป เขาจึงปรุงยาออกมาได้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น ตัวเขาเองใช้ไปสองเม็ดแล้วขณะที่กำลังฝึกฝน และอีกสามเม็ดที่เหลือก็มอบให้กับลู่เหว่ยจุน คิดไม่ถึงว่าบิดาจอมปลอมผู้นี้จะยังรักษาตำแหน่งประมุขของหนึ่งในเจ็ดตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเทียนตูได้ บิดาจอมปลอมคงอยากจะดึงเอาพลังของยาอายุวัฒนะทั้งสามเม็ดนี้ออกมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดและดีที่สุดอย่างแน่นอน!
ดูเหมือนการมีตระกูลอยู่ก็ไม่เลว หลายๆ เื่มักจะมีคนอื่นทำไว้ให้แล้ว ตัวเขาเองไม่ต้องกังวลกับมันเลยสักนิด!
ทันทีที่ยาเม็ดเล็กเข้าปากก็ละลายกลายเป็ของเหลวอุ่นๆ ที่ค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย ยังไม่ทันที่ลู่เหว่ยจุนจะได้ลิ้มรสยา ตัวยาที่กลายเป็ของเหลวก็แปรเปลี่ยนเป็พลังลมปราณขนาดมหึมาที่กระจายตัวอยู่ภายในร่างกาย เช่นนั้นเขาจึงรีบทำสมาธิ มุ่งมั่นใช้เคล็ดวิชา ดูดซับและปรับเปลี่ยนพลังลมปราณ แม้ว่าพลังลมปราณจะมีขนาดมหึมา แต่กลับอ่อนโยนและบริสุทธิ์ ประกอบกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก และรวบรวมกำลังของเคล็ดวิชา เพียงสิบลมหายใจ ก็แปรเปลี่ยนเป็พลังที่แท้จริงของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อพลังงานที่แท้จริงเพิ่มขึ้น แรงดันมหาศาลภายในเส้นลมปราณที่แท้จริงยิ่งไหลเวียนเร็วขึ้น พลังเดิมก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน
ทุกคนในห้องโถงรู้สึกว่าพลังของประมุขเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง และมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นย่างต่อเนื่อง ภายในใจของทุกคนพลันเต้นตึกตักขึ้นมาทันใด หากระดับพลังยุทธ์ของประมุขตระกูลลู่เพิ่มขึ้น เช่นนั้นการบีบบังคับให้เขาสละตำแหน่งในวันนี้จะจบลงอย่างไร?
สีหน้าของท่านผู้เฒ่ารองลู่หงชางดูเคร่งเครียดและยุ่งยากใจ เดิมทีพลังยุทธ์ของลูกชายเขานั้น ฝึกฝนจนสามารถรับมือกับลู่เหว่ยจุนได้แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเกิดช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของพลังเสียแล้ว ส่วนแผนการที่ตัวเขาหวังจะยึดตำแหน่งประมุขก็ดันมีเื่ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสียก่อน
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบข้างของลู่เหว่ยจุนก็ตกอยู่ในความตึงเครียด เปลวไฟสีทองพลันพุ่งออกมาจากร่างกาย ห่อหุ้มรอบกายของเขาเอาไว้ เปลวไฟสีทองนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อสิ่งอื่นแต่อย่างใด มันเพียงแต่แผ่กระจายความร้อนแรงเท่านั้น... เปลวไฟยังคงโหมกระหน่ำไปทั่วห้องโถงและแผ่กระจายต่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ใน่ไม่กี่อึดลมหายใจ มันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งยอดูเาที่เป็ที่ตั้งของห้องโถง และครอบคลุมไปทั่วพื้นที่หลายร้อยจั้ง
หากมองสถานที่ตั้งของศาลบรรพชนตระกูลลู่จากไกลๆ ก็คล้ายกับว่ากำลังจุดดอกไม้ไฟสีทองบานสะพรั่ง สีสันแลดูสวยงามทว่ากลับอันตรายนัก!
เปลวไฟสีทองนี้คล้ายกับมีจิติญญา แต่มันไม่ได้โจมตีใส่ใครแม้แต่ผู้เดียว ทำเพียงปล่อยพลังที่ร้อนแรงออกมา และพลังที่ไหลเวียนแล้ว ก็ไร้ทีท่าว่าจะพวยพุ่งออกไปโจมตีผู้ใด
เวลานี้ลู่เหว่ยจุนนึกประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ยาอายุวัฒนะไท่หยวนขั้นหกมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือจริงๆ ไม่คิดว่าจะทำให้พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มสูงขึ้นแทบจะในทันทีเช่นนี้ จากตงซวนระดับกลางได้บรรลุไปจนถึงระดับสูงสุด ซึ่งช่วยร่นระยะเวลาไปได้อย่างน้อยหกสิบถึงเจ็ดสิบปี กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือทำให้ตัวเขามีอายุยืนนานขึ้นได้อีกหกสิบหรือเจ็ดสิบปี ผลลัพธ์ของพลังเป็เช่นนี้ จะไม่ให้ลู่เหว่ยจุนมีความสุขมากได้อย่างไร?
ที่สำคัญไปกว่านั้น ยาอายุวัฒนะไท่หยวนนี้ลูกชายนำมาให้ ล้วนแล้วสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น!
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังลั่นขึ้น เสียงก้องกังวานไปทั่วทั้งูเาเทียนฉยง
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะลั่นของประมุข ทุกคนในห้องโถงก็พลันบังเกิดความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ปะปนกัน
เพราะหากพลังยุทธ์ของประมุขเพิ่มขึ้น สถานะของเขาก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น แต่แม้ลู่อวี่จะหยิบยกเอายาอายุวัฒนะอันล้ำค่าเช่นนี้ออกมา และทำให้พลังยุทธ์ของประมุขตระกูลลู่ก้าวะโไปถึงขั้นปลายของตงซวนก็ตาม แต่ยาเพียงเม็ดเดียว จะเทียบกับทรัพยากรมหาศาลและผลประโยชน์ที่คนในตระกูลสูญเสียไปได้อย่างไร? กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือมันจะมีประโยชน์อะไรกับสมาชิกคนอื่นในตระกูลลู่เช่นพวกเขา?
แต่ผู้เฒ่าทั้งหลายไม่ได้พูดพร่ำเพ้อเจ้อ พวกเขาเองต่างไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานมากเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว ระดับพลังยุทธ์ของประมุขลู่เหว่ยจุนก็เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง แต่หากเขาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และนำพลังที่มีไปใช้เสริมอำนาจบารมี เช่นนั้นก็ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความยุติธรรมอยู่ในที เวลาแบบนี้ จึงควรระมัดระวังตัวไว้จะดีกว่า
“พลังของประมุขลู่เหว่ยจุนได้ก้าวไปสู่ขั้นปลายตงซวน ระดับความสามารถเทียบเคียงได้กับท่านผู้เฒ่าใหญ่ลู่หงเซิ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น 'เคล็ดวิชาเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์' นั้นรุนแรงยิ่งนัก ในตระกูลลู่นอกเหนือจากบรรพชนแล้ว เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้อีก เช่นนั้นไม่สู้พวกเราเฝ้าดูสถานการณ์และเตรียมตัวรับมือไว้ดีกว่า!”
“เฝ้าดูสถานการณ์เตรียมตัวรับมืออะไรกัน? ลู่อวี่นำยาที่สามารถฝ่าด่านพลังบำเพ็ญเพียรให้บิดาของเขายกระดับพลังยุทธ์เช่นนี้ ไม่ใช่ว่ามันมีประโยชน์ต่อเราหรือ? แล้วจะปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนั้นได้อีกหรือ?”
"พลังยุทธ์ของประมุขเพิ่มสูงขึ้น เดิมทีเป็สิ่งที่ดีสำหรับตระกูลลู่ของเรา แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่ลู่อวี่ไม่ไยดีมันเอาเสียเลย!"
“ลู่อวี่ถูกคนจากเขาหนิงชุยเฟิงขับไล่ออกมาแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงยังเอายาอายุวัฒนะไท่หยวนที่เป็สมบัติของเขาเจิ้งซานในเขาหนิงชุยเฟิงมาได้เล่า? ข้าว่าเื่นี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลโดยแน่”
แม้ว่าผู้คนที่อยู่เบื้องล่างจะซุบซิบนินทากันเพียงใด แต่สมาชิกาุโของตระกูลลู่กลับทำเพียงฟังผ่านๆ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วพากันจ้องมองไปทางลู่เหว่ยจุนด้วยดวงตาที่ลุกเป็ไฟ พวกเขายังจำกันได้ ขวดยาที่บรรจุยาอายุวัฒนะไท่หยวนขวดนั้นยังอยู่ในมือของลู่เหว่ยจุน บางทีภายในอาจจะยังมียาอายุวัฒนะไท่หยวนอยู่ อาจจะมีมากกว่าหนึ่งเม็ด และสิ่งนั้นมันช่างดึงดูดพวกเขาจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบเคียงได้
ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรผู้แข็งแกร่งจะได้รับการเคารพ การบำเพ็ญเพียรนั้นยิ่งใหญ่เทียบเท่าผืนนภา การฝึกฝนของคนคนหนึ่งย่อมแสดงถึงอายุขัย อำนาจ สถานะ และผลประโยชน์ ดังนั้นเมื่อไรที่มีโอกาสจึงต้องเร่งยกระดับพลังให้สูงขึ้น จึงไม่แปลกที่ไม่ว่าใครต่างก็จ้องยาอายุวัฒนะไท่หยวนตาเป็มันด้วยนึกอยากจะ แม้แต่ผู้เฒ่ารองลู่หงชางที่เอ็ดตะโรให้ลู่เหว่ยจุนก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อครู่นี้ ก็ยังไม่กล้าบังคับให้เขาสละตำแหน่งในเวลานี้ ได้แต่นิ่งเงียบเท่านั้น
บรรยากาศในศาลบรรพชน เริ่มแปลกไปทันที
ผู้เฒ่าสามลู่หงจี กล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุขด้วย พลังยุทธ์ได้บรรลุก้าวขึ้นสู่อีกขั้นแล้ว! และหากบรรลุพลังบำเพ็ญเพียรไปได้อีกขั้น ไม่แน่สักวันอาจได้บรรลุไปถึงขั้นเกิดเทพเ้า ตระกูลลู่ของเราในเทียนตูก็จะยิ่งมั่นคงขึ้น”
ท่านผู้เฒ่าใหญ่ลู่หงเซิ่ง เองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ใช่ เหว่ยจุนลำพังพร์ของเ้าย่อมบรรลุถึงขั้นเกิดเทพเ้าได้แน่ ขอเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น”
ทว่าลู่หงเซิ่งพูดถึงเพียงเท่านั้นก็หยุดชะงักไปพักหนึ่ง และเปลี่ยนเื่พูด “แต่สำหรับตระกูลหนึ่งแล้ว ต้องรวบรวมความแข็งแกร่งของคนทั้งตระกูลไว้ ถึงจะมีความมั่นคงและสืบทอดอำนาจได้อย่างยั่งยืน”
ลู่อวี่นำยาอายุวัฒนะอันล้ำค่าเช่นนี้มาให้กับคนในตระกูลได้ ย่อมสมควรได้รับคำชม แต่สิ่งนี้ไม่สามารถชดเชยความเสียหายทั้งหมดที่เขาสร้างไว้ให้กับทั้งตระกูลได้ อย่างน้อยเขาควรได้รับการลงโทษเสียบ้าง
ลู่หงชางตาลุกวาวขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถูกต้อง แม้ว่ายาอายุวัฒนะจะสำคัญ แต่กฎเกณฑ์ของตระกูลนั้นย่อมสำคัญกว่า นี่คือรากฐานที่ตระกูลลู่ของเราสืบต่อกันมานานนับพันปี จะปล่อยให้ถูกทำลายลงเพียงเพราะยาอายุวัฒนะไม่กี่เม็ดได้อย่างไร? เหว่ยจุน สิ่งใดสำคัญกว่ากันเ้าน่าจะเข้าใจ!”
ลู่หงชางเขาวางแผนเอาไว้ในใจแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป ขอเพียงทำให้ลูกชายของเขาแย่งชิงตำแหน่งประมุขมาได้ แม้แต่ยาอายุวัฒนะไท่หยวนที่เหลืออยู่ในขวดหยกนั้นก็สามารถสั่งให้ลู่เหว่ยจุนส่งมอบให้ได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว! ไม่จำเป็ต้องหาแม้แต่คำแก้ตัว ถือเสียว่าเป็การตอบแทนที่คนในตระกูลลู่คอยดูแลลู่อวี่ก็แล้วกัน เชื่อว่าเื่นี้คงไม่มีใครกล้าไม่เห็นด้วย
เมื่อมีท่านผู้เฒ่าสองท่านออกตัวให้ กลุ่มคนที่กังวลเื่ประมุขของตระกูลจะตามคิดบัญชีหลังจบเื่ก็รู้สึกกล้าขึ้นมาทันที จึงเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง
“ถูกต้อง คิดจะหนีการลงโทษด้วยยาอายุวัฒนะเพียงเม็ดเดียวหรือ ฝันไปเถอะ!”
“ยาอายุวัฒนะเพียงเม็ดเดียว ไม่สามารถลบความอัปยศที่ลู่อวี่นำมาสู่ตระกูลลู่ได้!”
“เหอะ โง่เขลาเบาปัญญา คิดว่ามียาอายุวัฒนะล้ำค่าเพียงไม่กี่เม็ดในมือแล้วจะสามารถจับจุดอ่อนและบีบบังคับให้ตระกูลลู่ตกปากรับคำไม่ให้เ้าต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่ตนเองก่อได้อย่างนั้นหรือ ช่างเป็ความคิดเฟ้อฝันลมๆ แล้งๆ เสียจริง!”
ทว่าท่านประมุขลู่เหว่ยจุนกลับแสดงท่าทีเพิกเฉยต่อคำครหาของทุกคนในที่นี้ และหันไปถามลู่อวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “อวี่เอ๋อร์ เ้าเอายาเม็ดไท่หยวนเหล่านี้มาจากที่ใดกัน?”
ภายในห้องโถงเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงถกเถียงอีกต่อไป คำถามนี้ของลู่เหว่ยจุนนั้นช่างตรงประเด็น และเป็คำถามที่ทุกคนอยากรู้มากที่สุด เพราะมันเป็จุดศูนย์รวมของความขัดแย้งในตอนนี้!
เื่นี้มีลับลมคมในไม่น้อย เขาหนิงชุยเฟิงไม่น่าจะมอบหรือขายยาอายุวัฒนะไท่หยวนอันล้ำค่านี้ให้กับลู่อวี่ที่ไม่ได้เื่ผู้นี้แน่ แต่หากยาอายุวัฒนะเหล่านี้ไม่ได้มาจากเขาหนิงชุยเฟิง เช่นนั้นแล้วลู่อวี่ไปเอาพวกมันมาจากที่ใดกัน? หรือต่อให้เขาคิดจะขโมย แต่ด้วยพละกำลังที่เขามี การที่คิดขโมยของบางอย่างจากเขาหนิงชุยเฟิงที่มีการป้องกันแ่า คงไม่มีทางเป็ไปได้!
ลู่อวี่ทำเพียงยิ้มจางๆ แล้วเหลือบตามองคนกลุ่มนั้นที่ส่งเสียงดังอย่างดูแคลน ถึงยอมหันไปพูดกับลู่เหว่ยจุนว่า “ข้าปรุงยานี้ขึ้นมาเอง มันก็แค่ยาอายุวัฒนะไท่หยวนขั้นหกเท่านั้น ท่านพ่อ หากท่าน้า อีกสองวันข้าจะปรุงยาให้ท่านเป็การเฉพาะ”
นี่เป็ครั้งแรกที่ลู่อวี่เรียกลู่เหว่ยจุนว่า “ท่านพ่อ” นับั้แ่เดินเข้ามาในศาลบรรพชน ก็ใครใช้ให้เขามาอยู่ในร่างลูกชายไร้ยางอายของลู่เหว่ยจุนกันเล่า จึงทำได้เพียงอดทนเพราะทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าจะต่อต้านสถานะของบิดาจอมปลอมผู้นี้มาก แต่ก็ทำได้เพียงกลั้นใจยอมรับมัน
ภายในห้องโถงของศาลบรรพชนเงียบสงัดขึ้นมาทันที ยาอายุวัฒนะไท่หยวน ถือเป็สมบัติล้ำค่าในเขาเจิ้งซานของเขาหนิงชุยเฟิง เป็ที่รู้ดีว่าในแต่ละปีจะปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนออกมาได้เพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น
ทว่าลู่อวี่กลับพูดว่าจะปรุงยาให้ประมุขตระกูลลู่เป็การเฉพาะ? คุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอายเช่นนี้ ช่างน่าขันยิ่งนัก!
ลู่เหว่ยจุนเองก็ใกับคำพูดของลูกชายเช่นเดียวกัน ลูกชายที่ไปอาศัยอยู่ที่เขาหนิงชุยเฟิงเป็เวลาถึงสามปี ไร้ซึ่งวิชาความรู้ ไร้ซึ่งความสามารถ และไม่เคยหยิบจับทำสิ่งใดเป็ชิ้นเป็อัน มายามนี้กลับมาบอกว่าเขาสามารถปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนได้ เช่นนี้จะไม่นับว่าเป็การโกหกหน้าตายหรืออย่างไร?
ผู้เฒ่าใหญ่ลู่หงเซิ่งแอบส่ายศีรษะ เดิมทีหลังจากเห็นท่าทีของลู่อวี่ที่พัฒนาขึ้นมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน แต่เวลานี้กลับรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ดีไปกว่าแต่ก่อนแม้แต่น้อย เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลย แต่อวดรู้อวดเก่ง และโง่เขลาจนคิดว่าทุกคนในห้องโถงเป็คนโง่!
เวลานี้ จู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “ลู่อวี่เ้าบอกว่าเ้าสามารถปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนได้ เช่นนั้นแล้วเ้าพูดกับทุกคนดูสิว่า เ้าเรียนปรุงยาได้ั้แ่เมื่อไร? แล้วเรียนรู้มาจากผู้ใดกัน?”
“พี่แปด นี่ท่านกำลังถามเื่ไร้สาระอยู่หรือ? คนไร้ประโยชน์เช่นเขาจะรู้วิธีปรุงยาบ้าอะไรกัน แต่เื่คุยโวเขาคือที่หนึ่งของตระกูลลู่เชียวเล่า ระดับนี้ เขามันเกินเยียวยาแล้ว!”
“เดาว่าเขาคงคิดว่าการปรุงยาคือการบดวัตถุดิบยา เติมน้ำลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ปั้นเป็ลูกบอลกลมๆ ก็เป็ยาแล้วน่ะสิ หากเป็เช่นนี้จริง ไม่แน่ลู่อวี่อาจจะเรียนรู้วิธีการปรุงยาได้!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ลู่อวี่เป็เพียงลูกศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งและถูกคนจากเขาหนิงชุยเฟิงขับไล่ออกมาเท่านั้น แต่กลับกล้าอวดอ้างว่าตนสามารถปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนขั้นหกได้จริงๆ ไม่นับว่าสมเหตุสมผลเอาเสียเลย ไม่เจอกันเพียงเดือนเดียวก็สามารถปรุงยาอายุวัฒนะขั้นหกได้แล้ว นี่คงไม่ใช่เื่ล้อเล่นใช่หรือไม่? และหากเป็เช่นนี้จริง คนที่บำเพ็ญเพียรและอุทิศทั้งชีวิตเพื่อปรุงยามาหลายสิบหรือหลายร้อยปี คนเ่าั้จะไปอยู่ที่ใดเล่า?
ลู่เหว่ยจุนขมวดคิ้วหันไปถามต่อว่า “อยู่ในศาลบรรพชนเช่นนี้ไม่อาจพูดล้อเล่นได้ เ้าบอกว่าเ้าสามารถปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนได้ คำพูดนี้จริงหรือ?”
ลู่อวี่รู้ว่า ถ้าไม่สามารถหาวิธีโน้มน้าวให้พวกเขาเชื่อได้ คนในตระกูลเหล่านี้จะไม่มีทางเอ่ยปากแน่นอน แต่ยาอายุวัฒนะไม่ใช่เื่ยากอะไรสำหรับอดีตปรมาจารย์ยาเช่นเขา ดังนั้นจึงพูดอย่างเย่อหยิ่งไปว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ขอให้ท่านพ่อเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่จำเป็ต่อการปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนให้ข้าด้วย ข้าจะปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนอีกหม้อให้เป็ที่ประจักษ์โดยถ้วนหน้าที่นี่!”
กล่าวจบ เขาจึงถือโอกาสหยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา กางมันลงบนฝ่ามือ และจดวัตถุดิบที่จำเป็ในการปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนลงไป ใช้พลังลมปราณดันมันให้ลอยขึ้นช้าๆ ไปยังที่นั่งตำแหน่งประมุขของตระกูล
ลู่เหว่ยจุนรับสูตรยานั้นไว้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับลู่หงจีว่า “ท่านลุงเจ็ด เช่นนั้นข้าต้องรบกวนให้ท่านไปเยี่ยมท่านลุงสิบหกเสียหน่อยแล้ว!”
ลู่หงจีพยักหน้ารับ แล้วะโลอยตัวกลายเป็แสงสีฟ้าแล้วพุ่งทะยานออกไปจากศาลบรรพชนทันที