ทันใดก็เกิดเสียงดังะเืเลื่อนลั่นขึ้น
ราวกับสายฟ้าฟาดในวันที่ท้องฟ้านั้นแจ่มใสที่บริเวณปากทางเข้าหุบเขาเต็มไปด้วยฝุ่นควันฟุ้งกระจายพัดออกไปทางด้านนอก มีเงาร่างของคนสามคนท่าทางตื่นตระหนกพุ่งสวนออกมาจากกลุ่มควันอย่างรวดเร็วก่อนจะหันหลังจ้องมองกลับไปทางที่พวกเขาออกมาดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้พบกับบางสิ่งที่น่ากลัวเป็อย่างมากสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว อุปกรณ์สวมใส่ก็ถูกทำลาย ใบหน้าเต็มไปด้วยเขม่าสีดำราวกับถูกไฟเผาสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่ทั้งสามหนีออกมาจากหุบเขาได้พวกเขาต่างก็นิ่งเงียบราวกับเก็บงำบางสิ่งไว้ในใจ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักคำก่อนจะวิ่งหนีไปด้วยความรวดเร็วอย่างสุดกำลังที่ยังเหลืออยู่
ส่วนฉินโจ้วนั้นในเวลานี้อยู่ห่างจากปากทางเข้าหุบเขาราวสองร้อยเมตรเห็นจะได้ซึ่งระยะทางดังกล่าวก็ไม่ไกลมากจนถึงกับจะมีอันตรายแต่อย่างใด แต่เขาเองกลับรู้สึกว่ามันไม่น่าจะง่ายดายขนาดนั้นหลังจากชั่งใจอยู่ราวสองวินาทีเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงและกำลังจะถอนตัวทันใดนั้นเองในขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้เห็นภาพที่น่ากลัวสยดสยองขึ้น
ร่างหนึ่งค่อนข้างเลือนรางมองเห็นได้ไม่ชัดเจนได้ก้าวออกมาจากหมอกควันซึ่งเป็เื่ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดด้วยสายตาของฉินโจ้วและความช่วยเหลือจากเนตรเซียนพญายมนั้นต่อให้กำลังเหาะเหินอยู่ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแต่เขากลับไม่สามารถมองทะลุผ่านร่างนี้ไปได้ ในใจของเขาคิดได้อย่างเดียวหรือว่าร่างนี้จะแข็งแกร่งมากเกินไปหรือบางทีอาจเป็แค่อากาศที่อยู่รอบตัวนั้นบิดเบือนจนทำให้สายตาของเขาไม่สามารถมองทะลุผ่านไปได้
รูปร่างที่เห็นนั้นค่อนข้างเตี้ยมีความสูงราวหนึ่งเมตรเห็นจะได้ มองดูไปก็คล้ายกับคนแคระที่หน้าตาอัปลักษณ์เขาเองก็มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ ได้ยินแต่เพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนของอี่เทียนหงที่กำลังวิ่งอยู่รั้งท้ายเมื่อสิ้นเสียงร้องร่างกายก็สลายกลายเป็แสงสีเทาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าดูเหมือนว่าเขาจะถูกฆ่าตายแล้ว
ผู้คนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้จากระยะไกลต่างก็ตกตะลึงด้วยกันทั้งสิ้นความสามารถของอี่เทียนหงเป็อย่างไรนั้น พวกเขาต่างก็รู้ดีแต่นี่ถึงกับถูกฆ่าตายภายในไม่กี่วินาทีทั้งๆ ที่เป็ระดับผู้เชี่ยวชาญนั่นก็แสดงให้เห็นว่า ร่างที่เห็นอยู่นั้นแม้จะแข็งแกร่งแต่ก็เกินที่จะต้านรับไว้ได้
ใน่ที่เงาร่างนั้นลงมือฆ่าอี่เทียนหงดูไม่ต่างไปจากการปัดแมลงวัน ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปในทันที และมาปรากฏกายอีกทีอยู่ด้านหลังของชายวัยกลางคนสะพายหอกซึ่งการที่สามารถเข้ามาประชิดตัวได้จากระยะที่ห่างไกลถึงขนาดนั้นเรียกว่าเกือบจะขี่หลังชายวัยกลางคนอยู่แล้วโดยที่เขาเองไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเผ่นหนีอย่างป่าราบโดยไม่หยุดถึงแม้จะมองจากที่ห่างไกลมาก แต่กวงเย้าเหรินเจี้ยนเองยังรู้สึกเย็นวาบที่หลัง ถึงแม้ว่าอุณหภูมิในเวลานี้นั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่เหงื่อที่ไหลออกมากลับเย็นเฉียบ ดูเหมือนว่าจะมองเห็นร่างเงาได้ไม่ถนัดตานัก ร่างเงานั้นทำท่าทางยกมือขึ้นมาก็เดาต่อได้เลยว่าแม้มือนั่นจะฟาดใส่ร่างของชายวัยกลางคนสะพายหอกอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนแค่ไหนก็ตามถ้าไม่แบนติดดินก็ต้องตายอนาถอย่างแน่นอน คงจะไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของกระดูกหลงเหลือให้เห็นเป็แน่
ผู้เชี่ยวชาญที่เหลืออยู่ก็ถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถหลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ กวงเย้าเหรินเจี้ยนก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ และออกไปทันทีโดยไม่รอแม้แต่เพียงครู่จักรพรรดิหยกก็ตัดสินใจไม่ต่างกันเรียกใช้ม้วนคัมภีร์กลับเมืองก่อนจะพาผู้เล่นจำนวนมากกลับไปด้วย
ดูท่านี่จะเป็มอนสเตอร์ที่ไม่มีผู้เล่นคนใดสามารถที่จะรับมือได้
"ย๊าาาาาก..."
เสียงะโดังขึ้นมาจากดาบวงพระจันทร์ ราวกับเขามีตาหลังทันใดนั้นเขาก็หยุดเคลื่อนไหวก่อนจะหันกลับไปใช้ดาบฟันใส่หนึ่งครั้งดาบก็เรืองแสงขึ้นราวกับสายรุ้ง สายฟ้าที่ฟาดใส่ขนาดหนึ่งหมื่นจวินเมื่อรู้ว่ามอนสเตอร์กำลังวิ่งตามหลังเขาอยู่ เขาเองก็รู้ว่าถึงอย่างไรก็คงจะวิ่งหนีไม่พ้นถ้าต่อสู้ก็อาจจะพอมีชีวิตรอด ดังนั้นคงต้องโจมตีเท่านั้น
หลังจากที่ได้เห็นการตายของอี่เทียนหงฉินโจ้วจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาหันหลังกลับก่อนจะโกยแน่บทันทีด้วยทักษะย่ำหิมะไร้ร้อยแบบเต็มเหนี่ยว เพียงแค่พริบตาเดียวก็วิ่งออกมาได้ราวร้อยเมตรแล้วในเวลานั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีอันตรายกำลังตามหลังมา ทั้งๆ ที่รู้แต่ก็อดที่จะเหลียวกลับไปมองไม่ได้อยู่ดี
ทันทีที่หันกลับไปมองก็พบกับดวงตาคู่หนึ่งซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าเป็ดวงตาของอะไร แต่ให้ความรู้สึกเืเย็น โเี้ไร้ซึ่งความปรานี อีกทั้งยังกระหายเื แปลกประหลาด และเต็มไปด้วยความว่างเปล่าไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็นดูเ็าไม่แยแสต่อสิ่งใดคล้ายกับก้อนหินท่ามกลางหิมะ ไร้ซึ่งชีวิต แต่กลับมีชีวิตขึ้นมาและยังทรงพลังมากอีกด้วย
ฉินโจ้วเข้าใจได้เป็อย่างดีว่า พลังชีวิตของมอนสเตอร์ประเภทนี้ต้องสูงมากแน่ๆ
บึ้ม...!
พลังที่รุนแรงมากเกินจินตนาการพุ่งออกมาจากดวงตาที่น่ากลัวนั้นในขณะที่กำลังวิ่งหนีอยู่นั้น ร่างของฉินโจ้วก็สั่นะเือย่างแรงไม่ต่างจากถูกรถถังยิงใส่ ก่อนจะปลิวกระเด็นไปไกลกว่าสามสิบเมตร หลังจากตกถึงพื้นร่างก็สลายกลายเป็แสงสีเทา ถูกฆ่าตายโดยทันที อย่างไม่มีคำว่าบังเอิญ
เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าพลังของมอนสเตอร์ตัวนี้จะมากเกินจินตนาการไปเสียแล้ว
แคร๊ง...!
หลังจากที่มอนสเตอร์เห็นฉินโจ้วตายลงก็ยกมือของมันขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะป้องกันการโจมตีจากดาบวงพระจันทร์ไว้ได้อย่างง่ายดาย เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นคล้ายกับทองและหินกระทบกันดูเหมือนว่าการโจมตีแบบสุดแรงของดาบวงพระจันทร์นั้นจะใช้ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
ดาบวงพระจันทร์นั้นทั้งโกรธและใในเวลาเดียวกันสีหน้าที่ซีดเผือดของเขาจู่ๆ ก็พลันเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ แขนของเขาขยายใหญ่กล้ามเนื้อปูดโปนขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยมีดนับร้อยออกมาในทันทีชั่วพริบตาเดียวในทุกตารางนิ้วก็เต็มไปด้วยดาบแสงเป็จำนวนมากพายุการโจมตีนั้นรุนแรงและครอบคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้วของมอนสเตอร์เอาไว้คราวนี้เป็การสู้ตาย ความแข็งแกร่งของคนมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาคิดที่จะสู้ตายแม้ว่าพวกเขาเองยังคงมีความหวาดกลัวอยู่ก็ตามที
ที่ระยะทางห่างออกไปนั้นผู้เล่นที่อยู่ด้านหลังต่างก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจความแข็งแกร่งของดาบวงพระจันทร์นั้นสูงมากจนคาดไม่ถึงไม่แปลกใจเลยที่ผู้เชี่ยวชาญคนแรก ''คุณชายงูทอง''ถึงยอมรับว่าเป็คู่ต่อสู้ที่เหมาะสม ดูเหมือนว่าเขาจะมีความโดดเด่นมากกว่าคนอื่นจริงๆ
ต่อหน้าการโจมตีราวกับพายุโหมกระหน่ำมอนสเตอร์นั้นตอบโต้กลับอย่างง่ายดายด้วยหมัดเดียว เพียงหมัดเดียวเท่านั้นก็ซัดดาบทั้งหลายนั่นกลับไปอย่างหมดสภาพเสียงร้องของดาบวงพระจันทร์ดังขึ้นอย่างโหยหวน เขากระดอนเด้งไปไกลก่อนจะปลิวออกไปร่างนั้นฉีกขาดราวกับถูกเสือขย้ำก็ไม่ปาน ทั่วทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเืยังไม่ทันที่เขาจะหล่นกระแทกกับพื้น ก็สลายกลายเป็แสงสีขาวและได้ตายลง
หนึ่งหมัดทลายหมื่นวิถี
"นี่เป็ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฮั่นป๋าอย่างนั้นหรือ?แข็งแกร่งยิ่งนัก" ดวงตาของฉิวเฉ่ากังนั้นไม่ปรากฏความหวาดกลัวแต่อย่างใดกลับมีแต่ความตื่นเต้นกะพริบวาบอยู่ภายใน
"ฟู่..." เสียงลมหายใจออก
เพียงแค่อึดใจเดียวก็สามารถพุ่งไปหาผู้เล่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ถึงลมหายใจจะดูอ่อนแรงในขณะที่พ่นออกไปจากปากแต่จู่ๆก็เปลี่ยนมาเป็แม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่พัดเข้าใส่อย่างรุนแรงและหนักหน่วงเพียงแค่พริบตาเดียวก็ก้าวข้ามระยะทางไปได้ไกลกว่าสามร้อยเมตรความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ ในขณะที่อยู่ห่างสามร้อยเมตร ผู้เล่นต่างจ้องมองดูอย่างเพลิดเพลินโดยไม่คิดเลยว่าหายนะกำลังจะร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเพราะไม่คิดว่าฮั่นป๋าจะโจมตีด้วยวิธีนี้ เมื่ออยู่ในระยะสามร้อยเมตรก็คงต้องแสดงความเสียใจว่ามันสายไปเสียแล้ว เมื่อพายุพัดโหมกระหน่ำ พลังชีวิตก็กลายเป็ว่างเปล่าในทันทีไม่ต้องพูดถึงเื่ยาเพิ่มพลังชีวิต หรือการใช้ทักษะรักษาชีพที่มันสายไปเสียแล้วแสงสีเทาแห่งความตายพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าคนแล้วคนเล่าเมื่อคลื่นพลังได้พัดผ่านไปแล้ว ผืนดินสีดำก็มีแต่ความว่างเปล่าเหลือผู้รอดชีวิตเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ดูไปแล้วไม่น่าจะเกินสิบคน ได้แก่ฉิวเฉ่ากัง ฟางเซียวเสี้ยว ชุดขาวลอยล่องและคนจากกลุ่มผู้นำทั้งหลายยังคงรอดชีวิต เนื่องจากพวกเขานั้นมีอุปกรณ์สำหรับช่วยชีวิตเป็จำนวนมากแต่ที่ไม่คาดคิดก็คงจะเป็เด็กสาวร่างเล็กที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากผ่านไปสามวินาทีฉินโจ้วก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จากนั้น ดาบวงพระจันทร์ก็ฟื้นคืนชีพตามมาดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงต่างก็มีอุปกรณ์สำหรับช่วยชีวิตเก็บไว้เป็จำนวนไม่น้อย
แต่ทว่าเมื่อดาบวงพระจันทร์ฟื้นขึ้นมาเขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ทันทีที่ถูกสายตาของฮั่นป๋าจับจ้องมาที่เขาอีกครั้งเขารู้สึกใจนขวัญหนีดีฝ่อ หลังจากที่พลาดเหยียบขี้วัวไปแล้ว เขาก็รีบวิ่งหนีออกจากหุบเขาราวกับติดปีกขณะที่วิ่งไปก็ะโโหวกเหวกไปว่า "ไอ้บ้าเอ๊ย... ไอ้มอนสเตอร์งี่เง่าเห็นได้ชัดว่ามีคนอื่นที่ฟื้นคืนชีพก่อนหน้าฉันอีก แล้วทำไมยังต้องจ้องมาที่ฉันอีกไม่ยุติธรรมเลยนี่หว่า... หนุ่มหน้าตาดีอย่างฉันยังไม่อยากตายซ้ำซากโว้ย...ยิ่งเพิ่มระดับยากๆ อยู่ อีกอย่างตุ๊กตาแทนตัวก็หมดแล้วด้วยใครก็ได้ช่วยด้วยยยยยย..."
ฉินโจ้วนั้นเรียกว่าโชคช่วยก็เป็ได้บางทีอาจเป็เพราะค่าโชคของเขาที่สูง เลยทำให้เขาได้เปรียบอยู่เล็กน้อยใน่เวลาที่วิกฤติเช่นนี้เวลานี้คงไม่จำเป็ต้องพูดอะไรอีกนอกจากเผ่นป่าราบ
สุดท้ายแล้วดาบวงพระจันทร์ก็ไม่อาจหนีพ้นจากหายนะในครั้งนี้ไปได้หลังจากที่วิ่งหนีไปได้ราวร้อยเมตรก็ถูกฮั่นป๋าไล่ทัน เพียงแค่ถูกััอย่างแ่เบาหลังจากนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรหลงเหลืออีกต่อไป
เมื่อถึงคราวจะต้องตาย ต่อให้มีตุ๊กตาแทนตัวก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้อยู่ดี
เมื่อได้เห็นฮั่นป๋าออกมาแล้วทั้งฉิวเฉ่ากังและฟางเซียวเสี้ยวจึงได้เริ่มเคลื่อนไหว
ม้วนคัมภีร์เวททั้งสองเล่มถูกโยนขึ้นไปในอากาศก่อนจะเกิดความหนาวเหน็บสุดขั้วปรากฏขึ้นมาก่อนจะครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณความร้อนและอากาศที่กำลังระอุอยู่ก็พลันเปลี่ยนกลับเป็น้ำแข็งและหิมะไปซึ่งเป็ความหนาวเย็นที่ไม่มีอะไรเทียบได้เลย
"ดินแดนหิมะโปรยเยือกแข็ง"
เวทน้ำแข็งระดับสูงที่ใช้พร้อมกันทั้งคู่เป็การเปิดตัวการโจมตีที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก
"ไอ้พวกเวรพวกนี้ ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร"ฉินโจ้วถึงกับต้องะโด่าขึ้นมาเพราะว่าเขาเองนั้นอยู่ในขอบเขตของเวทมนตร์เสียด้วย นี่เป็ถึงเวทระดับสูงต่อให้เขาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็ตายอนาถแน่นอนเห็นได้ชัดเลยว่าฉิวเฉ่ากังนั้นไม่้าให้เขามีชีวิตรอดออกไปใน่เวลาคับขันของความเป็ความตาย ฉินโจ้วไม่สามารถหลีกหนีได้ทันจึงได้หยิบเอาโลงศพทองเหลืองออกมา
ตูมม...!
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับถูกดาวตกพุ่งเข้าใส่ทุกอย่างถึงกับกระดอนขึ้นจากพื้น ฉินโจ้วเห็นดังนั้นจึงรีบกลืนยาเพิ่มพลังทันที จากนั้นก็ออกแรงดันฝาโลงออกให้มีช่องว่างพอที่จะลอดตัวเข้าไปก่อนจะปีนลงไปอย่างรวดเร็วและปิดฝาลงเหลือไว้เพียงช่องสำหรับหายใจเท่านั้นโชคยังดีที่เขาเพิ่มระดับจนถึงเลเวล 60 แล้วทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นมากพอสมควร ไม่อย่างนั้นแล้วต่อให้กินยาเพิ่มพละกำลังเข้าไปบางทีก็ไม่อาจจะเปิดฝาโลงได้ด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าโลงศพลึกลับใบนี้ จะมีน้ำหนักมากเสียจริง
หลังจากที่ฉินโจ้วเข้าไปในโลงผืนดินก็พลันถูกปกคลุมด้วยสีขาว ความร้อนแห้งแล้งราวกับทะเลทรายจู่ๆก็กลายเป็เหน็บหนาวราวกับขั้วโลก ภายในรัศมีสองร้อยเมตรได้กลายเป็โลกที่มีแต่น้ำแข็งบริเวณจุดกึ่งกลางนั้นปรากฏให้เห็นประติมากรรมน้ำแข็งขนาดย่อมตั้งอยู่ซึ่งความสูงต่ำนั้นค่อนข้างปกติ นอกจากโลงศพที่ดูแตกต่างแล้วที่โดดเด่นขึ้นมาจนดูไม่ต่างจากนกกระเรียนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงลูกเจี๊ยบ ยืนอยู่ราวกับเป็เ้าของสถานที่แห่งนี้นั่นก็คือ ฮั่นป๋า นั่นเอง
โลงศพที่ทำด้วยทองเหลืองนี้ยังคงสภาพเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลงไม่มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะแม้แต่น้อยดูเหมือนว่าเวทระดับสูงจะไม่ส่งผลกับมันแม้แต่น้อยขนาดฮั่นป๋าเองยังถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเสียมิดขนาดนั้นนี่แสดงว่าโลงศพอยู่ในระดับที่สูงกว่าฮั่นป๋าอีกอย่างนั้นหรือ? ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน ทำให้โลงศพทองเหลืองนี้ดูพิเศษขึ้นมาโดยพลัน
"นี่ใช่โลงศพจริงๆ หรือนี่น่าประหลาดใจมากที่ใช้โลงศพราวกับเป็อุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง"เมื่อเปรียบเทียบกับฮั่นป๋าแล้วดูเหมือนว่าสาวน้อยร่างเล็กจะให้ความสนใจกับโลงศพมากกว่าดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ใจหนึ่งก็อยากจะวิ่งตรงมาลองััแต่อีกใจก็กลัวพลังของดินแดนหิมะโปรยเยือกแข็งหลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้ตัดสินใจที่จะวิ่งตรงมายังโลงศพทองเหลือง
"ระวังตัวด้วยนะ"ชุดขาวลอยล่องก็รู้สึกประทับใจในตัวสาวน้อยร่างเล็กอย่างบอกไม่ถูกรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสาวน้อยคนดังกล่าว จึงรีบวิ่งตามไล่หลังมาอย่างใกล้ชิด
โลกนี้ออกจะกว้างใหญ่ไพศาล จึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าจะมีคนใช้โลงศพเป็อาวุธอยู่บ้างฟางเซียวเสี้ยวเองก็รู้สึกสนใจอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามฮั่นป๋าที่ทรงพลังก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็หรือตาย ถึงแม้ว่าจะถูกแช่แข็งอยู่แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจว่ามันจะถูกฆ่าด้วยม้วนคัมภีร์เวท ''ดินแดนหิมะโปรยเยือกแข็ง''เพียงสองม้วนหรือไม่
ฉิวเฉ่ากังเหลือบมองไปยังสาวน้อยร่างเล็กด้วยความรู้สึกไม่พอใจนี่มันเวลาอะไรกัน ยังจะมีอารมณ์มาดูโลงศพอยู่อีก ช่างไม่รู้จักคิดบ้าง ดูเหมือนว่าเธอน่าจะมีวิธีการหลีกเลี่ยงความตายที่เป็ความลับอยู่ไม่อย่างนั้นคงโดนไฟเผาไหม้ไปตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นว่าชุดขาวลอยล่องนั้นมาด้วยก็ปรากฏร่องรอยแห่งความโเี้สว่างวาบขึ้นในดวงตา น้ำเสียงกลายเป็เ็า
"เตรียมใช้เวทสุดท้ายเอาไว้ เราจะให้ที่นี่วันนี้เป็วันตายของฮั่นป๋า"
"ได้ครับ ท่านหัวหน้า"ฟางเซียวเสี้ยวเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ ต่อมาเขาจึงได้หยิบม้วนคัมภีร์เวทออกมาก่อนจะขว้างไปที่ฮั่นป๋า
"ดาบแห่งแสงสว่าง"
ดาบั์ที่มีความยาวประมาณสามเมตรหน้ากว้างเกือบครึ่งเมตร จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า มีสีขาวราวกับหิมะขาวบริสุทธิ์ รู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ภายในอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งธาตุศักดิ์สิทธิ์อย่างรุนแรงทันทีที่ดาบั์ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเตี้ยลงถนัดตาถึงแม้พลังที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบนั้นจะไม่เฉียบคมแต่ก็ทำให้รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งราวกับแสงแดดที่กำลังแผดเผาหิมะให้หลอมละลาย ซึ่งยิ่งใหญ่และทรงพลังคล้ายกับว่าไม่มีใครสามารถต้านทานคมดาบของสิ่งนี้ได้เลย
นี่คือเวทมนตร์ระดับสูงและยังเป็เวทธาตุแสงที่หาได้ยากอีกด้วยดูเหมือนว่าฉิวเฉ่ากังจะเตรียมตัวมาได้ดีเลยทีเดียวไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าต่อกรกับฮั่นป๋า
ทันทีที่ดาบแห่งแสงสว่างปรากฏขึ้นชุดขาวลอยล่องก็ััได้ถึงความรู้สึกเลวร้ายทันที เธอเองเป็นักบวชซึ่งก็ถูกนับรวมว่าเป็สาขาหนึ่งในธาตุแห่งแสงประสาทััจึงค่อนข้างไวเป็พิเศษกับธาตุแสงด้วยกันแม้ว่าดาบแห่งแสงสว่างจะเป็เวทสำหรับโจมตีเพียงครั้งเดียวแต่เนื่องจากเป็เวทระดับสูงและขอบเขตในการโจมตีค่อนข้างกว้างมาก ดังนั้นถ้าไม่ระมัดระวังในเื่ของทิศทางก็อาจจะได้รับผลกระทบจากเวทดาบแห่งแสงสว่างก็ได้ถึงแม้ว่าเธอเองนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งแต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานต่อความรุนแรงของเวทขั้นสูงได้ ถ้าหากว่าเลือกที่จะวิ่งหนีไปแล้วเกิดสาวน้อยร่างเล็กโชคร้ายขึ้นมาล่ะ ทำให้กลายเป็สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเวลานี้สาวน้อยร่างเล็กเองก็เห็นท่าไม่ดี ก่อนจะหันหลังแล้วะโกลับไปว่า"ฉิวเฉ่ากัง เ้าวายร้าย ขอให้นายถูกฟ้าผ่า"
หลังจากที่สาวน้อยร่างเล็กพูดจบก็รีบไปเคาะฝาโลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามว่า "นี่...พี่ชายสุดหล่อที่อยู่ข้างใน จะว่าอะไรไหม ถ้าจะขอยืมโลงของนายซ่อนตัวด้วยน่ะพอมีที่ข้างในเหลือว่างบ้างไหม?"
ฉิวเฉ่ากังมีสีหน้าแสดงความโกรธขึ้นมาทันที วันนี้วันเดียวเขาก็ถูกสาปแช่งให้ฟ้าผ่าถึงสองครั้งติดๆกัน คนหนึ่งก็เป็คนที่เขาเกลียดอยู่แล้วส่วนอีกคนก็ดูเหมือนจะเป็เด็กสาวไร้เดียงสาซึ่งดูเหมือนว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้ผู้คนต่างพากันเข้าใจผิดปกติฉิวเฉ่ากังเองเป็คนที่อารมณ์ดีมาก แต่ในขณะนี้คงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธมากแต่อย่างไรก็ดีก่อนที่เขาจะได้ทันพูดอะไรออกไปนั้น ก็ได้เกิดเสียงแตกร้าวเล็กน้อยดังออกมาจากร่างของฮั่นป๋าถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะแ่เบามาก แต่ก็ไม่ต่างจากเสียงฟ้าร้องดังก้องในหูของเขา
แคร๊กก...!
ดูเหมือนจะเป็เสียงน้ำแข็งที่กำลังแตกออกอากาศร้อนดั่งไฟแผ่ซ่านออกมาจากรอยแตกดังกล่าว ถึงอย่างไรฮั่นป๋าก็ยังคงเป็ฮั่นป๋าอยู่ดีจะถูกทำลายด้วยเพียงแค่เวทมนตร์ระดับสูงสองชิ้นได้อย่างไรกัน
เสียงเปิดฝาโลงดังขึ้น ฉินโจ้วขยับฝาโลงออกมาเพื่อให้เกิดช่องว่างเหงื่อซึมไปทั่วร่างกาย ก่อนจะโผล่หน้าออกมาแล้วพูดกับสาวน้อยร่างเล็กว่า"เร็วเข้า... มอนสเตอร์กำลังจะออกมาแล้ว"
"พี่ชายรูปหล่อ นายสุดยอดมากเลย ไว้ฉันจะตอบแทนนายอย่างดี"สาวน้อยร่างเล็กพูดขึ้นด้วยความดีใจ แล้วก็จะมุดเข้ามาในโลงอย่างเร็วโดยไม่กลัวแม้แต่น้อย ฉินโจ้วถึงกับทำตาปริบๆ ช่างรวดเร็วอะไรขนาดนี้เขาเองยังมองเห็นไม่ถนัดเลยว่าสาวน้อยร่างเล็กนั้นเข้ามาได้อย่างไรดูท่าสาวน้อยคนนี้คงจะลึกลับอยู่ไม่เบา ไม่แปลกใจเลยที่ฉิวเฉ่ากังถึงได้หวาดกลัวเธอคนนี้
"โอ้โห... กว้างมากเลยภายในตกแต่งด้วยลวดลายที่ดูสวยงามไม่คิดเลยว่าจะได้การเห็นแกะสลักบนกระดองเต่าที่นี่ เอ... ดูเหมือนว่าฉันจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนน้าา...น่าเสียดายที่ไม่มีเสื่อไว้ปูนั่ง เลยแข็งไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่ไม่หนาวฉันไม่ค่อยชอบความหนาวน่ะ" ทันทีที่สาวน้อยร่างเล็กเข้ามา เธอก็เริ่มพูดคุยไม่หยุด และเธอคงลืมไปว่ายังไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำแต่ทำตัวราวกับอยู่บ้านของตัวเอง
"ชุดขาว... เร็วเข้า" ฉินโจ้วส่งเสียงร้องเตือนชุดขาวลอยล่อง
ขณะที่ลังเลอยู่เพียงครู่ชุดขาวลอยล่องก็ะโตามเข้ามาในโลงศพ ด้วยท่วงท่าราวกับะโน้ำ ดูสง่างามและสวยงามอย่างน่ามหัศจรรย์ จากนั้นมีเสียงดังครืดก่อนที่ฝาโลงจะเลื่อนปิดลง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง น้ำแข็งที่ปกคลุมร่างของฮั่นป๋าก็ะเิออกเศษน้ำแข็งกระจายไปทั่วท้องฟ้า และความร้อนก็แผ่ขยายออกมาอย่างเต็มที่ไม่ต่างจากูเาไฟะเิความร้อนที่ออกมาทำให้ผืนดินกลับคืนสู่สภาพเดิม น้ำแข็งเริ่มละลายเพียงแค่อึดใจเดียวดินแดนที่ถูกแช่แข็งด้วยเวทน้ำแข็งระดับสูงก็ถูกทำลายด้วยฝีมือของฮั่นป๋า
ฮั่นป๋ากำลังยืนอยู่บนพื้นดินมือทั้งสองคลายออก เขาดูแข็งแรงมั่นคงราวกับเทือกเขาไท่ซานก็ไม่ปาน ถึงแม้ว่าในเวลานี้รูปร่างอาจจะดูไม่ได้สูงใหญ่มากนักแต่ก็ถือได้ว่าสูงเทียมฟ้าเลยทีเดียว ซึ่งดูสูงใหญ่จนไม่มีอะไรเทียบได้ดูราวกับเป็เ้าของดินแดนแห่งนี้ ท่าทางที่แข็งแกร่งนั้นแสดงออกมาอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆราวกับคลื่นในทะเลที่บ้าคลั่ง พุ่งเข้าใส่ก้อนหินจนสลายกลายเป็อากาศธาตุช่างน่าหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง
แคร๊งงงงง...!
คล้ายกับเสียงระฆังโลหะขนาดใหญ่ส่งเสียงดังออกมาดูเหมือนว่าจะได้ยินไปไกลทั่วทุกทิศทาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้