มู่จื่อหลิงที่ฮึกเหิมและมุ่งมั่นเมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นทางเดินไร้จุดสิ้นสุดอยู่ไกลๆ คิดถึงเพียงการเดินทางไกลอันห่วยแตก เท้าของนางก็อยากหมดแรงไปโดยไม่รู้ตัว!
นางในยามนี้ ก็เหมือนกับมะเขือที่ถูกแช่แข็ง เหี่ยวเฉาลงในชั่วพริบตา
หลงเซี่ยวอวี่น่าชิงชัง รู้เพียงจะพาสตรีงามล่มเมืองของเขาไปด้วยกัน เพียงกะพริบตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางเพียงแค่พูดไปเท่านั้นก็ทิ้งนางไว้ที่เดิมจริงๆ
ยังมีพ่อค้าหน้าเืที่น่าชังอีก จากท่าทางเ้าเล่ห์ของเขาแล้ว เป็ไปได้ที่เขาจะรู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะมาหาตน จึงได้หนีไปเพียงลำพัง ถ้าเรียกนางไปด้วยแต่แรก คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้
สมควรตาย พ่อค้าหน้าเืขูดรีดนางไปมากมายเพียงนั้น เขาไม่รู้หรือว่าช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดเหมือนส่งพระไปชมพูทวีป?
ในใจมู่จื่อหลิงหดหู่ถึงขีดสุด...แต่ไหนแต่ไรถ้านั่งได้นางก็ไม่มีทางยืนเด็ดขาด ถ้าเดินทางลัดได้นางก็ไม่มีทางเดินอ้อมเด็ดขาด
ทว่า ตอนนี้ทั้งมิอาจนั่ง และไม่มีทางลัดให้นาง ก็ได้แต่กัดฟันลากสังขารอเนจอนาถและอิดโรยไปตามทางเดินไกลลิบอย่างช้าๆ แล้ว
มู่จื่อหลิงถอนหายใจยาวๆ ถ้าตอนนี้มีคนมาคงดีมากนัก!
แต่พื้นที่ห่างไกลที่ในร้อยเมตรไม่มีนกบินแม้สักตัวแห่งนี้ ถ้าไม่มีธุระใครจะมากัน?
ท้ายที่สุดมู่จื่อหลิงก็กัดฟัน ก้าวเท้าไปในทางเดินอันเงียบงันอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ทว่าสิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ยามนี้ ในบริเวณไม่ไกล บนต้นไม้โบราณที่ใกล้กับป่าสายหมอกมีลูกธนูคมกริบเล็งมาที่ตำแหน่งหัวใจของนางอยู่
ที่นั่นมีเงาร่างอรชร สูงประมาณเด็กที่อายุเจ็ดแปดขวบ นางในยามนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโเี้ สองตาคมกริบราวเหยี่ยว จ้องคนที่เดินช้าๆ อยู่บนทางเดินอันกว้างใหญ่
ถ้ามู่จื่อหลิงในยามนี้พบเห็นคนบนต้นไม้ นางจะต้องรู้จักเป็แน่ คนผู้นี้คือเด็กสาวที่ทำให้นางถูกฝูงหมาป่าไล่ล่า
ติงติง!
แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นหลบซ่อนได้ดีเกิน หรือมู่จื่อหลิงอยู่ในสภาวะเซื่องซึมงุนงง จึงไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาหานาง
ติงติงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบแน่นขนัด มือผอมบางสามารถน้าวคันธนูที่สูงเกือบเท่าตัวของนางได้อย่างคาดไม่ถึง หัวลูกศรอันคมกริบเล็งไปที่ตำแหน่งหัวใจของมู่จื่อหลิงอย่างแม่นยำ
นึกอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่ามู่จื่อหลิงที่ไร้อาวุธ ในสถานการณ์ที่อันตรายจนถึงชีวิต ก็หนีเอาชีวิตรอด ก้าวข้ามคาบเกี่ยวแห่งความเป็ตายอย่างสวัสดิภาพ
นางรับภารกิจลอบสังหาร แผนการที่วางไว้ล้วนละเอียดรอบคอบ ไม่เคยล้มเหลว นางก็พอเดาได้ว่ามู่จื่อหลิงอาจจะถูกคนช่วยเอาไว้
ทว่า ถ้ามู่จื่อหลิงถูกช่วยชีวิตจริงๆ ก็ช่างเถิด
แต่ เดิมเช้านี้มาเพื่อตรวจสอบผลไปรายงาน สิ่งที่นางไม่อยากเชื่อก็คือ นางใช้นกหวีดหมาป่าที่ไร้เสียงเรียกฝูงหมาป่า ก็มากันแค่สองสามตัวเท่านั้น แม้แต่าาหมาป่าก็ไม่เห็น
สุดท้ายนางถึงพบว่าหมาป่าทั้งป่าสายหมอกหายไปเกือบจะทั้งหมด ต่อให้ร้ายกาจแค่ไหนก็มิอาจกำจัดสุนัขทั้งฝูงไปเกือบหมดในคืนเดียวสั้นๆ และไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
ตอนนี้นางไม่สนใจว่าหมาป่าทั้งฝูงหายไปได้อย่างไร นางไม่สนว่ามู่จื่อหลิงร้ายกาจอย่างไร ในชีวิตนางไม่มีทางอนุญาตให้เกิดความล้มเหลวขึ้นเด็ดขาด เื่นี้สำหรับนางแล้วคือความอัปยศ!
เมื่อคืนนี้นางกลับคว้าน้ำเหลว ปล่อยให้มู่จื่อหลิงหนีไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน
แต่ว่า ครั้งนี้...
“ฉีหวางเฟย ถ้าครั้งนี้เ้ายังสามารถหนีไปได้อีกล่ะก็ เช่นนั้น...ข้าก็จะใจกว้างเมตตาปล่อยเ้าไปสักครั้ง” ติงติงลากเสียงยาว พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาทั้งสองข้างที่คมกริบราวกับเหยี่ยวแผ่รังสีคมกริบ
ริมฝีปากที่แดงเหมือนผลอิงเถายกขึ้นอยู่ในองศาที่น่าพิศวงและกระหายเื ใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส “แต่ ดูท่าคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ ครั้งนี้เ้าจะต้องตายโดยไร้ข้อกังขาเป็แน่”
สิ้นเสียงพูด ทันใดนั้น มือน้อยก็ปล่อยออกทันที
ได้ยินเพียงเสียง ‘ฟิ้ว’
ลูกธนูแหวกอากาศมาเหมือนกับดาวตก พุ่งไปที่หัวใจของมู่จื่อหลิงอย่างรวดเร็วและโเี้
ลูกธนูทั้งรวดเร็วแม่นยำ พุ่งมาอย่างดุดัน แทบจะต้านทานไม่อยู่
ทว่า
ขณะที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ทันใดนั้น สถานการณ์ก็พลิกผัน
“หวางเฟย ระวัง!” เสียงร้องะโด้านหลังมู่จื่อหลิงที่เป็ดั่งความหวังสุดท้ายก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน
สิ่งที่มู่จื่อหลิงอยากได้ยินมากที่สุดในยามนี้ก็คือเสียงของคน และเสียงนี้ยังเรียกนางอีกด้วย ชั่วขณะนั้นนางเพียงยินดีเท่านั้น ไม่รับรู้อันตรายที่กำลังจะมาเยือนอย่างสิ้นเชิง
สำหรับมู่จื่อหลิงแล้วได้ยินเสียงนี้ก็เหมือนได้ยินเสียง์ ั์ตานางสว่างวาบขึ้นมาทันที เอียงกายหันหน้ากลับมาอย่างตื่นเต้น ความเร็วในการเอนกายนั้นรวดเร็วเกินกว่าจะเปรียบเทียบได้
ท่ามกลางอันตรายนั้น การกระทำก็นับว่าเร็ว แต่
“อึ้ก!”
บนแขนก็มีความเจ็บที่ร้อนผ่าวส่งมาอย่างกะทันหัน ทำให้มู่จื่อหลิงหลุดร้องออกมา
“แม่หนูหวางเฟย!” เสิ่นซือหยางที่ได้เห็นนาทีที่มู่จื่อหลิงถูกลูกศรปักก็ใจนตาเบิกโตขึ้นมาโดยพลัน วิ่งมาที่มู่จื่อหลิงด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ
มู่จื่อหลิงอึ้งไปโดยพลัน นางมองลูกศรที่คมกริบไร้เทียมทาน แทงเข้าไปที่แขนบอบบางของนาง
ถูกยิง?
นี่เหมือนถูกเข็มใหญ่มหึมาแทงเข้าไปอย่างแรง และยังเป็เข็มที่ใหญ่เพียงนี้
สำหรับนางแล้วเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว และขวัญเสียจนอยากเป็ลมทันที อยากร้องไห้โฮยิ่งนัก!
ทว่า วินาทีถัดมา นางก็ได้ยินเสียงเคร่งขรึมน่าเกรงขามของเสิ่นซือหยางดังขึ้นในชั่วขณะที่นางถูกลูกศร ที่ตื่นใจนพูดไม่เป็คำ เรียกนางว่าแม่หนูหวางเฟย?
ทั้งหวางเฟย ทั้งแม่หนู นางพลันรู้สึกยิ้มไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ขึ้นมา
“เร็ว ลูกศรยิงมาจากทางนั้น ตาม!” เสิ่นซือหยางรีบร้องสั่งการทหารด้านหลังเขา
ทหารกลุ่มใหญ่เคลื่อนขบวนอย่างเอิกเกริก รีบเร่งติดตามไปทางป่าสายหมอก
เดิมริมฝีปากติงติงคลี่เป็รอยยิ้มเย็นที่กระหายเืและมั่นใจ สองแขนกอดอก รอให้หัวใจของมู่จื่อหลิงถูกแทงทะลุและล้มลงไปอย่างใจเย็น
ทว่า
เช่นนี้ก็ได้หรือ?
ติงติงเห็นลูกศรที่ตนยิงออกไปแทงถูกแค่แขนของมู่จื่อหลิงก็เบิกตาโตขึ้นมาทันทีด้วยความไม่อยากเชื่อ ในใจพลันเรียกได้ว่าหงุดหงิดขึ้นมา
คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลยว่า์จะมอบเศษความโชคดีเช่นนี้ให้มู่จื่อหลิงหลบลูกธนูลอบสังหารของนางไปได้
นอกจากสมองดีแล้ว ลูกศรที่นางลอบยิงก็เป็ทักษะอันน่าภาคภูมิใจที่สุดของนาง แทบจะไร้คนเทียบเทียม
ไม่คิด ไม่คิดว่าปล่อยให้มู่จื่อหลิงที่ไร้วรยุทธ์คนหนึ่งเอียงกายหลบไปได้
ด้วยโชคดีอันไม่น่าเชื่อเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงสามารถหลบพ้นไปได้ นี่เท่ากับเป็การตบหน้า ตบหน้าอย่างจังๆ ทำให้นางโมโหจนคลุ้มคลั่งขึ้นมา!
“สมควรตาย! ช่างโชคดีเสียจริง!” ติงติงสบถด่า ะโลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็วว่องไว หายไปในป่าสายหมอกที่หนาทึบในชั่วพริบตา
“หวางเฟย ท่านเป็อย่างไร?” เสิ่นซือหยางที่กระวนกระวาย เมื่อเห็นนางเต็มไปด้วยคราบโลหิตแห้งกรังก็ถามอย่างร้อนใจ “นี่ท่านถูกฝูงหมาป่าทำร้าย?”
เสิ่นซือหยางเห็นมู่จื่อหลิงผิดปกติไป ใบหน้าดวงเล็กดูเหมือนยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ยังคิดว่านางใลูกศรจนอึ้งตะลึงไป
เมื่อนึกถึงฉากที่อันตรายเหลือแสนเมื่อครู่นี้ เสิ่นซือหยางก็ยังคงหวาดผวาจนหลั่งเหงื่อเย็น อันตรายยิ่งนัก!
ก่อนหน้านี้อารมณ์บนใบหน้ามู่จื่อหลิงยังคงหลากหลาย แต่ยามนี้ นางก็ได้สติกลับเข้ามามองแขนที่ถูกลูกศรแทง
ใบหน้านางซีดขาวโดยพลัน เหงื่อเย็นหลั่งไหล นี่มิใช่เจ็บ แต่ใลูกศรบนแขนต่างหาก
“บนกายนี่ไม่ใช่เืข้า ท่าน...ท่านรีบช่วยข้าดึงลูกศรออกมาที!” มู่จื่อหลิงใจนใบหน้าซีดขาว แทบจะร้องไห้ออกมา
“นี่ทำไม่ได้เด็ดขาด ดึงออกสุ่มสี่สุ่มห้า จะเจ็บจนท่านทนไม่ไหว และเืก็จะไม่หยุดไหล” เสิ่นซือหยางปฏิเสธโดยทันที
มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าสุขุมหนักแน่น “ไม่เป็ไร ดึงเถอะ บนตัวข้ามียาห้ามเืที่พกมาด้วย”
ยามนี้นางหมดหนทางจะอธิบายให้เสิ่นซือหยางฟังแล้ว หากยังไม่ดึงอีก นางอาจจะตายได้ แต่นางมิได้เจ็บจนตาย แต่เพราะถูกลูกศรบาดตาที่อยู่บนแขนทำให้ใตาย!
“เช่นนั้นข้าน้อยจะดึงแล้ว ท่านอดทนไว้!” เสิ่นซือหยางเอาชนะนางไม่ได้ สีหน้ายังคงเจือความกังวลเช่นเดิม
แม่หนูผู้ดื้อรั้นดึงดัน แต่ความเจ็บเช่นนี้ นางจะอดทนได้หรือ?
มู่จื่อหลิงกัดฟัน ผงกศีรษะสำทับ “อืม ดึงเถิด”
เสิ่นซือหยางตัดหัวศรที่แทงทะลุออกแล้วดึงลูกศรออกมารวดเดียว เืสดๆ บนแขนมู่จื่อหลิงก็ไหลทะลักออกมา!
เจ็บ!
แม้จะเตรียมใจไว้แต่แรก แต่ความเจ็บนี้ก็ยังเจ็บกว่าตอนที่ถูกลูกศรแทงเข้าไป มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเย็นเข้าไปอย่างทนไม่ไหว
“เป็อย่างไร?” เสิ่นซือหยางถามอย่างร้อนรน แม่หนูนี่อดทนได้จริงๆ
“ผู้เฒ่าเสิ่น ไม่เป็ไร ถอนลูกศรออกมาแล้วรื่นตาขึ้นมาก สบายขึ้นเยอะเลย” มุมปากมู่จื่อหลิงยกขึ้นอมยิ้มอย่างไม่เห็นว่าสลักสำคัญ
แม้เสิ่นซือหยางจะกังวล แต่เมื่อได้ยินมู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้ มุมปากของเขาก็อดกระตุกไม่ได้
แม่หนูผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ หากเปลี่ยนเป็เด็กสาวคนอื่นคาดว่าคงใจนเป็ลมไปแล้ว
มู่จื่อหลิงหยิบยาและผ้าพันแผลออกมา ภายใต้การช่วยเหลือจากเสิ่นซือหยาง าแก็ถูกจัดการอย่างง่ายๆ จนเรียบร้อย
“หวางเฟยมิได้อยู่กับท่านอ๋องหรือ?” สีหน้าเสิ่นซือหยางยังเคร่งขรึมเช่นเดิม
เขาพาทหารมาปิดล้อมูเาไว้ ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ยินว่าหาแม่หนูนี่เจอแล้ว เขาจึงเตรียมพาทหารกลับ ไม่คิดเลยว่าจะมาพบเื่เช่นนี้เข้า
“ผู้เฒ่าเสิ่น อย่าได้เรียกข้าว่าหวางเฟยเลย พวกเราก็มิใช่คนอื่นคนไกลกันเสียหน่อย ท่านว่าใช่หรือไม่?” มู่จื่อหลิงใช้น้ำเสียงผ่อนคลายหยอกล้อ
เสิ่นซือหยางมุมปากกระตุก ยายหนูผู้นี้ช่าง...
มู่จื่อหลิงตั้งใจเปลี่ยนเื่ “ใช่สิ พวกท่านมาตามหาข้า?”
นางในยามนี้ไม่อยากพูดถึงบุรุษที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ทิ้งนางไว้ที่เดิม
โชคดีที่์ยังคงเมตตานางอยู่เล็กน้อย ใน่เวลาแห่งความเป็ตายก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เมื่อครู่ถ้าไม่มีเสียงะโเรียกของเสิ่นซือหยาง ถ้าไม่ใช่เพราะนางตอบสนองอย่างตื่นเต้นเกินไป ลูกศรนี้คงโดนกลางใจไปแล้ว? จากนั้นนางก็จะตายไป บอกลาโลกนี้ไปชั่วกาล
เสิ่นซือหยางเห็นมู่จื่อหลิงเจตนาเปลี่ยนเื่ก็ดูเหมือนเข้าใจขึ้นมา จึงไม่ได้ถามมากอีก เขาพูดว่า “รู้ว่าท่านอ๋องหาท่านพบแล้ว พวกเราถึงเตรียมตัวกลับ จึงได้พบเข้าอย่างบังเอิญ ว่าแต่ แม่หนู เมื่อคืนเ้าหนีฝูงหมาป่าได้อย่างไร?”
มู่จื่อหลิงผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย แสร้งพูดด้วยความจริงจัง “เื่นี้พูดแล้วยาวนัก ภายหลังมีโอกาสค่อยพูดกับท่าน โชคดีที่เมื่อครู่พวกท่านมาทัน ทำให้ข้ารักษาชีวิตไว้ได้”
เสิ่นซือหยางหลักแหลมเพียงใด เขารู้ว่าแม่หนูนี่ต้องทะเลาะอะไรกับท่านอ๋องแน่ ยายหนูนี่กำลังขุ่นเคืองใจ
ยามนี้ ทหารที่ตามมือสังหารไปกลุ่มนั้นกลับมาแล้ว
“หวางเฟย ใต้เท้าเสิ่น มือสังหารหนีไปแล้ว แต่ก็พอเห็นเงาร่างนางอยู่แวบหนึ่ง เป็เด็กน้อยเมื่อคืนนี้” เฮยชีใบหน้ามั่นใจ พูดอย่างนอบน้อม
“เป็นางอีกแล้ว” มู่จื่อหลิงโมโหจนกำหมัด เคลื่อนไหวรวดเร็วดีนี่ นางเพิ่งออกมาไม่นาน ก็ถูกหมายหัวแล้ว
ช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่ราบรื่นโดยแท้!
นางถูกโชคร้ายอะไรเข้าสิงใช่หรือไม่ เหตุใดนางล้วนได้พบเคราะห์ร้ายอยู่ร่ำไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้