การโอดครวญของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดำเนินต่อไปจนถึงพลบค่ำ จนเยวี่ยเจาหรานเหนื่อยล้าไปทั้งตัว แม้แต่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ก็ไม่เหลืออีกแล้ว ทำได้แค่ตอบสนองนางแบบขอไปที ซึ่งนางก็ยังไม่มีความคิดที่จะหยุด จนเยวี่ยเจาหรานที่ง่วงงุนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นนั้น อยากซัดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสักหมัดให้สลบเสียเดี๋ยวนั้น
ทว่าแต่ไหนแต่ไรเยวี่ยเจาหรานก็ไม่อาจเอาชนะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะชกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วให้สลบเลย เกรงว่าเมื่อปล่อยหมัดออกไป คนที่จะล้มหงายเก๋งคงเป็เยวี่ยเจาหรานเอง
ดังนั้นเขาจึงอดทนต่อความง่วงสุดขีดอย่างมีสติ ยังคงพยายามเท้าคางแล้วขานรับคำบ่นของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว และเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคเป็การปิดท้าย “จะกลัวอะไรกัน หากเขารังแกเ้า เ้าก็ตีเขาสิ ตีให้เขาตาเขียวไปเลย”
หากเยวี่ยเจาหรานยามนี้สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่ากวีลือชื่อแห่งเจียงหนานที่ฮ่องเต้ส่งมาผู้นั้นมีความสามารถลึกล้ำเพียงใด เขาต้องเก็บคำพูดที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนั่นกลับมา และรีบน้อมคารวะขออภัยอาจารย์อวี้ทันทีแน่นอน
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีความสามารถข้ามเวลาทำนายอนาคต จึงขาดความเคารพนับถือที่ควรมีต่ออาจารย์อวี้ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนอยู่จริงๆ
ทว่าคำพูดนั้นกลับโดนใจเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างมาก เพียงได้ยินคำพูดของเยวี่ยเจาหราน ดวงตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็พลันเปล่งประกายขึ้นมาอย่างมีความหวัง แววตานั้นราวกับกักเก็บดวงดาวทั่วท้องนภาเอาไว้ นางคว้าไหล่ของเยวี่ยเจาหรานเอาไว้ หน้าชื่นตาบาน “เ้าพูดถูกแล้ว! หากเขารังแกข้า ข้าก็จะ… ตีเขาให้ตาเขียวไปเลย!”
ในที่สุดก็ค้นพบวิธีรับมืออย่างยากลำบาก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดีอกดีใจเหมือนกับเด็กน้อยตัวโต แต่เยวี่ยเจาหรานนั้นง่วงมากแล้วจริงๆ จึงได้แต่คว้ามือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่จับอยู่บนไหล่ของตนไว้ข้างหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างลำบากใจยิ่ง “รู้แล้วๆ แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ถ้ายังไม่นอน พรุ่งนี้พวกเราคงจะได้ตาเขียวคล้ำเสียเอง...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกำลังตื่นเต้นดีใจจนไม่อยากจะปิดตานอนเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะถูกเยวี่ยเจาหรานดึงไปที่เตียงอย่างถูลู่ถูกัง แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความกระตือรือร้นในการฝึกฝนวิชากังฟูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้เลย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพียงลากเยวี่ยเจาหรานมาต่อยซ้ายสองหมัด เตะขวาอีกสองที แล้วะโโลดเต้นอึกทึกครึกโครม แสดงวิธีต่อกรกับอาจารย์อวี้พรุ่งนี้อยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็หลับตาลงและนอนจนกระทั่งฟ้าสว่าง
่นี้เยี่ยนและเยวี่ยที่ถูกสวี่ชิวเยวี่ยก่อกวนการนอนอย่างเลวร้ายนั้น ได้เริ่มชินชากับการเรียกปลุกของนางทุกเช้าแล้ว ทว่าวันนี้ยังไม่ทันได้มีคนมาเรียก ก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างว่าง่าย และเปิดประตูในทันทีที่เสียงเคาะประตูครั้งแรกของสวี่ชิวเยวี่ยดังขึ้น ก่อนจะรับอาหารเช้าที่ถืออยู่ในมือของสวี่ชิวเยวี่ยมา
“ขอบใจนะ เปี่ยวเม่ย” เยวี่ยเจาหรานหาวหวอด มือถือจานกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน สวี่ชิวเยวี่ยเบิกตาจ้องเขม็งเยวี่ยเจาหรานอย่างคาดไม่ถึง คิดว่านางกำลังวางอำนาจใส่ตนไปเสียได้
ยังไม่ทันเอ่ยปากก็คว้าตัวเยวี่ยเจาหรานเอาไว้ แม้เสียงจะเบาแต่กลับเย็นะเื “เปี่ยวเกอล่ะ? เ้าอย่าได้คิดจะเปี่ยวเกอไว้คนเดียว!”
เยวี่ยเจาหรานตะลึงงัน เขาไม่เอ่ยตอบ เพียงะโเข้าไปในห้อง “เยี่ยนอวิ๋นเฟย เปี่ยวเม่ยของเ้าเรียกหา”
หลังจากะโเสร็จ เยวี่ยเจาหรานก็หันกลับไปมองอย่างไม่เฉยเมย แล้วยักไหล่ให้กับสวี่ชิวเยวี่ย สื่อว่า ข้าก็ไม่ได้สนใจ ‘เปี่ยวเกอ’ ของเ้าอยู่แล้ว เข้าใจหรือยัง? จากนั้นจึงชักมือกลับ แล้วพาตัวเองเดินเข้าไปข้างใน
สวี่ชิวเยวี่ยไม่มีทางเลือกและไม่อาจระบาย ได้แต่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่ก่นด่า ‘เยวี่ยเยียนหราน’ อยู่ในใจเป็หมื่นรอบ กระทั่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกือบจะเดินมาถึงตัว จึงได้หยุดการกระทำนั้น
“มีอะไรหรือ?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ขอบตาดำคล้ำก็หาวหวอดออกมา ทันใดนั้นก็ถูกสวี่ชิวเยวี่ยคว้าข้อมือเอาไว้ จึงถอยหนีออกมาอย่างไม่รู้ตัว “มี… มีเื่อะไรเ้าก็พูดสิ”
เมื่อเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถอยเว้นระยะ แววตาของสวี่ชิวเยวี่ยพลันฉายความผิดหวังออกมาวูบหนึ่ง แต่ก็กลับมาอย่างรวดเร็ว “เปี่ยวเกอ เมื่อวานท่านเข้าวัง เกิดอะไรขึ้นหรือเ้าคะ?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังขยี้ตาอยู่นั้น กลับถูกคนอื่นดึง ‘เื่ปวดใจ’ ออกมาอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่ง ความปวดร้าวที่ต้องเป็ลูกศิษย์ของบัณฑิตคร่ำครึที่ตนดูแคลนที่สุดเอ่อล้นอยู่ในใจ ทำให้น้ำเสียงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ค่อยดีนัก “อ๋อ ไม่มีอะไร ก็แค่ฝ่าาหากวีชื่อดังแห่งเจียงหนานมาเป็อาจารย์สอนวิชาความรู้ให้ข้า...”
สวี่ชิวเยวี่ยพยักหน้าตาม แล้วฟังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดต่อ “หลังจากนี้ เกรงว่าข้าจะต้องหมั่นศึกษาเล่าเรียน คงไม่มีเวลาอยู่เป็เพื่อนเ้ามากนัก”
เยวี่ยเจาหรานที่กำลังกินติ่มซำอย่างมูมมามอยู่ในเรือนมองดูอย่างเงียบเชียบ เดิมคิดว่าสวี่ชิวเยวี่ยคงไม่ชอบใจที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมีเวลาน้อยลง แต่กลับไม่คิดว่าดวงตาดอกท้อของสวี่ชิวเยวี่ยจะหยีโค้ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็เื่ดี ตอนนี้เปี่ยวเกอวรยุทธ์ล้ำเลิศ หากมีวิชาความรู้อีก คงได้รับแต่งตั้งเป็ขุนนางขั้นหนึ่ง [1] เป็แน่...”
คำยกยอนี้ช่างไร้ระดับเสียจริง เยวี่ยเจาหรานกลอกตาแอบสบประมาทอยู่ในใจ ว่าสวี่ชิวเยวี่ยนั้นทำอะไรตามอำเภอใจ ยังจับจุดความชอบของอีกฝ่ายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ได้เื่เอาเสียเลย!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แล้วส่งคนกลับไปอย่างช้าๆ ก่อนสวี่ชิวเยวี่ยจะไปก็นางยังเพ้อฝันถึงแขนเสื้อแดง [2] เคียงใกล้ยามท่องตำราใต้แสงตะเกียงกับเปี่ยวเกออวิ๋นเฟยของตนอยู่ นางจึงเดินตัวลอยจากไป
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ถูกดึงเื่ปวดใจขึ้นมานั้นกินข้าวเช้าอย่างบึ้งตึง จากนั้นก็ลากเยวี่ยเจาหรานไปรออาจารย์อวี้กวีลือชื่อแห่งเจียงหนานด้วยกันที่ประตูจวนเยี่ยน นี่เป็เื่ฮ่องเต้รับสั่งเป็พิเศษ จึงอยากจะสร้างความประทับใจให้กับอาจารย์อวี้สักเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยอมแพ้เขาทันทีเพราะพื้นฐานแย่หรอกนะ
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก้มหน้าเตะก้อนหินเล็กๆ ไม่ได้จดจ่อกับสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย กระทั่งรถม้าของอาจารย์อวี้โยกโคลงหยุดลงที่ประตูจวนเยี่ยน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงงถูกเยวี่ยเจาหรานดึงสติกลับมา
“ยินดีต้อนรับท่านอาจารย์อวี้...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจิตใจเลื่อนลอย หางเสียงยืดยาว ท่าทีเบาสบายเหม่อลอยไร้อารมณ์ จากนั้นอาจารย์อวี้ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงก็ค่อยๆ เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
เพียงเห็นรูปลักษณ์อันโดดเด่นของเขา รูปร่างสูงเพรียว แม้มองจากด้านข้างจะเหมือนว่าผอมบางอย่างมาก แต่ในร่างนั้นกลับเผยพลังอันเกินกว่าคนธรรมดา... เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่มีอารมณ์จะมองเขา ในใจมีแต่ความท้อแท้ แต่เยวี่ยเจาหรานนั้นกลับจับตามองอย่างตั้งใจ ในใจคิดว่าคราวนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคงได้เจอคู่มือเข้าให้แล้ว
“อืม” สายตาของอาจารย์อวี้กวาดผ่านตัวเยี่ยนเยวี่ยทั้งสองไม่ได้หยุดแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ได้มองพวกเขาอีก เปล่งเสียงในลำคอออกมาครั้งหนึ่ง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก้มหน้าลงอีกครั้ง นิ่งเงียบอย่างไม่รู้สึกยินดี
เยวี่ยเจาหรานรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน จึงดึงแขนเสื้อของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบาๆ เตือนสติให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบเชิญคนเข้าไปข้างใน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันได้สติ ถึงได้เดินไปข้างหน้าอย่างตะขิดตะขวงใจ กำลังจะเชิญอาจารย์อวี้ให้เข้าไปในจวนด้วยตนเอง แต่กลับไม่นึกว่าอาจารย์อวี้ผู้นี้จะเดินเข้าไปก่อนก้าวหนึ่งอย่างไร้ซุ่มเสียง ทิ้งให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานยืนเก้อกับสายลมอยู่อย่างนั้น
“เ้า...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกำลังจะบันดาลโทสะ แต่กลับถูกเยวี่ยเจาหรานดึงตัวเข้ามา แล้วเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “เขาคือปัญญาชนผู้เลื่องชื่อ จะมีความเย่อหยิ่งสักหน่อยก็สมควรแล้ว ยามนี้หากเ้าไม่ไว้หน้าเขา จะไม่เป็การไม่ไว้หน้าฝ่าาหรือ? เข้าไปก่อนค่อยว่ากันอีกที”
ได้ยินดังนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงกำหมัดแน่นไม่เอ่ยอะไรอีก แล้วจึงเดินตามเข้าไปในจวนพร้อมกัน
เชิงอรรถ
[1] ขุนนางขั้นที่ 1 (一品) คือขุนนางระดับมหาเสนาบดี เป็ขุนนางขั้นสูงสุด
[2] แขนเสื้อแดง (红袖) ในสมัยโบราณมีความหมายถึงผู้หญิง เพราะเมื่อก่อนผู้ชายจะไม่สวมเสื้อผ้าสีแดง เว้นแต่ตอนแต่งงาน