“เ้านี่คิดจะหาเงินกับข้าแล้วหรือไร?” หลี่เจ๋อร้องไม่ได้หัวเราะไม่ออก ทว่าเหล้าองุ่นนี้รสชาติดีนัก หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดฝ่าาเมื่อเดือนสิบ บิดาของเขาก็เอ่ยถึงมาตลอด ทว่ายามนั้นหลี่ลั่วไปวัดก่วงเปย และพวกเขาก็ไม่สามารถหน้าหนามาขอเอาได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับมาพบว่าหลี่ลั่วทำการค้านี้เสียแล้ว “นำมาให้ข้าสิบชั่งเถิด” หลี่เจ๋อหยิบเงินออกมายี่สิบตำลึง
“นี่ไม่ใช่จงกั๋วกงซื่อจื่อหรอกหรือไร?” องค์ชายสามบริจาคเงินแล้วจึงออกมา “หรือว่ามาบริจาคเงินหรือ?” แม้เงินหนึ่งร้อยตำลึงจะเป็เงินจำนวนเล็กน้อย แต่ความคิดขององค์ชายสามคือ เขายังบริจาค คนอื่นก็อย่าหมายว่าจะรอดตัวไปได้
“ถวายบังคมองค์...”
“อยู่ข้างนอกไม่ต้องมากพิธีรีตอง” องค์ชายสามประคองเขาขึ้นมา “ไป เ้าคิดว่าจะบริจาคเงินจำนวนเท่าใด?”
“บริจาคเงินอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจ๋อยังไม่รู้เื่รู้ราว
“ไป ข้าจะอธิบายให้เ้าฟัง”
ดังนั้น หลี่เจ๋อจึงถูกองค์ชายทั้งสามลากตัวไปบริจาคเงินจำนวนห้าสิบตำลึง
“ที่นี่ช่างคึกคักเสียจริง” หลังจากหลี่เจ๋อมา หลี่ว์ฮูหยินก็มา ด้วยภรรยาหลี่หงกลับไปบอกกล่าวกับที่บ้านเป็การเฉพาะ ร้านค้าของท่านอาเล็กเปิดกิจการแล้ว อีกทั้งยังเป็ร้านค้าเพื่อการกุศล ภรรยาหลี่หงย่อมต้องกลับไปเรียกครอบครัวมารดามาเพื่อเป็การให้หน้าหลี่ลั่ว
“ท่านมาแล้ว” หลี่หงรีบออกไป “เชิญเข้ามานั่งด้านในขอรับ”
“ไม่ต้องสนใจข้า เ้าไปทำงานเถิด” หลี่ว์ฮูหยินกล่าว พูดแล้วก็หยิบเงินออกมาจำนวนสองร้อยตำลึง “ถือเสียว่าเป็น้ำใจเล็กน้อยจากข้า ความคิดเช่นนี้ของพวกเ้าช่างดีนัก”
หลี่หงให้คืนกลับไปหนึ่งร้อยตำลึง จากนั้นแอบกระซิบว่า “องค์ชายทั้งสามเสด็จมาเช่นกันขอรับ ล้วนบริจาคหนึ่งร้อยตำลึง ท่านจะไปตบหน้าพวกเขาไม่ได้นะขอรับ”
หลี่ว์ฮูหยินได้ยินแล้ว “มีเหตุผล ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายทั้งสามอยู่ที่นี่ด้วย” แต่เป็ถึงองค์ชายบริจาคเงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึง น้อยเกินไปแล้วกระมัง? “ข้าจะไปดูร้านอาหารว่างเสียหน่อย พ่อตาของเ้ายังคงคิดถึงเหล้าของบ้านเ้า”
“น้องหกอยู่ที่นั่น เช่นนั้นข้าไม่พาท่านไปแนะนำทางนั้นแล้วนะขอรับ” หลี่หงกล่าว
“ไม่ต้อง ข้าไปหาเสี่ยวโหวเหฺยก็เหมือนกัน”
หลังจากหลี่ว์ฮูหยิน ภรรยาหลี่ฮุยก็มา นางบริจาคเงินห้าสิบตำลึงเป็การแสดงน้ำใจเล็กน้อย
ต่อมาเป็พ่อบ้านกู่ หลี่หงไม่รู้จักพ่อบ้านกู่ แม้ว่าวันแต่งงานของเขาพ่อบ้านกู่จะได้มาร่วมงาน แต่เขากลับจำไม่ได้เสียแล้ว “ลูกค้าท่านนี้ ท่าน้าบริจาคเงินเป็จำนวนเท่าใดขอรับ?”
พ่อบ้านกู่นำเงินออกมาหนึ่งพันตำลึง “จวนฉีอ๋อง”
หา? ทันทีที่หลี่หงได้ยิน เขาทึมทื่อไปชั่วขณะ “ข้า...ข้าจะไปเรียกน้องหกมาขอ”
“ไม่จำเป็ต้องไปรบกวนเสี่ยวโหวเหฺย ข้าต้องขอตัวแล้ว” พ่อบ้านกู่กล่าวลายิ้มๆ
แม้จะเป็เช่นนี้ แต่หลี่หงยังคงไปหาหลี่ลั่วที่ร้านข้างๆ หลี่ลั่วกำลังนั่งยิ้มตายิบหยีอยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน วันนี้หาเงินได้มากมาย เสี่ยวโหวเหฺยมีความสุขราวกับดอกไม้บาน
“น้องหก เมื่อสักครู่คนของจวนฉีอ๋องมาบริจาคเงินหนึ่งพันตำลึง” หลี่หงกล่าว
“หา?” หลี่ลั่วกลอกตาไปมารอบหนึ่ง “องค์ชายทั้งสามบริจาคเท่าใดขอรับ?”
หลี่หงยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “หนึ่งร้อยตำลึง”
หลี่ลั่วหยุดชะงักกิริยาที่กำลังส่งอ้อยเข้าปากตนเอง “ข้าจะบอกวิธีท่านวิธีหนึ่ง ท่านไปบอกพวกเขา พวกเขาอยากจะเปรียบเทียบกับท่านพี่ฉีอ๋อง ย่อมต้องบริจาคเพิ่มเป็แน่”
“จะบริจาคอีกเท่าใดรึ?” หลี่หงแอบๆ ถาม
“ต้องมากกว่าท่านพี่ฉีอ๋องแน่นอน ยังสามารถเพิ่มจำนวนเงินได้อีก” ความหมายคือหนึ่งพันตำลึง
“ได้” หลี่หงเดินจากไปทั้งรอยยิ้ม
องค์ชายทั้งสามกำลังพักผ่อนอยู่ด้านหลัง ดื่มเหล้าไปด้วยกินของว่างไปด้วย ด้านหลังออกแบบได้งดงามหรูหรา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ร้านค้าทั้งสามเชื่อมติดกัน ภายในยังมีบรรยากาศของยุคปัจจุบัน โซฟา เก้าอี้ โต๊ะทำงาน ทำให้ผู้คนชอบนั่งอยู่ที่นี่
หลี่หงมาถึงห้องพักด้านหลัง “องค์ชายทั้งสามพักผ่อนอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“สถานที่แห่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว” องค์ชายสามให้ความเห็นอย่างเป็กลาง “ออกแบบได้พิเศษยิ่งนัก มีบรรยากาศคล้ายคลึงกับศาลาต้อนรับแขกของเรือนโฉวงจี๋อยู่หลายส่วน”
“ขอบพระทัยองค์ชายสามที่กล่าวชม” หลี่หงกล่าว จากนั้นจึงทำทีเป็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “วันนี้คนที่มาบริจาคเงินไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมดูแลอยู่ด้านนอก ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาต้อนรับขับสู้องค์ชายทั้งสาม ยังต้องขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าได้กล่าวเช่นนี้ เป็พวกเราที่มารบกวนพวกเ้า” องค์ชายใหญ่ตรัสยิ้มๆ
“คนที่มาบริจาคเงินเยอะเช่นนั้นหรือ? ล้วนเป็ผู้ใดบ้างเล่า บริจาคเท่าใด?” องค์ชายรองถามขึ้น
“ล้วนเป็คนที่คุ้นเคยกันพ่ะย่ะค่ะ แม่ยายของกระหม่อม ท่านป้าใหญ่ของกระหม่อม ยังมีเถ้าแก่ร้านยาเฉิงซิ่นที่ทำการค้าร่วมกับพวกเรา ทั้งยังมีชาวบ้านที่ไม่รู้จักหลายคน ทว่า...จวนฉีอ๋องได้มาบริจาคแล้วเช่นกัน” หลี่หงกล่าว
องค์ชายทั้งสามได้สติขึ้นมาแล้ว ศัตรูอันดับหนึ่งของพวกเขาก็คือจวนฉีอ๋อง “คนของคฤหาสน์เ้าสี่มาบริจาคเงินเท่าใดเล่า?” องค์ชายสามถามขึ้น
หลี่หงยื่นนิ้วมือออกมาหนึ่งนิ้ว “หนึ่งพันตำลึงพ่ะย่ะค่ะ”
พรูด...องค์ชายสามสำลักเหล้าองุ่นที่อยู่ในปากออกมา หลี่หงมองด้วยความปวดใจอยู่บ้าง นี่มันเงินทั้งนั้น “เ้าสี่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? จะหาเื่พวกเราใช่หรือไม่?”
“ฮึ” องค์ชายใหญ่ร้องเสียงเย็น “หลี่หง จดลงไปในบัญชีว่าข้าบริจาคหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง” หนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึงจะชัดเจนเกินไป
“จดลงไปในบัญชีหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หงกล่าว
“ก็คือจดลงไปในบัญชีไว้ก่อน เงินค่อยนำมาให้วันหลัง” องค์ชายสามอธิบาย
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะบอกกล่าวกับน้องหก เพื่อไม่ให้เขาพูดผิดไป เพราะพรุ่งนี้เขาต้องเข้าวังแต่เช้าพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หงกล่าว
“พรุ่งนี้เขาจะเข้าวังหรือ?” องค์ชายใหญ่หรี่ตาลง
“พ่ะย่ะค่ะ ‘บ้านการกุศล’ อักษรสี่ตัวนี้เป็ลายฝีพระหัตถ์ของฝ่าาที่ทรงพระราชทานมา ดังนั้นน้องหกจึงต้องนำบัญชีการบริจาคเงินเข้าไปให้ฝ่าาผ่านพระเนตรทุกวันพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หงกล่าว
องค์ชายทั้งสามมองตากันอยู่ครู่หนึ่ง เช่นนั้นไม่ต้องลงบัญชีไว้ก่อนแล้ว “อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนนำเงินมาให้ ให้คนกลับจวนไปเบิกเงินมาเดี๋ยวนี้” องค์ชายใหญ่กล่าว
หลี่หงแอบคิดในใจ น้องหกช่างฉลาดเฉลียวเหลือเกิน แม้กระทั่งการรับมือในภายหลังก็คิดออกมาเสร็จสรรพ
ทว่า ก่อนที่องค์ชายทั้งสามจะเสด็จกลับนั้นหลี่ลั่วเดินออกมาส่งพร้อมรอยยิ้ม “องค์ชายทั้งสามไม่ซื้อเหล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“อีกประเดี๋ยวให้คนมาซื้อ”
“เหล้ามีสองแบบพ่ะย่ะค่ะ แบบที่หนึ่งคือเหล้าหนึ่งชั่งเป็เงินสองตำลึง และอีกแบบหนึ่งคือ เหล้าหนึ่งชั่งเป็เงินห้าตำลึง ห้าตำลึงหนึ่งชั่งนั้นจะหอมกว่า แม้แต่ฝ่าากระหม่อมก็ยังไม่เคยส่งไปให้ องค์ชายทั้งสามไม่สู้เลือกแบบนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลี่ลั่วกล่าว
“ได้ ให้ข้าสิบชั่งเถิด” องค์ชายใหญ่กล่าวแล้วขึ้นรถม้า
องค์ชายรองและองค์ชายสามต่างขึ้นรถม้าของตนเอง
ไม่นานนัก องค์ชายทั้งสามก็ได้ส่งคนมา นำเงินหนึ่งพันสี่ร้อยตำลึงมาเพิ่มให้ จากนั้นยังซื้อเหล้าองุ่นที่หมักไว้ั้แ่เดือนห้าไปจำนวนสิบชั่ง
ร้านอาหารเพื่อการกุศลต้อนรับสาวงามกลุ่มหนึ่ง เป็หลี่จือและหลี่หลินที่พาท่านหญิงฉุนเหอพร้อมบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เป็สหายของท่านหญิงฉุนเหอ ดังนั้นหลี่ลั่วจึงค้นพบปัญหาหนึ่ง ในยุคสมัยโบราณ ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญยิ่งนัก เช่นเหตุการณ์ในวันนี้ หากในร้านค้ามีทั้งชายหนุ่มและหญิงสาว ไม่ระวังเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น เกรงว่าจะไม่เป็การดีต่อหญิงสาว ดังนั้นหลี่ลั่วคิดว่าเขาต้องปรับปรุงกฎเกณฑ์ของร้านอาหารเพื่อการกุศลเสียใหม่ ต่อไปหากในร้านมีหญิงสาวอยู่ ชายหนุ่มไม่สามารถเข้าไปในร้านค้าได้ หากชายหนุ่ม้าซื้อของ ให้ซื้อผ่านการช่วยเหลือของคนงานหญิงในร้านแทน
ทว่านอกจากแผ่นมันฝรั่งแล้ว ข้าวของในร้านอาหารเพื่อการกุศลราคาไม่ถูกเท่าใดนัก และบรรดาของว่างเหล่านี้ล้วนเป็สตรีที่ชอบกิน ดังนั้นเวลานี้ในร้านอาหารเพื่อการกุศลจึงมีสตรีอยู่เล็กน้อย มีชายหนุ่มอยู่เพียงไม่กี่คน ซึ่งหลี่ลั่วได้ให้คนงานไปเชิญพวกเขาออกไปอย่างนอบน้อมด้วยเหตุที่พวกหลี่จือและหลี่หลินมาถึงที่นี่
ชายหนุ่มเ่าั้ต่างแสดงท่าทีว่าเข้าใจเหตุผลดี
“พี่หญิงใหญ่ รสชาติของว่างเหล่านี้ท่านและพี่จือต่างรู้ดี ท่านมาแนะนำให้กับพวกเขาเถิด” หลี่ลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ เหวี่ยงขาเล็กๆ ไปมา ก้นของเขาไม่ยอมห่างจากโต๊ะเก็บเงิน ราวกับเป็ตุ๊กตาโชคลาภก็ไม่ปาน สวมอาภรณ์ชุดแดงนั่งอยู่ที่นั่น ดูไปแล้วเป็สิริมงคลยิ่งนัก
“ได้”
ไม่อาจไม่พูดว่า เงินที่หาได้ง่ายที่สุดก็คือเงินของสตรี หญิงสาวที่ไปมาหาสู่กับหลี่จือและท่านหญิงฉุนเหอล้วนเป็คุณหนูทองพันช่างจากหลากหลายตระกูล สิ่งที่คุณหนูทองพันชั่งทั้งหลายมีไม่เคยขาดมือก็คือเงิน ทุกคนล้วนมีทั้งสิ่งของถุงใหญ่ถุงเล็ก ให้ตายสิ มิน่าเล่าในยุคปัจจุบันจึงมีคำกล่าวที่ว่า เมื่อแต่งภรรยาก็เท่ากับต้องเลี้ยงดูไทเฮา
หญิงสาวมีแต่รู้จักใช้จ่ายเงินทอง
แต่ถ้าหากอยากจะหาเงินจากเหล่าสตรีแล้วละก็ ของว่างไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดในการหาเงิน การหาเงินที่ดีที่สุดจากสตรีก็คือ...ความงาม และสุขภาพ หลี่ลั่วมองเห็นเพียงเงินที่ลอยไปลอยมา
เมื่อถึงเวลากินอาหารกลางวัน หลี่หยางซื่อและหยางหมัวมัวพร้อมทั้งซินหมัวมัวก็มาที่นี่ นำอาหารกลางวันมาให้ทุกคน อาจจะเป็เพราะกิจการค้าในวันนี้ไม่เลวเลย ดังนั้นหลี่ลั่วจึงเจริญอาหารเป็พิเศษ
ล่วงเข้าเวลาสี่โมงเย็นบ้านการกุศลจึงปิดร้าน หลี่ลั่วเชิญทุกคนไปกินอาหารที่ร้านอาหารมื้อหนึ่ง
พอกลับไปถึงเรือนโฉวงจี๋หลี่ลั่วก็อาบน้ำ หลังจากอาบน้ำแล้ว เขาเอนกายลงบนเก้าอี้เอนหลังแล้วดูบัญชี ซินเป่านวดให้เขา แม้เขาจะเป็ผู้ดูแลอยู่เื้ักิจการบ้านการกุศล ทว่าเวลานี้หลี่หงเป็ผู้รับผิดชอบดูแลร้านช่วยเหลือเพื่อการกุศล เช่นนั้นร้านอาหารเพื่อการกุศลและร้านหมอการกุศลเล่า?
หลี่ลั่วคิดจะหาคนอีกสองคนมาดูแลเช่นกัน แต่หาผู้ใดเล่า?
คนข้างกายที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดคือหลี่จงิและหลี่ฉางเฉิง หลี่จงิในยามนี้รั้งตำแหน่งขั้นสี่อยู่แนวหน้า หลี่ฉางเฉิงรั้งตำแหน่งองครักษ์ขั้นเจ็ด นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ผู้ที่เขาไว้ใจก็คือครอบครัวซินหมัวมัว แต่ซินเผิงต้องดูแลหมู่บ้านชานเมืองทางเหนือ ไม่เหมาะสมที่จะมาดูแลร้านค้านี้
ที่จริงแล้วจี้ซิ่นผู้นี้ค่อนข้างคล่องแคล่ว ทว่าจี้ซิ่นเป็บุตรชายของพ่อบ้านจี้ ต่อไปย่อมเป็มือซ้ายแขนขวาของพี่ใหญ่ ดังนั้นหลี่ลั่วจึงคิดจะปลุกปั้นคนที่เป็ของตนเองขึ้นมา
ปลุกปั้นผู้ใดเล่า?
คิดไปคิดมายังคงเป็จี้ซิ่นดีที่สุด แต่หลี่ลั่วไม่อยากแย่งคนกับหลี่หง ไม่อย่างนั้นให้จี้ซิ่นมาดูแลเป็การชั่วคราว รอจนกว่าเขาจะหาผู้ที่เหมาะสมได้แล้วค่อยพูดกันอีกที
ต่อมา หลี่ลั่วดูบัญชี
เงินของร้านช่วยคนเพื่อการกุศลค่อนข้างมาก ที่สำคัญยังคงเป็สหายที่รู้จักบริจาคเงิน องค์ชายทั้งสามรวมกันก็สี่พันห้าร้อยตำลึงเข้าไปแล้ว จวนฉีอ๋องหนึ่งพันตำลึง หลี่ว์ฮูหยินหนึ่งร้อยตำลึง หลี่เจ๋อและภรรยาหลี่ฮุยคนละห้าสิบตำลึง เถ้าแก่ร้านยาเฉิงซิ่นบริจาคห้าสิบตำลึง ยังมีร้านค้าเล็กๆ อีกส่วนหนึ่งบริจาคสิบตำลึงและห้าตำลึงอีกหลายคน คนเหล่านี้น่าจะเป็เพราะว่าองค์ชายทั้งสามมาปรากฏกายตัดริบบิ้น หลี่ลั่วคำนวณดูแล้ว รวมเป็เงินหกพันสองร้อยสี่สิบตำลึง
จากนั้นคือร้านอาหารเพื่อการกุศล เหล้าองุ่นชั่งละห้าตำลึง ขายออกไปทั้งหมดสามสิบสองชั่ง รวมเป็เงินหนึ่งร้อยหกสิบตำลึง เหล้าองุ่นชั่งละสองตำลึงขายออกไปทั้งหมดห้าสิบแปดชั่ง เป็เงินหนึ่งร้อยสิบหกตำลึง บวกกับหญิงสาวที่หลี่จือพามาหกคน ทุกคนซื้อไปสิบตำลึงทุกคน รวมทั้งหมดหกสิบตำลึง ยังมีเศษเล็กๆ น้อยๆ รวมยี่สิบแปดตำลึง รวมทั้งหมดเป็เงินสามร้อยหกสิบสี่ตำลึง
เหล้าองุ่นมีต้นทุนต่ำ ซื้อองุ่นมาในราคาชั่งละสิบอีแปะ เหล้าขาวราคาถูกเช่นกัน เหล้าองุ่นสองร้อยเจ็ดสิบหกตำลึง ต้นทุนไม่ถึงเศษส่วน
ดูไปแล้วเหล้าองุ่นเป็กิจการใหญ่
“ซินเป่า”
“นายท่าน ท่านเรียกบ่าวหรือขอรับ?” ซินเป่าบีบนวดอยู่ข้างกายเขา เมื่อถูกเขาเรียกจึงใจนสะดุ้ง
หลี่ลั่วใจลอยแล้ว ไม่ได้คิดถึงว่าซินเป่านั้นอยู่ข้างกายตนเอง “ไป ไปเรียกพ่อบ้านจี้มา”
“ขอรับ”