คิดไม่ถึงว่าเมื่อผู้าุโหมุนตัวกลับมาก็สีหน้าเปลี่ยนในทันที เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำไปทางเงามืดประโยคหนึ่ง “ใครอยู่ตรงนั้น?”
“เฟิงปา” เสียงแหบแห้งและเ็าในเงามืดตอบรับมาหนึ่งคำ
“เ้าจงไปตรวจสอบมาว่าที่แม่นางติงเหว่ยหกล้มนั้นเป็เพราะอุบัติเหตุหรือว่า…มีคนจงใจกันแน่?
“ขอรับ”
หลังจากที่เสียงแหบแห้งตอบรับแล้วประตูจวนก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ท่านลุงอวิ๋นใช้มือยันไปที่ประตูแล้วถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้เื่นี้ไม่เป็อย่างที่เขาคิดจะดีที่สุด แต่แล้วเมื่อลองคิดๆ ดู เมื่อครู่เสียงดังวุ่นวายขนาดนั้นกลับไม่เห็นหลานสาวของเขาเลย เขาค่อยๆ รู้สึกราวกับว่าที่หน้าอกของเขาถูกอะไรบางอย่างขัดขวางเอาไว้
……
ติงเหว่ยรู้สึกว่าการนอนหลับในครั้งนี้เหนื่อยล้าเป็อย่างมาก ราวกับว่าทั่วทั้งร่างกายของนาง ไม่มีตรงไหนที่ไม่เจ็บเลย ให้ความรู้สึกเหมือนวันแรกที่มาถึงยุคนี้อย่างไรอย่างนั้น
ความฝันในฤดูใบไม้ผลิอย่างนั้นหรือ? เด็กทารก?
คำไม่กี่คำนี้ทำให้ติงเหว่ยรู้สึกราวกับมีฟ้าผ่าลงมาท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบและนางก็ตื่นขึ้นมาในทันใด ผ่านไปครู่หนึ่งสายตาของนางก็เริ่มชินกับความมืดในห้อง จากนั้นก็เริ่มมองเห็นได้อย่างชัดเจน
มีตะเกียงน้ำมันวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กที่ตั้งอยู่ตรงกลางเตียงใหญ่ แม่นางหลี่ว์นอนหลับอยู่ข้างๆ โต๊ะอย่างสบาย ส่วนข้างเตียงก็มีอวิ๋นอิ่งนั่งอยู่ นางง่วงมากจนสัปหงกไม่หยุด และข้างๆ อวิ๋นอิ่งก็มีเด็กตัวเล็กๆ กำลังขมวดคิ้วอยู่…
ติงเหว่ยค่อยๆ ใช้มือดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง นางค่อยๆ อุ้มเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดเสื้อของนางขึ้นโดยไม่รู้ตัว และอุ้มเขาไปที่หน้าอก
บางทีเด็กน้อยอาจมีสัญชาตญาณั้แ่ตอนอยู่ในท้อง เขาดมกลิ่นแล้วก็อ้าปากเล็กของเขางับลงไปทันที
ความเ็ปและชาเล็กน้อยลุกลามจากหน้าอกไปทั่วทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว ติงเหว่ยอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าไปดังเฮือก อวิ๋นอิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที เมื่อนางได้เห็นภาพเบื้องหน้า ดวงตาของนางก็ฉายแววอบอุ่นขึ้นมาแล้วถามว่า “แม่นางติง ท่านไม่สบายตรงที่ใดหรือเปล่า? ให้ข้าไปยกซุปไก่เข้ามาดีหรือไม่ ท่านจะได้มีอะไรรองท้องสักหน่อย”
ติงเหว่ยยังไม่ทันได้ตอบอะไร เมื่อแม่นางหลี่ว์ได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหวนางก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน ภาพของลูกสาวที่กำลังให้นมหลานชายของนางอยู่ทำให้รอบดวงตาของนางแดงก่ำ จากนั้นแม่นางหลี่ว์ก็รีบเดินเข้าไปพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมตัวลูกสาวของนางไว้แน่นๆ พร้อมตำหนิว่า “เ้าเด็กบ้าคนนี้นี่ เมื่อครู่เ้าแทบจะทำให้แม่ใตายไปเสียแล้ว โชคดีที่ท่านย่าเทวาูเาคุ้มครอง ทำให้แม่และลูกปลอดภัยทั้งคู่”
ติงเหว่ยกระชับอ้อมแขนตนเองเอาไว้แน่นแล้วนางก็รู้สึกว่าเด็กน้อยในอ้อมกอดดูดแรงมากขึ้น จากนั้นนางก็ขอโทษท่านแม่ว่า “ท่านแม่ ข้าทำให้ท่านต้องเหนื่อยอีกแล้ว”
แม่นางหลี่ว์หันหน้าไปแอบเช็ดน้ำตา แต่แล้วนางก็พูดปลอบลูกสาวขึ้นมาว่า “เ้าอย่าพูดอะไรไร้สาระสิ หากว่าแม่ไม่รักเ้า แล้วจะให้ไปรักใครกันล่ะ? ความทุกข์ทรมานของเ้าครั้งนี้ไม่ได้เสียเปล่า วันนี้ได้ลูกชายมาหนึ่งคน วันหน้าต่อให้เ้าไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตก็ยังมีที่พึ่งพิง แม่ดีใจแทนเ้าจริงๆ!”
“ท่านแม่!” นางได้ยินก็ยิ่งรู้สึกปวดใจแล้วยังคิดอยากจะเข้าไปกอดแขนของท่านแม่เหมือนเมื่อก่อน แต่นางกลับลืมไปว่าในอ้อมแขนของนางมีเด็กน้อยอยู่ เมื่อติงเหว่ยขยับตัวนิดหนึ่งเด็กน้อยในอ้อมแขนของนางก็ยื่นมือน้อยๆ ของเขาออกมากำ “คลังอาหาร” เอาไว้ ทำให้ติงเหว่ยประหลาดใจเป็อย่างมากและนางก็ะโออกมาว่า “ท่านแม่ เด็กน้อยคนนี้รู้จักการปกป้องของกินด้วยอย่างนั้นหรือ?”
แม่นางหลี่ว์และอวิ๋นอิ่งต่างก็พากันหัวเราะออกมา จากนั้นคนหนึ่งก็เทน้ำอุ่นให้ติงเหว่ยดื่มจะได้รู้สึกชุ่มคอสักหน่อย อีกคนหนึ่งก็ไปห้องครัวเพื่อจัดเตรียมอาหาร…
……
ในขณะเดียวกัน ณ บริเวณลานกว้างอีกด้านหนึ่ง ท่านลุงอวิ๋นกำลังก้มลงคุกเข่าและเอาศีรษะแนบไปกับพื้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นเป็เวลานานด้วยสีหน้าซีดเผือด
กงจื้อิเอนตัวพิงกับเตียงครึ่งหนึ่ง แสงไฟจากเปลวเทียนสะท้อนเงาของเขาไปบนขอบหน้าต่าง ให้ความรู้สึกทั้งมืดครึ้มและดุดัน เกรงว่าแม้แต่คนตาบอดก็ยังดูออกว่าตอนนี้ในใจของเขาโกรธถึงเพียงไหน
เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด เกรงว่าต่อให้จะเป็นักเล่าเื่ที่เก่งที่สุดในโลกก็คงไม่สามารถอธิบายถึงจุดหักมุมและความเปรี้ยวหวานขมเผ็ดของเื่นี้ได้ เขาได้พรากความบริสุทธิ์ของสตรีผู้หนึ่งไป แล้วในวันนี้โชคชะตาก็เกือบจะลิขิตให้เขากลายเป็คนกึ่งพิการ ทันใดนั้นจู่ๆ ก็ต้องใเมื่อได้ยินว่าตนเองเป็พ่อคน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ทันที่จะได้ทำความเข้าใจกับข้อเท็จจริงในเื่นี้ บ่าวเฒ่าผู้ซื่อสัตย์กลับบอกเขาว่าเซียงเซียงหลานสาวของตนเองเกือบจะทำร้ายสตรีและลูกของเขาจนถึงแก่ชีวิต
ในขณะนี้กงจื้อิยิ่งคิดถึง่เวลาที่อยู่ในสนามรบ เขาะโขึ้นม้าศึกคู่ใจและกวัดแกว่งดาบแหลมคม ไม่ว่าในใจของเขาจะรู้สึกเศร้าใจ หดหู่ และโกรธแค้นมากสักแค่ไหน เขาก็จะล้างสิ่งเหล่านี้ให้หมดไปด้วยเืของศัตรู
ช่างน่าเสียดาย…
“เฟิงจิ่ว ที่เรือนหลังนั้นเหตุการณ์เป็ยังไงบ้าง?”
เฟิงจิ่วซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง เขาไม่คาดคิดว่านายท่านจะถามจึงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา จากนั้นก็ตอบไปว่า “แม่นางติงกำลังดื่มน้ำแกงไก่ และเมื่อครู่นางเพิ่งจะให้นมคุณชายน้อยเสร็จ คุณชายน้อยท่าทางมีพละกำลังไม่เบาหลังจากที่กินอิ่มแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยปากออก ต้องให้ท่านป้าติงไปคว้าตัวออกมา คุณชายน้อยก็เลยร้องไห้ออกมานิดหน่อย เสียงของเขานั้นก้องกังวานเป็อย่างมาก!”
อย่างไรก็ตามเฟิงจิ่วยังเป็เด็กอยู่ ปกติก็ทั้งฉลาดและมีไหวพริบไม่เบา ทว่าประการแรกแม่นางติงปฏิบัติต่อเขาอย่างสนิทสนมราวกับเป็น้องชาย ประการที่สองเขาดีใจกับนายท่านจริงๆ ที่มีทายาทสืบสกุล ทำให้เมื่อเขาพูดเื่นี้ขึ้นมาจึงไม่ทันได้ระมัดระวังอะไรมาก เขาไม่รู้เลยว่าการที่พูดแบบนี้ก็เท่ากับเปิดเผยความจริงที่ว่าเมื่อครู่เขาแอบดูติงเหว่ยตอนกำลังให้นมลูก
แววตาซับซ้อนฉายขึ้นมาในดวงตาของกงจื้อิครู่หนึ่ง ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจของเขากลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
ท่านลุงอวิ๋นมีประสบการณ์เยอะและมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาและพูดเปลี่ยนเื่ว่า “นายน้อย จากความคิดเห็นของบ่าว ฐานะที่แท้จริงของคุณชายน้อยยังไม่อาจเปิดเผยได้ ในวันนี้มีแค่นายน้อย บ่าว ซานอี เฟิงจิ่ว พวกเราสี่คนที่รู้ความจริงของเื่นี้ นอกจากนี้ก็มีอวิ๋นอิ่งที่คอยปกป้องดูแลแม่นางติงเหว่ยและคุณชายเอาไว้อยู่ หากวันไหนเื่การแสร้งตายถูกเปิดเผยขึ้นมา พวกเราตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมให้เกิดเื่ลำบากเช่นนี้อีก คุณชายน้อยอยู่ที่บ้านสกุลติงจะต้องปลอดภัยกว่าการอยู่บ้านเราอยู่แล้ว นอกจากนี้แม่นางติงยังเป็คนสุภาพและฉลาดไม่น้อย นางต้องไม่ทำให้คุณชายน้อยเสียเวลาในการเรียนรู้อย่างแน่นอน”
“ป๊อก ป๊อก ป๊อก” นิ้วเรียวยาวของกงจื้อิเคาะเบาๆ บนโต๊ะเล็กตรงหน้าเขาอีกครั้ง แต่ละเสียงราวกับเสียงกลองที่ดังกึกก้องอยู่ในใจ และในที่สุดกงจื้อิก็ถอนหายใจออกมา
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ให้เร่งยกระดับการค้นหาหมอเทวดา หากว่าภายในครึ่งปีต่อมายังไม่มีข่าวคราวใดๆ ก็จงเคลื่อนกำลังพลครึ่งหนึ่งไปซ่อนตัวอยู่ในซีจิงและคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของราชสำนักทุกฝีก้าว ส่วนแผนการหูลู่กู่ที่เมืองชังโจวให้ส่งข่าวไปบอกหลินอีให้เริ่มเตรียมการในทันที เงินทองใช้มากได้เท่าที่้า จะต้องทำให้ยากต่อการโจมตีและง่ายในการตั้งรับ และต้องให้ปลอดภัย”
“ขอรับนายน้อย” ท่านลุงอวิ๋นก้มศีรษะรับคำสั่ง ในใจของเขารู้สึกขมขื่นแต่ก็มีความสุขไปด้วย ต่อให้อีกครึ่งปีหลังร่างกายของนายน้อยจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ทว่านายน้อยก็ไม่เคยล้มเลิกความพยายามในการตามหาหมอเทวดา อีกทั้งไม่เคยคิดจะล้มเลิกการล้างแค้นและการสู้รบครั้งใหญ่ ทว่าตอนนี้การกำเนิดของคุณชายน้อยกลับทำให้นายน้อยต้องเริ่มจัดเตรียมกำลังคน คิดทางหนีทีไล่และวางแผนที่จะถอยทัพและปกป้องตนเอง…
กงจื้อิหรี่ตาลงเล็กน้อยและดื่มชาอุ่นๆ ไปครึ่งชาม หลังจากคิดว่าเขาน่าจะไม่พลาดสิ่งใดแล้ว เขาก็วางชามลงแล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “สั่งการให้องครักษ์เงาครึ่งหนึ่งไปที่เรือนหลังนั้น นอกจากนี้คนที่ไม่จำเป็ให้เอาออกไปให้หมด เ้ารีบไปสั่งการซะ!”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขาเข้าใจดีว่าคนที่ไม่จำเป็ที่นายน้อยพูดถึงนั้นรวมไปถึงหลานสาวที่จิตใจโเี้อำมหิตของเขาด้วย ดังนั้นท่านลุงอวิ๋นจึงก้มศีรษะถี่ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นและถอนตัวออกไป
เฟิงจิ่วกลอกลูกตาไปมาแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว…
……
เช้าตรู่ใน่ปลายฤดูร้อนยังคงเงียบสงบ พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นจากูเาทางทิศตะวันออก และหมอกบนูเายังคงลอยปกคลุมอยู่เช่นเดิม นกที่ตื่นเช้ากำลังจะบินผ่านป่าเพื่อมองหาแมลงที่ตื่นเช้าและโชคร้ายตัวนั้น ในบางครั้งสัตว์ตัวเล็กๆ สองสามตัวจะคลานออกมาจากหลุมอย่างระมัดระวัง จากนั้นพวกมันจะยืดหลังอย่างระมัดระวัง แล้ววางแผนว่าวันนี้จะทำอะไรดี
ชาวนาที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสใน่เวลาดีๆ เช่นนี้ ถึงขั้นที่ว่ายังไม่รอให้ฟ้าสว่างก็เริ่มทำการปลูกพืชผลกันแล้ว จากที่เห็นคาดว่าอีกประมาณหนึ่งเดือนก็จะเก็บเกี่ยวได้ ต้นของข้าวโพดก็ยาวกว่าครึ่งนิ้วแล้ว หวังแค่เหล่าเทียนเย่เมตตาให้ฝนตกหนักจนดินชุ่มสักรอบ ทำให้ต้นข้าวโพดงอกงามเต็มไปหมด เมื่อถึงฤดูหนาวทั้งครอบครัวจะได้มีโจ๊กร้อนๆ กินกันสักหน่อย
ผู้าุโติงเป็มือดีเื่การดูแลพืชผล เขาใช้ปุ๋ยคอกใส่ในดินอย่างเพียงพอเมื่อตอนต้นปี เห็นได้ชัดว่าข้าวโพดในที่ดินของเขาสูงกว่าของคนอื่นถึงสามส่วน มีพวกใจแคบและอิจฉาริษยาที่บางครั้งเจอกับเพื่อนบ้านก็คนอดไม่ได้ที่จะพูดบางอย่างสักหน่อย
และแน่นอนว่าลูกสาวที่ประพฤติผิดจารีตประเพณีของสกุลติงก็เป็หัวข้อสำคัญในการพูดคุยเช่นกัน
“นี่ ป้าสามเ้าเคยได้ยินเื่นี้หรือยัง? ที่ว่าลูกสาวของครอบครัวนั้นคลอดลูกแล้วน่ะ!”
“แน่นอน ต้องเคยได้ยินมาอยู่แล้ว” ฮูหยินที่ถูกเรียกว่าป้าสามเบิกตามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น นางชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ ว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จากนั้นนางก็ลดเสียงลงและพูดว่า “ได้ยินมาว่าเป็เด็กผู้ชาย น้ำหนักตั้งแปดจินเชียวแน่ะ แล้วเกิดมาก็พูดได้เลยอีกด้วย ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!”
“จริงหรือ?” คนที่ถามคนนั้นได้ฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ นางจึงรีบแบ่งปันข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ยินมา “ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินว่าเด็กคนนั้นมีสามมือเลย ได้ยินแต่ว่าครอบครัวสกุลติงร้องไห้กันเกือบตาย!”
“เอ๋ ถ้าอย่างนั้นคงจะถูกฟ้าดินลงโทษเสียแล้ว ทำให้คลอดลูกออกมาเป็สัตว์ประหลาด! แต่ทำไมไม่เห็นได้ยินว่าครอบครัวสกุลอวิ๋นไล่คนออกมาเลยล่ะ?”
“หรือไม่อย่างนั้นครอบครัวสกุลอวิ๋นคงจะใจดีมาก ไม่เพียงแต่ไม่ไล่ใครออกมา ทั้งยังคอยดูแลและมีข้าวปลาอาหารให้เป็อย่างดีตลอดวัน เมื่อวานข้าเห็นว่าครอบครัวนั้นหยิบตะกร้าใส่เงินตั้งหลายตำลึงไปวัดชานเฉิน ไม่แน่บางทีเทพเ้าผู้นั้นคงจะวางยาแฝดแก่ครอบครัวสกุลอวิ๋นไปเสียแล้วล่ะ”
“ถุย!” ป้าสามหดตัวลงด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ถุยน้ำลายออกมาเพราะเกรงว่าคำพูดเ่าั้จะทำให้ท่านย่าเทวาูเาโกรธเอาได้ ถ้าถึงตอนนั้นนางคงต้องถูกลงโทษไปด้วยแบบนั้นก็จบเห่กันพอดี ความจริงทุกวันนี้ครอบครัวสกุลเฉียนยังอยู่ที่เผิงหมาแหงนตรงนั้นอยู่ และเฉียนต้าเพ่าก็ยังลากขาที่เป็ง่อยของเขาไปมาตามท้องถนนอยู่เลย
ฮูหยินอีกคนเพิ่งพูดจบก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางจึงรีบชี้ไปที่ข้าวโพดของสกุลติงแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “พวกเขารู้วิธีการเพาะปลูก เ้าดูสิข้าวโพดพวกนี้สูงใหญ่ดีออก หากเอามาเทียบกับของพวกเราแล้วพวกเขาคงจะได้ข้าวโพดมากกว่าสักสองกระสอบแน่ะ”
หลังพูดจบนางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่นิดหน่อย นางจึงพูดเสริมอีกว่า “พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากท่านย่าเทวาูเาเชียวนะ พวกเราต่างก็ไม่ได้รับด้วย คงทำได้เพียงขอให้เหล่าเทียนเย่เมตตาก็เท่านั้น”
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกฮูหยินปากพล่อยเ่าั้จะแต่งเื่กันอย่างไร เอาเป็ว่าตอนนี้ติงเหว่ยกำลังจมอยู่กับความสุขที่ได้เป็แม่คนครั้งแรก นางตั้งชื่อให้ลูกจะกละของนางว่าผิงอัน ซึ่งความหมายก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน นางแค่ขอให้ลูกของนางฉลาดเฉลียวและขอให้เขาปลอดภัย มีสุขภาพแข็งแรงไปตลอดชีวิต
เดิมทีแม่นางหลี่ว์เตรียมชื่อเด็กไว้มากมายเช่น โก่วไกวเอ๋อร์ [1] เถียตั้น [2] มู่เกอต่า [3] เป็ต้น แต่เมื่อเห็นลูกสาวอุ้มเด็กน้อยแล้วเรียกแต่ผิงอันทุกคำ นางจึงเอาชื่อพวกนั้นทิ้งไป บนโลกนี้ไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตนเอง ลูกสาวของนางแทบจะต้องแลกชีวิตเพื่อคลอดลูกออกมา ดังนั้นจะมีใครมีสิทธิ์ตั้งชื่อให้ลูกมากกว่านางอีกล่ะ นอกจากนี้ชื่อนี้ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ยังแสดงถึงความสง่างามเสมอ
“ติงผิงอัน ช่างเป็ชื่อที่ดีจริงๆ!” แม่นางหลี่ว์อุ้มเด็กน้อยที่กินจนอิ่มหนำและนางก็ขบปลายนิ้วตนเองพลางมองไปที่หลานของนาง จากนั้นเรียกอย่างมีความสุขว่า “อันเกอเอ๋อร์ ข้าเป็ยายของเ้านะ เ้าเด็กอ้วนคนนี้ดูเหมือนว่าจะอ้วนขึ้นอีกแล้ว เวลาอุ้มไว้ก็คงจะหนักไม่เบา”
เมื่อติงเหว่ยได้ฟังอย่างนั้นก็ยิ้มพลางทุบลงไปที่เอวของตนเอง จากนั้นก็บ่นกับแม่ของนางอย่างติดตลกว่า “ท่านแม่ก็รู้สึกว่าอันเกอเอ๋อร์อ้วนขึ้นอีกแล้วใช่ไหม? ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไม่นี้ถึงได้เริ่มปวดเอว เ้าเด็กน้อยคนนี้โตขึ้นแล้วอย่ากลายเป็คนอ้วนล่ะ หากว่าหาสตรีแต่งงานด้วยไม่ได้ ข้าก็ไม่มีหลานให้อุ้มน่ะสิ”
แม่นางหลี่ว์ฟังแล้วก็หัวเราะออกมา นางยื่นมือออกไปจิ้มที่ใบหน้าอ้วนกลมของหลานชายแล้วพูดอย่างติดตลกว่า “หลานชาย แม่เ้าไม่ชอบเ้าแล้วจะทำยังไงดีล่ะ เ้ากลับบ้านไปกับยายแล้วกัน พวกเราไม่้านางอีกต่อไปแล้ว”
บางทีอันเกอเอ๋อร์อาจฟังที่ท่านยายพูดเข้าใจ ปากเล็กๆ ของเขาพ่นฟองนมออกมาไม่หยุด จากนั้นเขาก็ใช้กำปั้นเล็กๆ ของตนเองถูไปมาที่ใบหน้าอย่างรังเกียจ ทำเอาแม่นางหลี่ว์หัวเราะอย่างหนัก แล้วจึงกอดเขาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรัก
-----------------------------------------
[1] โก่วไกวเอ๋อร์ 狗剩儿 เดิมทีหมายถึงสิ่งที่แม้แต่สุนัขก็ไม่กิน โดยทั่วไปใช้เพื่อตั้งชื่อเล่นให้กับเด็กๆ เพื่อหวังว่าเขาจะสามารถฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ว่านอนสอนง่ายและมีอนาคตที่สดใส
[2] เถียตั้น 铁蛋 หมายถึง คำแสลงใช้อุปมาถึงคนที่มีร่างกายแข็งแกร่ง ไม่กลัวความยากลำบาก
[3] มู่เกอต่า 木疙瘩 หมายถึง คนที่ค่อนข้างโง่เขลา ไม่รู้จักวิธีปรับตัวและยืนกรานในความคิดของตนเอง