หลังจากที่ไหว้หลุมศพของบิดาเสร็จแล้ว หยวนชิงหลิงก็ขอคุยกับอ๋องเจ็ดเป็การส่วนตัว
“อีกไม่นานหม่อมฉันจำต้องต้องเดินทางไปที่แคว้นเซี่ยแล้ว แต่ยังคงรู้สึกเป็ห่วงครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ที่นี่ ท่านอ๋องเพคะหม่อมฉันขอถามท่านอย่างตรงไปตรงมาได้หรือไม่ ท่านอ๋องยังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อท่านแม่ของหม่อมฉันอยู่หรือเปล่า”
หลังจากเอ่ยเช่นนั้นออกไป หยวนชิงหลิงก็รอดูท่าทีที่อ๋องเจ็ดจะแสดงออกมาให้เห็น แต่น่าเสียดายที่เขานิ่งเกินไป หากว่าเขาไม่รู้สึกอันใดกับท่านแม่ของนางแล้ว ก็คงมีทางเดียวคือต้องพาพวกเขาเดินทางไปที่แคว้นเซี่ยพร้อมกับตน
“ต้องขออภัยที่หม่อมฉันถามอย่างเสียมารยาทต่อพระองค์ เช่นนั้นพวกเราต้องขอตัวก่อน”
หยวนชิงหลิงเดินมาหาครอบครัวของตนที่รออยู่ในรถม้า แต่เสียงเรียกจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น
“ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของเ้าตอนนี้เป็เช่นไร แต่ข้าหาใช่เบี้ยที่เ้าจะใช้เพื่อปกป้องครอบครัว หยวนชิงหลิงเ้ายังเด็กเกินไปที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมพวกนี้”
หยวนชิงหลิงยกยิ้มมุมปาก นางคาดเดาเอาไว้แล้วว่าเฉิงอ๋องผู้นี้คงจะมิใช่คนโง่ แถมออกจะฉลาดไปเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละคนฉลาดมักจะผิดพลาดเพราะเื่ความรู้สึก นางหันหลังกลับไปมองชายวัยกลางคนด้วยใบหน้าเรียเฉย ก่อนที่จะเอ่ยบางอย่างขึ้น
“ใช่เพคะ ความจริงหม่อมฉันอยากจะขอให้เฉิงอ๋องเห็นแก่ความรู้สึกเก่าก่อนช่วยปกป้องมารดาและครอบครัว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะไม่จำเป็แล้ว”
หยวนชิงหลิงเดินไปถึงรถม้าก่อนที่จะเอ่ยประโยคทิ้งท้ายเอาไว้
“ที่นี่ท่านแม่และน้องชายของหม่อมฉันไร้ที่พึ่งพิง หากวันหน้าหม่อมฉันไปได้ดีที่แคว้นเซี่ย คงจะไม่พาพวกเขากลับมาเหยียบที่แคว้นฉินอีกแล้ว”
นางย่อตัวทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ก่อนที่จะกลับขึ้นบนรถม้าไป ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใด รถม้าตระกูลหยวนก็วิ่งหายลับไปนานแล้ว แต่อ๋องเจ็ดยังคงยืนแข็งทื่อ อยู่ที่หน้าป้ายหลุมศพของแม่ทัพหยวนิเช่นเดิม เสียงของหยวนชิงหลิงยังคงดังก้องอยู่ภายในโสตของเขาซ้ำไปซ้ำมา อย่างที่ไม่สามารถลบมันออกไปได้
ถ้าหากนางไม่กลับมาที่แคว้นฉินอีกเลยตลอดชีวิต เขาก็จะไม่มีวันได้พบนางอีกแล้ว ไม่ได้!! เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่พวกเขาตายจากกันไปน่ะสิ เขาจะยอมให้นางทำเช่นนั้นไม่ได้
หยวนชิงหลิงจัดการขายสิ่งของภายในจวนตระกูลหยวนทั้งหมด นางได้ประกาศให้ชาวเมืองรู้ว่าตนเองจะพาครอบครัวไปอยู่ที่แคว้นเซี่ยด้วย แม้ฮ่องเต้จะทรงทราบเื่นี้จากปากของคนสนิทแต่ก็มิได้เอ่ยทัดทาน
หนึ่งวันก่อนออกเดินทาง หยวนชิงหลิงกำลังเตรียมสิ่งของที่จำเป็สำหรับเดินทางไกลอยู่กับมารดาของนาง เสียงกีบม้าย่ำเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือน ทำให้พวกนางสองแม่ลูกหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน เป็อ๋องเจ็ดนั่นเอง ด้านหลังยังมีองครักษ์ติดตามมาอีกสองคน พวกเดินตรงมาที่หยวนชิงหลิงและมารดาของนาง
“ถวายบังคมเฉิงอ๋องเพคะ”
สองแม่ลูกลุกขึ้นทำความเคารพอ๋องเจ็ดพร้อมกัน กิริยาท่าทางของพวกนางที่แสดงออกมา เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก
“ลมอะไรหอมท่านอ๋องมายังจวนร้างแห่งนี้เล่าเพคะ”
หยวนชิงหลิงถามอ๋องเจ็ดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ส่วนมือของนางก็ยังไม่หยุดจัดเตรียมข้าวของ เหมือนการมาของเขานั้นไม่สำคัญเป็อย่างยิ่ง นางช่างเป็แม่นางที่ฉลาดเฉลียวและเป็ตัวแสบที่รับมือได้ยากเสียจริง
“ข้า....”
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองอ๋องเจ็ดก่อนที่จะทำท่ารอคอยคำพูดต่อไปของเขา
“อะแฮ่ม!! ข้ามาคิดดูแล้วนะ ท่านแม่และท่านย่าของเ้าเป็เพียงสตรีที่บอบบางไม่เคยเดินทางไปที่ใดนอกจากเมืองหลวงแห่งนี้ หากต้องเดินทางไกลไปถึงแคว้นเซี่ยย่อมไม่เป็ผลดีต่อพวกนาง อีกอย่างเ้าไปอยู่ที่นั่นยังไม่รู้เลยว่าจะไปได้ดีหรือไม่ หากปล่อยให้พวกนางไปกับเ้าจะกลายเป็ภาระของเ้าเสียมากกว่า เอาอย่างนี้เถอะ เื่ของครอบครัวเ้าข้าจะเป็ธุระให้เอง อยู่ที่อาณาเขตของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องลำบากแน่นอน ขอใช้ตำแหน่งอ๋องของข้าเป็ประกัน”
สิ่งที่หยวนชิงหลิงได้เดิมพันเอาไว้กับอ๋องเจ็ดผู้นี้ ถือว่านางชนะแล้ว นางแค่้ารู้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อมารดาของนางว่ามีมากมายเพียงใด จึงได้เอ่ยเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของเขาเมื่อตอนอยู่ที่สุสานของบิดา
ดูเหมือนความรู้สึกของอ๋องเจ็ดผู้นี้แทบจะเรียกได้ว่า รักจนบ้าคลั่งเลยก็ว่าได้ เขามีความรักต่อมารดาของนางอย่างลึกซึ้งจนนางคิดว่าบางทีแม้แต่ท่านพ่อของนางก็ไม่สามารถทำได้อย่างเขา
หยวนชิงหลิงฉีกยิ้มให้อ๋องเจ็ดอย่างจริงใจเป็ครั้งแรก นางลุกขึ้นคารวะให้กับเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะเล่าเื่ที่องค์ชายห้าทำกับนางในคืนก่อน
“สารเลว!!! เ้าห้า ข้าไม่คิดว่าเขาจะต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้ เพื่ออำนาจแล้วเขาถึงกับยอมทำทุกอย่าง แม้แต่อาญาแผ่นดินก็ไม่เกรงกลัวแล้ว เื่นี้ข้าจะต้องกราบทูลต่อฝ่าา ั้แ่ที่มีพระบรมราชโองการลงมา เ้าก็อยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นเซี่ยแล้ว แต่เขายังกล้าแตะต้องเ้าเช่นนี้ แสดงว่าไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา”
หยวนชิงหลิงรู้สึกอุ่นวาบในใจ อย่างน้อยอ๋องเจ็ดก็แตกต่าง เขาไม่ได้เลวเหมือนคนตระกูลฉินคนอื่น ในอดีตด้วยความสามารถของเขาที่เหนือกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้โดยไม่มีผู้ใดกล้ากังขา แต่เพราะผิดหวังจากมารดาของนาง รวมทั้งเขาเบื่อหน่ายการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก จึงได้หนีไปอยู่สถานที่ห่างไกลสุดขอบของดินแดนเช่นนี้
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากให้เื่นี้แล้วกันไปได้หรือไม่ เพคะ ความจริงองค์ชายห้าก็ได้รับโทษตามที่เขาสมควรได้รับแล้ว เื่นี้หม่อมฉันคิดว่าปล่อยให้มันผ่านไปเสียเถิด”
จะปล่อยให้ฮ่องเต้รู้เื่ที่นางทำร้ายองค์ชายห้าไม่ได้เพราะวันนั้นนางได้ช่วยเหลือคนชุดดำที่บุกเข้าไปในวังหลวงเอาไว้ หากให้ทางการรู้ตระกูลหยวนคงต้องโทษฏแน่นอน
ส่วนเื่ที่องค์ชายห้าจะฟ้องร้องนางหรือไม่นั้นนางไม่กังวล เพราะเขาผิดตั้งงแต่แรกที่คิดขืนใจนาง อีกอย่างเขาคงไม่กล้าให้ใครรู้กระมังว่าตนได้กลายเป็ขันทีไปแล้ว ถ้าหากเื่นี้ถูกแพร่งพรายออกไปสิทธิ์การเข้า่ชิงบัลลังก์ของเขาเป็อันต้องล่มแน่นอน ก่อนที่จะสั่งสอนเขาหยวนชิงหลิงได้คำนวณเื่นี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ได้ข้ารับปากเ้า”
อ๋องเจ็ดรับคำ ตอนนี้นางก็วางใจได้แล้วว่าครอบครัวของนางจะต้องปลอดภัยอยู่ภายใต้อาณาเขตเฉิงโจวของเขา วันที่หยวนชิงหลิงต้องออกเดินทางไปยังแคว้นเซี่ยพร้อมคณะราชทูตก็มาถึง ชาวเมืองต่างก็มารอส่งนางที่หน้าประตูเมืองอย่างเนืองแน่น
ภาพเหตุการณ์วันที่ขบวนศพของบิดกลับมาจากเมืองเหออัน หยวนชิงหลิงจำได้ว่ามีผู้คนมากมายเช่นกับวันนี้ พวกเขาต่างก็ซาบซึ้งในบุญคุณของตระกูลหยวนที่คอยปกป้องชายแดนเพื่อให้ประชาชนแคว้นฉินอยู่อย่างสงบสุข
เมื่อทายาทของตระกูลหยวนต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ที่แคว้นของศัตรู พวกเขาต่างรู้สึกโกรธแค้นต่อฮ่องเต้ที่กระทำต่อตระกูลหยวนอย่างไร้ความยุติธรรม แต่จะมีใครเล่าที่กล้าท้าทายอำนาจของทรราชผู้นั้น ดังนั้นชาวเมืองจึงทำได้เพียงมาส่งนางและให้กำลังใจต่อนางเท่านั้น
“ขอบคุณทุกท่านที่มาส่งข้าในวันนี้ หากมีโอกาสอีกครั้งชิงหลิงจะต้องกลับมาเยือนที่แคว้นฉินอีกแน่นอน ขอให้ทุกท่านโปรดรักษาตัวด้วย ลาก่อน”
นางกลับขึ้นไปบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว องครักษ์จึงให้สัญญาณเคลื่อนขบวนออกเดินทาง ชาวเมืองต่างก็วิ่งตามรถม้าของนาง บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาและก่นด่าสาปแช่งฮ่องเต้ที่ทำกับผู้ภักดีอย่างตระกูลหยวนได้ เสียงะโขอให้โชคดี ดังก้องตามหลังรถม้ามา หยวนชิงหลิงเปิดม่านหน้าต่างรถม้าโบกมือให้ชาวเมืองทั้งน้ำตา
ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของคนในคณะราชทูตแคว้นเซี่ย พวกเขาไม่คิดว่าประชาชนแคว้นฉินจะชื่นชมตระกูลหยวนของแม่ทัพหยวนิมากมายเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็ตายไปแล้วแต่สายตาแห่งความเลื่อมใสก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หยวนชิงหลิงมิได้ให้มารดาท่านย่าและน้องชายของนางมาส่ง เพราะเกรงว่าพวกเขาจะทำใจแยกจากนางไม่ได้ นางจึงบอกลาที่จวนตระกูลหยวนและฝากฝังครอบครัวของนางไว้ในมือของอ๋องเจ็ด
รถม้าวิ่งโยกเยกมาตลอดทางจนกระทั่งถึงยามอู่ (11.00-13.00) ทหารองครักษ์จึงได้ให้สัญญาณหยุดขบวนเพื่อพักทานอาหารเที่ยง และให้ม้าที่วิ่งมาตลอดทางได้พักเช่นกัน หยวนชิง หลิงลงมาจากรถม้าของนาง เพื่อดูว่าพวกเขามีสิ่งใดให้ตนช่วยหรือไม่
นอกจากนางที่ถูกแต่งตั้งให้เป็ท่านหญิงขั้นสี่แล้ว ยังมีหญิงงามอีกยี่สิบคนที่ถูกส่งไปเป็เครื่องบรรณาการแก่แคว้นเซี่ย หยวนชิงหลิงไม่ได้คิดว่าตนเองที่ถูกแต่งตั้งให้เป็เสี้ยนจู่แล้วนางจะสามารถถืออภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น ครอบครัวของนางมักจะสั่งสอนลูกหลานในตระกูลว่าทุกคนเกิดมาล้วนแต่เท่าเทียม ทำให้นางไม่เคยดูถูกหรือเหยียดหยามผู้ที่ด้อยกว่า
“นี่มันอันใดกัน!! อาหารเช่นนี้พวกข้าจะกินเข้าไปได้อย่างไร พวกเราคือบรรณาการจากแคว้นฉินนะ มิใช่ทาส หากดูแลพวกเราไม่ดีระวังพวกเ้าจะถูกลงโทษ”
เสียงโวยวายดังมาจากรถม้าที่อยู่ด้านหลัง หยวนชิงหลิงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย นี่คิดว่าตนเองยังมีสิทธิ์เลือกอยู่อีกหรือ ทันทีที่พวกเ้าก้าวพ้นจากหน้าประตูเมือง ชีวิตของพวกเ้าจะอยู่หรือตายล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือของคนแคว้นเซี่ย ช่างโง่เขลานัก
หยวนชิงหลิงเลิกสนใจพวกนาง และหันมาช่วยเหล่าพ่อครัวทำอาหารโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างที่กำลังมองมา นางทำอาหารง่ายๆ หลายอย่าง ทำให้พ่อครัวที่มีไม่กี่คนสามารถเบาแรงไปได้หลายส่วน
ขบวนคณะราชทูตแคว้นเซี่ยมีผู้ร่วมเดินทางมากมาย นอกจากเครื่องบรรณการที่เป็มนุษย์แล้วยังมี ทองคำหลายสิบหีบ สมุนไพรหายาก อาวุธและม้า ทำให้เหล่าองครักษ์ต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมหลายเท่า
“เสี้ยนจู่ เราต้องขอบคุณท่านมากนะขอรับ ที่มาช่วยทำอาหาร ไม่อย่างนั้นเพียงแค่พวกเราคงไม่สามารถทำอาหารให้คนมากมายได้ทันแน่”
หยวนชิงหลิงยิ้มให้เหล่าพ่อครัวที่ถือว่า ในขบวนนี้เป็ชนชั้นที่ต่ำต้อยอย่างจริงใจ
“ไม่เป็ไร พวกท่านเรียกข้าว่าชิงหลิงก็ได้ อย่าได้เรียกข้าว่าเสี้ยนจู่เลย มันเป็เพียงฐานะที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาโดยฮ่องเต้แคว้นฉินก็เท่านั้น ตัวข้าหาใช่เชื้อพระวงศ์จริงๆ”
นางเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ ก่อนที่จะนั่งรับทานอาหารพร้อมกับพ่อครัวเ่าั้โดยที่ไม่ถือตัวเลยสักนิด
“เหอะ!!เสแสร้ง”
หลี่อันหรงบิดปากพูดอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะโยนชามอาหารลงไปข้างๆ หยวนชิงหลิง เหล่าพ่อครัวและองครักษ์ต่างก็มองการกระทำของนางเป็ตาเดียว หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืนช้าๆ ชายชุดของนางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำแกง
“ข้าไม่รู้ว่าเ้าไม่พอใจสิ่งใดในตัวข้า ถึงได้แสดงกิริยาไร้มารยาทเช่นนี้ออกมา เมื่อก่อนเ้าอาจจะเคยเป็บุตรสาวของขุนนางใหญ่ในแคว้นฉิน เคยอยู่เหนือผู้คนมากมาย หลายคนต้องคอยเอาใจและรองรับโทสะของเ้า แต่ข้าหาใช่บ่าวไพร่ของเ้า”
นางตบใบหน้าของหลี่อันหรงสองครั้งติดกัน ทำเอาทุกคนถึงกับอึ้ง แม่นางผู้นี้มือไวจริงๆ เพียงทำชุดของนางสกปรกเท่านั้นนางก็ลงไม้ลงมือเสียแล้ว
“เ้า!!”
“หุบปาก!!! และจงอยู่ให้ห่างข้าเอาไว้ หากเ้ายังอยากใช้ปากนั่นทานอาหารอยู่”
หยวนชิงหลิงมองหลี่อันหรงด้วยสายตาเอาจริง หลี่อันหรงทำสิ่งใดไม่ได้ นางทำได้เพียงรีบวิ่งกลับไปที่รถม้าของตน หยวนชิงหลิงก้มลงหยิบชามที่หลี่อันหรงโยนใส่นาง ก่อนที่จะนำมันไปล้าง
“อาหารที่นางไม่ชอบกิน แต่สำหรับชาวบ้านธรรมดามันคืออาหารที่พวกเขาต่อให้ฝันถึงก็ไม่มีทางได้มา นางช่างเป็คนที่ฟุ่มเฟือยยิ่งนัก”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้