ตำหนักพักร้อนของราชวงศ์นำมาใช้เป็สถานที่จัดงานร้อยบุปผานับว่าดีที่สุด การแข่งเรือัจะเริ่มตอนเที่ยงวัน ทุกคนต่างไปรวมตัวกันที่ลานด้านในอย่างคับคั่ง
หากบอกว่าดอกไม้ของผู้ใดได้รับความสนใจที่สุด ก็ต้องเป็ของเฉียวเยว่ ดอกไม้ของนางไม่ใช่ต้นไม้ล้ำค่า หรือมีสิ่งใดเป็พิเศษ แต่เห็นๆ กันอยู่ว่าใบเป็กล้วยไม้ ทว่าดอกกลับไม่ใช่ ย่อมนำความประหลาดใจมาให้ทุกคน
แทบจะทุกคนต่างรู้สึกสนใจอย่างมาก มีคนเข้ามาถาม เฉียวเยว่ก็บอกความจริงให้ทราบ "นี่คือดอกไม้ที่ใช้วิธีต่อกิ่ง อายุของมันจึงสั้นมาก"
เพราะอายุของดอกสั้น ราคาจึงไม่สูง
แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ทุกคนก็ยังคงแย่งชิงกัน เฉียวเยว่ยิ้ม "แท้จริงแล้วดอกไม้อื่นๆ ก็สวยมากเหมือนกัน และมีอายุของดอกยาวกว่า สามารถเก็บไว้ได้ระยะยาว ทุกท่านสามารถชมต้นอื่นๆ ได้ พวกท่านลองขบคิดพิจารณาดูดีๆ ก็จะทราบวิธีการสามารถนำไปตัดต่อกิ่งเองที่บ้านได้"
อันที่จริงก็ไม่ใช่ความลับอันใด
แท้จริงแล้วดอกไม้ของทุกคนถูกรวมไว้ด้วยกันเพื่อขายเอารายได้เข้าการกุศล เพียงแต่ของเฉียวเยว่ค่อนข้างโดดเด่น ดังนั้นทุกคนถึงรู้ว่าดอกไม้แปลกประหลาดสิบกระถางนั้นเป็ของนาง
ดอกไม้ของเฉียวเยว่ถูกซื้อไปจนหมดเกลี้ยง นางรู้สึกเบิกบานใจมาก นี่แสดงว่าทุกคนล้วนชื่นชอบ
วันเทศกาลเช่นนี้มีสตรีสูงศักดิ์มากมายมาเที่ยวชม นอกจากมาทำการกุศลแล้ว ยังมาดูเหล่านักศึกษาหญิงของสำนักศึกษาสตรี คุณชายจำนวนไม่น้อยก็เป็เช่นนี้ นี่เป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่ง งานการกุศลของสำนักศึกษาสตรีทุกปีจึงเป็งานที่น่าสนใจที่สุดงานหนึ่ง
เฉียวเยว่ไม่เพียงชาติตระกูลดี หน้าตาก็ดี ความรู้ก็ดี อุปนิสัยน่ารักน่าเอ็นดู ย่อมมีคนไม่น้อยชมชอบนาง
พวกเขารู้สึกว่าถึงแม่นางคนนี้จะไม่ทำอะไร เพียงมองเฉยๆ ก็ไม่อยากละสายตาแล้ว มิน่าเล่าแม้แต่คนอุปนิสัยเยี่ยงอวี้อ๋องก็ยังชอบนาง เห็นได้ว่าแม่นางน้อยคนนี้ช่างดียิ่ง
แต่แม้ซูเฉียวเยว่จะดีเช่นไร อายุของนางก็ยังน้อย จวนซู่เฉิงโหวไม่มีทางยอมให้นางหมั้นหมายเร็วเกินไป จุดนี้เหล่าฮูหยินสูงศักดิ์ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างรู้กันดี ดังนั้นนอกเสียจากตระกูลนั้นจะมีคุณชายอายุไล่เลี่ยกัน มิเช่นนั้นถึงแม้จะชอบสาวน้อยน่ารักอย่างเฉียวเยว่สักปานใด ก็จะไม่ทอดสายตามาที่นางนานเกินไปนัก
ฉินอิ๋งขายของไปก็มองทางโน้นทางนี้ไป
"เ้ามองอะไรหรือ?" โม่หลันถาม
"ข้ามองหาญาติผู้พี่อยู่ นางไม่ค่อยคุ้นชินกับสถานที่ เมื่อคืนข้าบอกว่านางดูจืดชืดเกินไป ให้นางแต่งตัวให้สดใสหน่อย นางกลับไม่ยอม นางมักพูดว่าคนเราควรพยายามทำตัวให้บริสุทธิ์สูงส่ง ไม่ยึดติดกับของนอกกาย วันนี้ถูกข้าบังคับให้ปักปิ่นดอกไม้ ก็บอกว่าไม่ชิน ข้าเห็นกับตาว่านางจับมันตั้งห้าหกรอบ น่าสนใจยิ่งนัก"
โม่หลันมองไป พลางถอนหายใจ "ญาติผู้พี่ของเ้าหน้าตาสวยมาก"
ความงามของนางเป็แบบบางเบาประดุจสายน้ำที่กำลังเป็ที่นิยม
ฉินอิ๋งเชิดหน้า "นั่นมันแน่อยู่แล้ว ญาติผู้พี่ของข้าไหนเลยจะด้อย" หลังจากนั้นก็เหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่กลับสังเกตว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ควรพูดคุย จึงกลืนส่วนที่เหลือกลับลงไป
"ข้าได้ยินว่าญาติผู้พี่ของเ้าเรียนเก่งมาก"
ฉินอิ๋งยิ่งภูมิใจมากกว่าเดิม "แน่นอนสิ การบ้านของข้าก็ได้นางเป็คนสอน มิเช่นนั้นข้าจะสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีได้อย่างไร"
หลังจากฟังพวกนางคุยกัน เฉียวเยว่ก็เข้าไปกระซิบข้างหูโม่หลันประโยคหนึ่งแล้วค่อยๆ เดินออกมา
ไม่ผิดจากที่คิดไว้ เมื่อเช้าคงจะกินมากเกินไปหน่อย นางรีบสาวเท้าไปยังสุขา หลังจากออกมาแล้วก็ได้ยินเสียงของชายหญิง ดูเหมือนว่ามีการโต้เถียงกันเล็กน้อย
ที่นี่มีถนนแคบเพียงสายเดียว เฉียวเยว่ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเดินตรงไป แต่ไปได้ไม่ไกลนักก็เห็นบุรุษจับมือสตรีไม่ปล่อยซ้ำยังตะคอกเสียงต่ำ "เ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ใจคอจะให้ข้าทนคิดถึงเ้าจนแม้แต่ข้าวปลาก็ไม่นึกอยากกินเช่นนี้หรือ เ้าเคยรู้หัวใจของข้าบ้างหรือไม่"
เฮ่อ... มาเจอคนสารภาพรักเข้าแล้วสิ พอเฉียวเยว่มองดูเห็นว่าเป็คนรู้จักก็ไม่กล้าเดินไปต่อ สตรีผู้นั้นมองไปรอบด้าน นางเห็นท่าไม่ดีรีบหลบอย่างรวดเร็ว จนมานั่งคุกเข่าอยู่หลังพุ่มไม้ แล้ววาดวงกลมบนพื้น นางไม่ได้อยากจะแอบฟังผู้อื่นสนทนากันเลย แต่หากออกไปตอนนี้คงยิ่งแย่กระมัง?
สตรีผู้นี้หาใช่ใครอื่นแต่เป็หร่วนหลีญาติผู้พี่ของฉินอิ๋ง
"ท่านรีบปล่อยมือ หากใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร" น้ำเสียงของหร่วนหลีนุ่มนวลประดุจวารี
"ข้าไม่สน ข้าไม่กลัวคนเห็น เ้าก็รู้ความในใจของข้า ข้าชอบเ้า ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น" บุรุษยังคงตอแยต่อไป
"ท่านไม่ใส่ใจ แต่เคยคิดเผื่อข้าหรือไม่? ข้าอาศัยอยู่บ้านท่านน้า มาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาของผู้อื่น หากมีข่าวลือไม่ดีแพร่งพรายออกไป ข้าจะทำอย่างไร และข้าจะยังมีที่ยืนอยู่อีกหรือ" แม้หร่วนหลีจะกล่าวเช่นนี้ แต่ไม่เห็นว่าสีหน้าเป็อย่างไร ฟังจากน้ำเสียงก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนรนสักเท่าไร เฉียวเยว่ยังคงวาดวงกลมต่อ ภาวนาในใจให้พวกเขารีบๆ ไปเสียที
ชายหนุ่มหญิงสาวอย่าได้มาพลอดรักในสถานที่อันตรายเช่นนี้เลย หากผู้อื่นมาพบเห็นเข้าคงได้งามหน้ากันล่ะ
แต่คำภาวนาของนางก็ไม่ประสบผล
"พวกเขาไม่้า ข้าก็จะแต่งกับเ้าเอง ข้าจะกลับไปคุยกับท่านแม่ให้ไปสู่ขอเ้า" ชายหนุ่มตอบทันที
หร่วนหลีขบริมฝีปาก "นี่ท่านอยากให้ข้าตายนักหรือ ข้ารู้ ท่านอยากให้ข้าตาย บิดามารดาข้าเคยบอกว่า เื่การแต่งงานของข้าให้ท่านน้ากับน้าเขยเป็คนจัดการ ท่านควรรู้ ญาติผู้พี่ก็มีใจให้ข้า หากข้าไม่ตามใจเขา ข้าไหนเลยจะได้แต่งไปกับคนที่ดี ท่านน้าของข้าผู้นั้น... ข้าก็เคยบอกท่านแล้วมิใช่หรือ นางดูเป็คนนุ่มนวลอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วใจดำยิ่งนัก"
เสียงของหร่วนหลียิ่งพูดก็ยิ่งฉายแววเร่งเร้าแกมตัดพ้อ "หากไม่เพราะมีใจตรงกับท่าน ข้าไหนเลยจะบอกความจริงเช่นนี้ นางคงจะยกข้าให้เป็อนุของตาแก่ตัณหากลับเ่าั้ โดยไม่สนว่าชีวิตข้าจะเป็จะตายอย่างไร ข้าจึงไม่กล้าอกตัญญูแม้แต่น้อย ชิงอวิ๋น ข้ารู้ท่านรักข้า แต่ตอนนี้ข้า... ตอนนี้ข้าอับจนหนทางจริงๆ อีกอย่างหากนางเอาข้าไปพูดเสียๆ หายๆ แล้วมารดาข้าเกิดเชื่อขึ้นมา ข้าจะยังเป็ที่ยอมรับได้อย่างไร?"
เฉียวเยว่ยังคงนั่งวาดวงกลมต่อไป
"ท่านคิดว่าญาติผู้น้องของข้าชอบข้าจริงหรือ? นางตามติดข้าทั้งวัน แสร้งทำเป็ใสซื่อไร้เดียงสา แต่แท้จริงแล้วนางกำลังเฝ้าจับตามองข้าอยู่ ไม่ว่าจะเมื่อไร ทำสิ่งใดล้วนติดตามไม่ห่าง ตอนนี้ข้าตกที่นั่งลำบาก ท่านคงจะกระจ่างใจแล้ว แล้วท่านยังจะปล่อยให้ข้าถูกทำร้ายอีกหรือ?" หร่วนหลีกุมมือชายหนุ่ม "พวกเราต้องวางแผนระยะยาว ท่านเชื่อข้า ข้าจะไม่ให้ตนเองต้องแต่งกับญาติผู้พี่อย่างแน่นอน"
"แต่วันเวลาของการลักลอบนัดพบเช่นนี้เมื่อไรถึงจะสิ้นสุดเสียทีเล่า เ้า..."
"ข้าย่อมจะไม่ยอมให้ถูกควบคุมตลอดไป ตอนนี้ข้าหมั่นเพียรศึกษาก็เพื่อกาลภายหน้าจะได้มีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเองมากขึ้น เพียงแต่ท่านต้องเชื่อข้า หากท่านน้าทราบว่าข้าไม่อยากแต่งให้ญาติผู้พี่ จะต้องปล่อยข่าวลือเสียหายของข้าออกไปอย่างแน่นอน ตอนนี้ข้าไม่อยากให้นางทำอะไรทั้งนั้น ข้าไม่กลัว... ไม่กลัวการถูกใส่ร้ายป้ายสี เพียงขอให้ท่านอย่าหลงเชื่อ จนตกหลุมพรางของผู้อื่นก็แล้วกัน"
หร่วนหลีแสดงความจริงใจอย่างเปี่ยมล้น
ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เฉียวเยว่เบ้ปาก หัวคิ้วมุ่นขมวด
นางไม่รู้อยู่แล้วว่ามารดาของฉินอิ๋งเป็สตรีประเภทใด แต่แม้ว่านางจะรู้จักเฉินอิ๋งไม่นาน ก็ยังดูออกว่าเป็แม่นางน้อยที่ไม่มีความคิดซับซ้อนมากนัก
อีกอย่างนางเคารพเลื่อมใสญาติผู้พี่คนนี้อย่างแท้จริง ไม่เคยคิดอย่างที่หร่วนหลีเอ่ยถึงนางลับหลัง นึกถึงคำกล่าวของหรงเยว่ นางก็กลอกตามองบน ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบคนผู้นี้
"ข้าเชื่อเ้า เ้าเป็คนอย่างไรข้าย่อมรู้ดี จะไปเชื่อผู้อื่นได้อย่างไร"
"ข้าเป็เพียงสตรีที่มาจากเมืองเล็กๆ ร่ำเรียนวิชาอย่างยากลำบาก มักได้รับคำชมจากอาจารย์เสมอ ทำให้สหายร่วมชั้นชังน้ำหน้าและดูแคลน ไม่มีใครยินดีคบหาข้าเป็สหาย ท่านน่าจะรู้ พวกนางล้วนแต่เป็สตรีจากตระกูลชั้นสูง ไหนเลยจะยอมน้อยหน้า? ด้วยเหตุนี้จึงพากันอิจฉาริษยาข้าเป็ที่สุด ก่อนหน้านี้ ข้าได้ยินมีคนนินทาข้าลับหลัง หากท่านน้าก็พูดให้ร้ายข้าอีก ข้าก็คงไม่มีวันล้างให้หมดมลทิน"
"เ้าวางใจ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ข้าล้วนไม่เชื่อ สตรีเหล่านี้ไม่รู้จักเรียนหนังสือให้ดีกลับคิดแต่อิจฉาริษยาผู้อื่น มิน่าถึงไม่เป็ที่ชมชอบของอาจารย์" ฝ่ายบุรุษดูเหมือนจะนึกอะไรได้ ล้วงถุงเงินขึ้นมา "เ้าเอานี่ไป"
"ไม่ ข้ารับไว้ไม่ได้..."
ชายหนุ่มยัดเยียดใส่มือนาง "เ้าต้องรับ ข้ารู้ เ้าอยู่กับท่านน้าใช้ชีวิตอย่างลำบาก เ้ารับไว้เถอะ หาใช่เป็การดูแคลนเ้า แต่นี่คือน้ำใจจากข้า เ้าเก็บไว้ เ้าอย่าให้ข้าเป็ห่วง อย่าทำให้ข้าวิตกกังวลได้หรือไม่?"
หร่วนหลีนิ่งไปพักใหญ่ ในที่สุดก็พยักหน้า
"ข้าจะรับไว้ก่อน และจะไม่เอาไปใช้จ่าย รออีกสองปี ข้าจะคืนให้กับท่าน"
พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ เฉียวเยว่ก็ยิ้มเยาะออกมาทางสีหน้า ถ้อยคำสวยหรูเต็มไปด้วยการล่อลวงพรรค์นี้ คงมีแต่คนโง่สุดๆ เท่านั้นถึงจะเชื่อ แต่ความเป็จริงก็มีคนเชื่อจริงๆ บุรุษผู้นั้นยิ่งซาบซึ้งตื้นตัน รู้สึกว่าหร่วนหลีคือสตรีบริสุทธิ์สูงส่งไม่เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง
ทั้งสองพลอดคำหวานถึงกันอีกสองสามประโยคปานโลกนี้มีเพียงสองเรา ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป
เฉียวเยว่ซุกอยู่หลังพุ่มไม้ ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี
การแอบฟังผู้อื่นสนทนากันเป็สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งต้องมาเจอคนต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสะท้อนใจ
นางผ่อนคลายจิตใจชั่วครู่หนึ่งก่อนลุกขึ้น "เฮ่อ"
คุกเข่านานเกินไปจนขาชาเสียแล้ว นางล้มลงแล้วนวดน่องของตนเอง "โทษฐานที่แอบฟังผู้อื่น ์ก็เลยลงโทษกระมัง"
ขณะกำลังบ่นพึมพำก็เห็นรองเท้าผ้าสีน้ำเงินเข้มมาหยุดตรงหน้า
รองเท้าคู่นี้ไม่เปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย
เฉียวเยว่มองรองเท้าแล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอวี้อ๋องมองนางลงมาจากที่สูง
เฉียวเยว่ยิ้มร่า โบกมือน้อยๆ ไปมา "ท่านพี่จ้าน ช่วยดึงข้าขึ้นไปที ข้าขาชาหมดแล้ว"
หรงจ้านไม่มีท่าทีอันใดเพียงถามว่า "เ้ามานั่งอะไรตรงนี้?"
หลังจากนั้นก็มองวงกลมบนพื้น "เ้าแอบอู้หรือว่าแอบฟังผู้อื่น?"
อย่างไรเสียก็ต้องเป็หนึ่งในสองอย่างนี้แหละ
หลังจากนั้นก็ถามอีกว่า "มือของเ้าสะอาดหรือไม่?"
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง "ให้ท่านช่วยดึงข้า ไยต้องถามมากมายเช่นนี้เล่า ข้า..."
ขณะที่กำลังจะบ่นต่อ ก็เห็นมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้า
เฉียวยิ้มออกทันใด แล้ววางมืออวบน้อยๆ ของตนเองลงไปบนนั้น อวี้อ๋องออกแรงเล็กน้อยดึงนางขึ้นมา
เฉียวเยว่นวดขา แล้วปัดเศษหญ้าที่ติดอาภรณ์ให้สะอาด พรูลมหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า "ขอบคุณเ้าค่ะ ท่านพี่จ้าน ข้ากลับไปขายของต่อนะเ้าคะ"
"หลังจากกลับถึงบ้าน ส่งดอกไม้ไปที่จวนข้าสองกระถางด้วยล่ะ" หรงจ้านเอ่ยอย่างใจเย็น
หลังจากนั้นก็หมุนตัวเตรียมจะไป เฉียวเยว่ยื่นมือไปรั้งเขาไว้ แล้วถามออกไปตรงๆ "เพราะเหตุใด?"
หรงจ้านมุ่นคิ้วก้มมองมือของนาง แล้วชี้ไปตรงนั้นก่อนเงยหน้าขึ้น "ปล่อยมือ"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "หึ ข้าไม่ใช่ 'ไก่เผ็ด' [1] เสียหน่อย ไยต้องรังเกียจเช่นนี้ด้วย หากท่านทำท่าขยะแขยงข้าอีก ข้าจะใช้แขนเสื้อของท่านเช็ดหน้าเสียเลย"
หรงจ้านถึงกับตกตะลึงในความหน้าหนาของนาง หลังจากมองเฉียวเยว่อย่างพินิจ ก็เบ้ปาก "เ้าจะทำตัวเยี่ยงกุลสตรีบ้างได้หรือไม่"
"ไม่ได้" เฉียวเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด
การแกล้งเขาคืนบ้างคือสิ่งที่ถูกต้อง
"ท่านยังไม่บอกเลยว่าเหตุใดข้าต้องส่งดอกไม้ให้ท่านด้วย" เฉียวเยว่ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน
มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มน้อยๆ ก่อนพูดอย่างจริงจัง
"บุญคุณแม้เพียงหยดน้ำ ก็จงตอบแทนด้วยการมอบดอกไม้" [2]
...
[1] ไก่เผ็ด เป็สแลงที่นิยมใช้ในโลกอินเทอร์เน็ต หมายถึง ขยะ หรือของอะไรที่ห่วยแตก ไร้ประโยชน์ คำว่าไก่เผ็ด ภาษาจีนออกเสียงว่า ล่าจี 辣鸡 คล้ายกับว่า ลาจี 垃圾 ซึ่งแปลว่าขยะ
[2] แผลงมาจากคำกล่าวที่ว่า บุญคุณแม้เพียงหยดน้ำ ก็จงตอบแทนดั่งมหาสมุทร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้