หลังจากนั้นภายในห้องก็เงียบลง
หลี่จิ้งมองไปยังหลัวเลี่ยด้วยสายตาที่ซับซ้อนและพูดขึ้นหลังจากนั้นไม่นานว่า “คำพูดนี้ของเ้า หากถูกเปิดเผยออกไป คงถูกผู้คนนับไม่ถ้วนหัวเราะเยาะ เพราะการทำเพื่อตัวเองคือพื้นฐานของคน"
“ดังนั้นข้าถึงพูดว่าข้าไม่สามารถควบคุมคนอื่นได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ควบคุมตัวเองได้” หลัวเลี่ยได้พูดหลายสิ่งที่สะสมอยู่ภายในใจของเขาทำให้เขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
“เช่นนั้นเ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็อย่างไรหากเ้าปฏิเสธอวี้ติงเจินเหริน” หลี้จิ้งพูด
หลัวเลี่ยยกยิ้มเย็นแล้วพูดว่า “ทำไม อวี้ติงเจินเหรินคิดจะแก้แค้นข้าหรือ เป็ถึงบรรพชนแต่กลับไม่ให้เกียรติคนอื่น คิดว่าตัวเองไว้หน้าข้า แต่ข้าไม่ไว้หน้าเขา ทำให้เขาไม่พอใจเลยจะพุ่งเป้ามาที่ข้าหรือ หากเป็เช่นนั้น ข้าก็คงจะดีใจแล้วที่ไม่ได้กราบเขาเป็อาจารย์ เพราะหากข้ากราบเขาเป็อาจารย์แล้วข้าคงอึดอัดใจจนตาย ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรได้อีก”
สีหน้าของหลี่จิ้งเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่หลัวเลี่ยพูด
เขาไม่เคยได้ยินใครพูดถึงบรรพชนเช่นนี้มาก่อน
ฐานะของบรรพชนนั้นสูงส่งและเป็รองเพียงเทพเท่านั้น
“หลัวเลี่ย ข้าว่าเ้าอย่าอวดดีมากไปกว่านี้จะดีกว่า เพราะอย่างไรเสียก็นับว่าอวี้ติงเจินเหรินกำลังช่วยเ้าทางอ้อมอยู่ดี” หลี่จิ้งกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ขออภัยด้วย ในสายตาของข้า เขากำลังทำให้ข้าอับอาย” หลัวเลี่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา
ทันใดนั้นจู่ๆ หลี่จิ้งก็ยืนขึ้น “เ้าหัวแข็งเกินไปแล้ว เ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนมากมายแค่ไหนที่อยากจะเป็ศิษย์ของบรรพชน”
“ข้าไม่สนใจ”
“เ้าไม่คิดหรือว่าการที่เ้าต่อต้านอูอวิ๋นเซียนในครั้งนี้นับเป็โชคดีที่เ้ารอดมาได้ และหากเ้าต่อต้านอวี้ติงเจินเหรินอีก บรรพชนทั้งสองจะทำอะไรเ้าได้บ้าง เ้าไม่คิดถึงผลที่จะตามมาหรือ”
“ข้ารู้แค่ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป!”
“มนุษย์ต้องรู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม”
“ข้าไม่ดูถูกสิ่งที่คนอื่นทำเพื่อความอยู่รอด บางทีวันหนึ่งข้าก็อาจจะทำแบบเดียวกัน แต่อย่างน้อยตอนนี้ ข้าก็ไม่ลืมความตั้งใจเดิมของตัวเอง”
เมื่อเห็นความดื้อรั้นของหลัวเลี่ย หลี่จิ้งก็โกรธมาก เขาสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไปด้วยความโกรธ “เ้ามันเป็เด็กที่ไม่อาจสั่งสอนได้!”
หลัวเลี่ยก็ไม่รั้งเขาไว้เช่นกัน
“หากมีวันใดที่เ้าต้องโอนอ่อน เ้าจะขบขันกับการกระทำของตัวเองในวันนี้หรือไม่” เยี่ยนอวิ๋นหวู่เดินเข้ามา
หลัวเลี่ยเดินผ่านนางเข้าไปที่ห้องฝึกฝน
“อย่างน้อยข้าก็ยังมีพื้นฐานความเป็คนและยังเก็บรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ในใจของตัวเองได้ก็เพียงพอแล้ว”
หลัวเลี่ยผลักประตูและเข้าไปในห้องฝึกฝน
เหลือเพียงเยี่ยนอวิ๋นหวู่เท่านั้นที่ยังยืนอยู่หน้าประตูด้วยความงุนงง นางมองไปที่ก้อนเมฆบนท้องฟ้า และพูดเบาๆ ว่า “ข้าอยากจะบอกเหลือเกินว่าเ้าช่างไร้เดียงสา แต่ข้าเองก็ไม่เคยลืมความตั้งใจเดิมของตัวเองเช่นกัน”
เมื่อมีศรัทธาแล้วก็ต้องทำให้ได้
เมื่อได้รับความกดดันก็ต้องพยายามให้มากยิ่งขึ้น
เมื่อมีทั้งสองอย่างคอยกดดัน หลัวเลี่ยก็ต้องยิ่งฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อทำตามความเชื่อมั่นและเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตัวเองในระฆังจันทรา เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่จักรพรรดิแดนประจิมไท่อีทิ้งไว้ในระฆังส่วนหนึ่งในเก้าของระฆังจักรพรรดิประจิม เนื้อหามีทั้งการศึกษาอย่างบ้าคลั่ง ความไร้พ่าย และสิ่งที่ทำยามอ่อนกำลัง
อย่างไรก็ตามหลัวเลี่ยยังเด็กเกินไป เขาก็้าใครสักคนที่จะเข้าใจเขาเช่นกัน
เมื่อความเข้าใจแบบนี้เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ ผลของการฝึกฝนก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกเหมือนได้พบกับเพื่อนที่รู้ใจ
หลัวเลี่ยค่อยๆ ผลักดันตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของขั้นต้นในระดับหยินหยาง
จุดสูงสุดนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
ตอนนี้เหลืออีกไม่ถึงสิบวันแล้วที่ไก้อู๋ซวงจะถือกำเนิดขึ้นเป็ครั้งที่สอง
แต่ในเวลานี้โลกภายนอกระฆังจันทรากลับเกิดเื่วุ่นวายขึ้น
และผู้ที่กระตุ้นความวุ่นวายนี้คืออวี้ติงเจินเหริน
ไม่รู้ว่าใครเป็คนปล่อยข่าวว่าอวี้ติงเจินเหรินจะรับหลัวเลี่ยเป็ศิษย์เพื่อหยางเจี้ยน แต่หลัวเลี่ยกลับไม่รู้เื่รู้ราวและปฏิเสธข้อเสนอนี้ทำให้อวี้ติงเจินเหรินโกรธมาก
มีข่าวลือว่าหลังจากที่อวี้ติงเจินเหรินรู้เื่นี้ เขาก็พูดถึงหลัวเลี่ยด้วยความกรุ่นโกรธว่า “ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”
ทันทีที่มีคำพูดนี้ออกมา คนทั้งดินแดนเหยียนหวงต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล
เดิมที่เื่ราวระหว่างหลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงก็มีบรรพชนอูอวิ๋นเซียนเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ตอนนี้ยังมีอวี้ติงเจินเหรินเพิ่มเข้ามาอีก ทำให้ทุกคนต่างก็คิดว่าหลัวเลี่ยช่างพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ชีวิตของเขาจะยากลำบากเกินไปแล้ว
และมีคนมากมายเช่นกันที่ตำหนิว่าหลัวเลี่ยยึดถือในความคิดของตัวเองมากเกินไป แม้แต่บรรพชนก็ยังกล้าปฏิเสธ
เดิมทีสถานการณ์ก็วุ่นวายอยู่แล้วเพราะความโกรธทั้งหลายต่างพุ่งมาที่หลัวเลี่ย แต่อูอวิ๋นเซียนก็ออกมาประกาศอีกครั้งในเวลาที่ไม่เหมาะสมนี้
“หลังจากไก้อู๋ซวงต่อสู้แล้ว อูอวิ๋นเซียนจะสอนวิชา์วินาศรวมศูนย์ให้แก่นาง!”
คำพูดนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ
เมื่อผู้คนได้ฟัง พวกเขาก็รู้ทันทีว่ามันจะมีผลกระทบต่อหลัวเลี่ยอย่างมาก
ก่อนอื่นคือคำพูดที่ว่าไก้อู๋ซวงจะได้ฝึกฝนหลังต่อสู้ ซึ่งหมายความว่าอูอวิ๋นเซียนเชื่อว่าถึงอย่างไรไก้อู๋ซวงก็ต้องสังหารหลัวเลี่ยในครั้งนี้ได้แน่
ซึ่งประกาศที่ออกมาจากอูอวิ๋นเซียนในครั้งนี้ หมายความว่าเขารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของไก้อู๋ซวง และเขาก็เป็คนช่วยให้ไก้อู๋ซวงได้กำเนิดขึ้นเป็ครั้งที่สองอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยตนเอง ดังนั้นพลังของไก้อู๋ซวงย่อมเพิ่มขึ้นในทุกด้าน ทำให้ผู้คนยิ่งมองหลัวเลี่ยไม่ดีมากขึ้น
และไม่ว่าจะเป็การต่อสู้ระหว่างคนรุ่นเยาว์หรือผู้าุโ ถึงอย่างไรการคาดเดาของบรรพชนก็ไม่มีทางผิดพลาด
หากบรรพชนบอกว่าพ่ายแพ้ ใครจะกล้าสงสัยได้อีก
ประการที่สอง วิชา์วินาศรวมศูนย์เป็วิชาระดับบรรพชนที่แม้แต่ผู้ติดตามของอูอวิ๋นเซียนก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอที่จะฝึกฝนได้ แต่ไก้อู๋ซวงกลับจะได้ฝึกฝนมันก่อน แม้ว่านางจะไม่อาจฝึกฝนสำเร็จ แต่มันก็สามารถทำให้นางใช้สิ่งนี้เพื่อช่วยเหลือเมื่อไปถึงระดับพลังสูงๆ ในอนาคตได้ และเมื่อนางไปถึงระดับบรรพชนแล้ว สิ่งนี้จะทำให้พลังของนางก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วแน่นอน กล่าวโดยย่อคือมันมีประโยชน์อย่างมากในทุกด้าน
และมันก็เป็สิ่งที่ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วเช่นกันว่าไก้อู๋ซวงคือเสาหลักใจอนาคตของสำนักอูอวิ๋นเซียน ซึ่งเท่ากับว่านางเป็ยอดฝีมือลำดับสองที่ทุกคนต้องให้ความเคารพ
และสุดท้าย อวี้ติงเจินเหรินโกรธหลัวเลี่ยมาก และท่าทีของอูอวิ๋นเซียนในตอนนี้ก็ไม่ได้มีความคิดในทางที่ดีกับหลัวเลี่ยเท่าไรเช่นกัน
แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของสองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่กล้าต่อกรกับเหล่าบรรพชน แล้วหลัวเลี่ยเป็ใครถึงกล้าท้าทายทั้งสองบรรพชนพร้อมกัน ดังนั้นเหล่าผู้คนที่พร้อมจะลู่ไปตามทิศทางลมจะทำอะไรได้อีกเล่า?
พวกเขาจะพลาดโอกาสที่จะประจบสอพลอได้อย่างไร
ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มใช้ทุกวิถีทางบีบบังคับให้หลัวเลี่ยออกจากการกักตัวฝึกตนก่อนกำหนดเพื่อแสดงจุดยืนว่าพวกเขาอยู่ฝั่งเดียวกับบรรพชนทั้งสอง
หลัวเลี่ยที่ใกล้จะทะลวงขั้นได้แล้ว และเดิมทีวางแผนที่จะทะลวงได้ในคราวเดียว แต่เพราะภายนอกเสียงดังเกินไป บางคนถึงขั้นใช้โอกาสนี้กดดันแคว้นเป่ยสุ่ยให้บีบเขาออกจากการกักตัวฝึกฝน
สิ่งนี้ทำให้หลัวเลี่ยโกรธมาก
เขายุติการฝึกฝนลงชั่วคราว
หลังจากที่หลัวเลี่ยเดินออกจากโรงเตี๊ยม เขาก็ได้พบกับหลี่จิ้งอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้ท่าทางของหลี่จิ้งแตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาช่างเ็า
“เ้าเสียใจแล้วสินะ”
หลัวเลี่ยพูดเสียงดังว่า “เื่ที่ข้าหลัวเลี่ยผู้นี้ทำลงไป ตราบใดที่ข้าทำแล้วย่อมไม่มีวันเสียใจ”
หลี่จิ้งแสดงสีหน้าโกรธเคือง “เ้ายังไม่เปลี่ยนใจอีกหรือ”
“ข้าไม่เสียใจแล้วเหตุใดต้องกลับใจด้วยเล่า” หลัวเลี่ยพูด “ไม่ทราบว่าที่ผู้าุโมาในครั้งนี้ มีคำแนะนำอะไรให้ข้าอีกหรือ”
“แม้แต่การเป็ศิษย์ของบรรพชนเ้ายังปฏิเสธ แล้วข้าจะกล้าแนะนำอะไรเ้าได้อีก ข้ามาเพราะจะบอกเ้าว่าหากเ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ ข้าจะขอร้องอาจารย์อาอวี้ติงเจินเหรินให้เห็นแก่หน้าของหยางเจี้ยน ไม่แน่ว่าเ้าอาจจะยังมีโอกาส” หลี่จิ้งพูด
หลัวเลี่ยลอบมองสีหน้าของหลี่จิ้งอีกครั้ง คำที่ว่าให้โอกาสในครั้งนี้ของหลี่จิ้งทำให้เขามองหลี่จิ้งเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง คนคนนี้ลู่ไปตามคนส่วนมาก และไม่เข้ากับความคิดของเขาอย่างแน่นอน
“ข้ายังคงยืนยันคำเดิม” หลัวเลี่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ข้าไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ข้าทำ!”