ค่ำคืนอันหนาวเหน็บที่ยาวนานค่อยๆผ่านไป หลังจากที่ข้าเข้าฌานไปถึงสองวันเต็ม จู่ๆท่ามกลางพลังที่กำลังสับสนวุ่นวายของเคล็ดวิชากระบี่ดินแดนหิมะก็เกิดแสงสว่างโชติ่เปล่งประกายออกมาซึ่งข้าได้พยายามไล่จับแสงนี้มาตลอดสองวันแล้ว และในที่สุดขณะ่เวลาหนึ่งแสงนี้ก็ได้แทรกซึมทะลุผ่านเข้ามาในพลังกระบี่จากนั้นก็ค่อยๆ เกาะกลุ่มรวมกันและผสมผสานเข้าสู่ร่างกายของข้าอย่างช้าๆ
สำเร็จแล้ว!
เมื่อข้าลืมตาขึ้นก็รู้สึกได้ว่าดวงตาทั้งสองข้างนั้นชัดเจนและใสแจ๋วมากข้าจึงยกฝ่ามือแล้วผายออกเบาๆ ทันใดนั้นก็เกิดเกล็ดน้ำแข็งฟุ้งกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้าและตกลงมาเกาะรวมกันที่กระบี่คมจันทราอย่างรวดเร็วแสดงว่าพลังจิตกับพลังกระบี่ได้ผสานรวมเข้าด้วยกันแล้วข้าจึงลุกพรวดขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังที่เพิ่งบรรลุเมื่อครู่ออกไปความหนาวเหน็บที่เย็นเยือกเข้ากระดูกได้ปะทุออกมาจากคมกระบี่อย่างรุนแรงและขณะที่ข้ากำลังโบกมันไปมานั้นก็เหมือนกับว่ามีแสงจากกระบี่ะเิออกมาคล้ายกับกลุ่มดวงดาวดวงเล็กๆ เกาะกลุ่มกัน“ตูม ตูม ตูม” พวกมันตกลงบนก้อนหินั์ที่อยู่ข้างๆ กระจัดกระจายเต็มไปหมด
ูเาถึงกับสั่นไหวเล็กน้อยและชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นก้อนหินั์ก็ถูกความหนาวเย็นแทรกซึมทะลุเข้าไปเป็โพรงลึกขนาดหลายนิ้วเลยทีเดียวซึ่งก้อนหินั์ที่ตั้งอยู่ทั่วทั้งบริเวณรอบๆในรัศมีสิบเมตรก็ล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยของการะเิแบบนี้แสดงว่าอานุภาพของเพลงกระบี่นี้จะทรงพลังยิ่งนัก!”
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆไปหนึ่งครั้งเพื่อระงับลมปราณภายในร่างกายที่กำลังพลุ่งพล่านชื่อของกระบวนท่านี้คือ ‘ปราณดุจดวงดาว’เป็กระบวนท่าที่สองของเคล็ดวิชากระบี่ดินแดนหิมะถึงแม้ว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียวจะไม่ดีเท่ากับกระบี่ผลึกน้ำแข็งทว่าเมื่อพลังิญญาได้ผสานเข้ากับกระบี่เล่มยาวแล้ว มันก็สามารถโจมตีและทำลายล้างให้เกิดความเสียหายขนาดใหญ่ได้หิมะได้ละลายกลายเป็แท่งน้ำแข็งอันแหลมคมเพียงแค่ปราณดุจดวงดาวระดับเริ่มต้นก็สามารถเจาะทะลุเข้าไปในส่วนลึกของชั้นหินได้แล้วนี่ถ้าข้าฝึกไปถึงระดับสูงและไต่ผ่านไปถึงระดับเซียนได้เกรงว่าก้อนหินั์ทั้งก้อนนี้คงถูกะเิจนแตกออกเป็เสี่ยงๆ แน่
ข้าเก็บความตื่นเต้นดีใจนี้ไว้จากนั้นก็กินเนื้อวัวโลกันตร์ไปหนึ่งชาม แล้วเข้าฌานฝึกพลังต่อทันทีที่จริงการฝึกฝนปราณดุจดวงดาวในระดับเริ่มต้นนั้นไม่มีอะไรยากเลยคนทั้งสำนักหมื่นิญญาต่างก็บรรลุกระบวนท่านี้ได้เยอะแยะ แต่ข้าก็ยังจำเป็ที่จะต้องฝึกให้ชำนาญเพราะมีเพียงการเข้าใจและเรียนรู้ทุกอย่างของท่านี้เท่านั้นจึงจะทำให้ข้าแสดงพลังที่แท้จริงของเคล็ดวิชากระบี่ดินแดนหิมะออกมาได้
และการเข้าฌานครั้งนี้ก็ใช้เวลาไปอีกสองวัน
นานจนกระทั่งจ้าวห้าวฝึกวิชาลมหายใจัไปถึงขั้นที่แปดได้แล้วส่วนซ้งเชวียนก็ฝึกวิชาลมหายใจัไปได้ถึงขั้นที่หกแล้วเหมือนกันและในที่สุดปราณดุจดวงดาวของข้าก็เข้าสู่ระดับสูงสักทีข้าชักดาบฟาดออกไปจนทะลุทะลวงผ่านป่าเข้าไปได้อย่างง่ายดายอานุภาพของมันสามารถเปลี่ยนพื้นที่เกือบสิบเมตรในป่าลึกให้กลายเป็ดินแดนแห่งความตายซึ่งเต็มไปด้วยหลุมทันที
ขณะที่ข้าฝึกกระบวนท่าที่สองได้ถึงระดับสูงจู่ๆ พลังของกระบี่ก็สับสนวุ่นวายจนเกิดเสียงดังก้องขึ้นมาซึ่งก็คือกลุ่มพลังที่สามของพลังกระบี่ที่กำลังพัฒนากระบวนท่าใหม่อยู่นั่นเอง
กระบวนท่าที่สาม‘หยุดน้ำแห่งเหมันต์’ เป็เพียงแค่ชื่อเรียกของมันเท่านั้นเพราะรูปร่างของมันยังไม่ปรากฏแน่ชัด ข้าเลยเข้าฌานเพื่อศึกษามันอีกครั้ง
...
เวลาเช้าตรู่ทีู่เาหลังสำนักหมื่นิญญานั้นดูอ้างว้างและเงียบสงัดมากใบเมเปิ้ลสีแดงต่างก็ร่วงหล่นลงเต็มเขาอีกครั้งทำให้บนพื้นเต็มไปด้วยใบเมเปิ้ลที่ทับซ้อนกันเป็ชั้นๆ อีกทั้งยังมีหมอกสลัวๆยามเช้าและเสียงนกดังเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วท่ามกลางผืนป่าที่กว้างใหญ่นี้ดูเงียบสงบเป็พิเศษทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะะโโลดเต้นขึ้นมา ถัดไปไม่ไกลนักซ้งเชวียนกับจ้าวห้าวก็กำลังจัดเตรียมทำอาหารอยู่เหมือนทุกวัน
และทันใดนั้นในที่สุดข้าก็ตื่นขึ้นจากการเข้าฌานอย่างช้าๆส่วนลึกภายในใจของข้าเยือกเย็นสุขุมขึ้นมากอีกทั้งการเข้าฌานครั้งนี้ยังทำให้ข้าพัฒนาขึ้นไปได้อีกเล็กน้อย
“พี่เชวียน เป็ยังไงบ้าง?” ซ้งเชวียนถามขึ้น
ข้าไม่ได้พูดอะไรออกไปทว่าภายในดวงตาทั้งสองข้างกลับพรั่งพรูไปด้วยความรู้สึกบางอย่างเมื่อข้าลุกขึ้นทั่วทั้งร่างก็มีไอความเย็นปะทุออกมาอย่างรุนแรง ‘ฟึบ ฟึบ ฟึบ’ราวกับว่ามีพลังกระบี่สามพลังพุ่งผ่านร่างของข้าออกมาอย่างไรอย่างนั้นซึ่งก็คือรูปแบบพลังของหยุดน้ำแห่งเหมันต์นั่นเอง ต่อมาข้าจึงถือกระบี่คมจักรภพไว้พร้อมกับะโขึ้นไปแล้วใช้หยุดน้ำแห่งเหมันต์ฟาดออกไปยังซากท่อนไม้ที่อยู่ไกลออกไปในป่าลึก
เกิดเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้าเข้มปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและทันทีที่ข้าฟาดกระบี่คมจันทราลงไป นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะไม่ใช่พลังแต่กลับกลายเป็กระบี่พุ่งออกมาติดต่อกันสามเล่มแล้วตัดฉับลงไปอย่างรวดเร็วแทน!
ฟึบฟึบ ฟึบ!
ต้นไม้แก่หักโค่นลงมาส่วนพุ่มไม้เตี้ยด้านล่างก็ถูกตัดจนเละเทะพลังของกระบี่ทั้งสามเล่มโหมกระหน่ำราวกับสายฟ้าผ่าจากนั้นคลื่นสีขาวที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งก็บินวนขึ้นมารอบๆพลังของกระบี่ทั้งสามเล่มพรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็วและพลังของกระบี่แต่ละเล่มแข็งแกร่งต่างกันไปด้วยเหตุนี้มันจึงทำลายล้างทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบแม้แต่พื้นยังมีร่องรอยจากกระบี่ทั้งสามเล่มยาวเกือบสิบเมตรโคลนที่อยู่บนพื้นราวกับระเหยกลายเป็ไอไปด้วยความเสียหายจากการโจมตีครั้งนี้นั้นทรงพลังมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก
“สมกับเป็เพลงกระบี่ที่ฝึกฝนมาถึงขั้นสูงจริงๆ ...”
จ้าวห้าวพูดด้วยสีหน้าซีดเผือด“ดูเหมือนว่าอานุภาพของเคล็ดวิชากระบี่ดินแดนหิมะจะมีมากกว่าเพลงกระบี่ลั่วเฉินของตระกูลลั่วที่ถ่ายทอดกันมาอีกนะสมกับที่เขาเรียกกันว่าเป็เพลงกระบี่ขั้นสูงจริงๆ เลย...”
ซ้งเชวียนหรี่ตามอง“เพลงกระบี่นี้ทั้งลื่นไหลและสมบูรณ์แบบมากนี่คงจะฝึกฝนมาถึงระดับเริ่มต้นแล้วสินะ พี่เชวียนนี่สุดยอดจริงๆ เลยใช้เวลาไม่ถึงสิบวันก็สามารถบรรลุเคล็ดวิชากระบี่ดินแดนหิมะติดต่อกันได้ถึงกระบวนท่าที่สามแล้ว!”
ข้าขมวดคิ้วพูดขึ้น“นี่มันช้าเกินไปแล้วต่างหากล่ะ อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้ขอลาหยุดมาหลายวันด้วยฉะนั้นเดี๋ยวตอนบ่ายก็เตรียมตัวกลับไปที่สำนักกันเถอะอย่ามัวแต่มาอยู่ที่หลังเขาเลยไม่เช่นนั้นฝ่ายปกครองคนเดิมก็จะมาสร้างความลำบากให้กับพวกเราทั้งสามอีกส่วนเคล็ดวิชากระบี่ดินแดนหิมะข้าค่อยกลับไปฝึกที่โรงเกลากระบี่ก็ได้ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบหรอกรอข้าฝึกฝนและทำความเข้าใจกับกระบวนท่าทั้งสามก่อนหน้านั้นให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
“อืม!”
...
การฝึกฝนกระบวนท่าที่หนึ่งได้ฝึกมาถึงระดับเซียนแล้วและกระบวนท่าที่สองก็ฝึกมาถึงระดับสูงแล้วเหมือนกัน ส่วนกระบวนท่าที่สามนั้นอย่างน้อยๆก็ฝึกมาถึงระดับเริ่มต้นแล้วซึ่งถือว่าการออกมาฝึกพลังด้านนอกครั้งนี้คุ้มค่าอยู่พอสมควร
พอถึง่บ่ายพวกเราก็เก็บของใส่กระเป๋ากลับสำนักหมื่นิญญา
การฝึกพลังสิบกว่าวันมานี้ทำให้พวกเราทั้งสามคนเละเทะราวกับไปเกลือกกลิ้งโคลนออกมาอย่างไรอย่างนั้นเสื้อผ้าทั้งหมดขาดรุ่ยนี่คงถึงเวลาที่ข้าต้องไปขอเครื่องแบบใหม่สักสองสามชุดจากสำนักแล้วล่ะดีนะที่สำนักหมื่นิญญาไม่หวงทรัพยากรทางด้านการฝึกฝนและอีกอย่างพวกเขาก็ให้ความสําคัญกับพวกศิษย์ที่มีฝีมือมากดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่พวกเรา้าเลย
เวลา่บ่ายอันสดใสใบของต้นเมเปิ้ลสีแดงเพลิงภายในสำนักต่างก็ร่วงหล่นเต็มไปหมดศิษย์หญิงชายสวมชุดเครื่องแบบเดินกันขวักไขว่ในสำนักอย่างไม่ขาดสายเพราะว่าวันนี้เป็วันหยุดเลยไม่มีเรียน ดังนั้นศิษย์ส่วนใหญ่จึงออกไปเดินซื้อของเช่น ของสำหรับฝึกพลัง เสื้อผ้า ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆมันมีของเยอะมากที่จำเป็ต้องจะออกไปซื้อและแน่นอนสำหรับพวกข้าทั้งสามคนนั้นเสื้อผ้านี่คงไม่จำเป็ต้องซื้อหรอกเพราะคนจนที่แท้จริงมักจะใส่แค่ชุดเครื่องแบบของสำนักแค่นั้นเองแหละส่วนของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ก็ซื้อแค่ของที่จำเป็เท่านั้นของที่ใช้ล้างหน้าอะไรจำพวกนั้นข้าคงไม่ต้องใช้หรอก
ความจริงเหตุผลสำคัญที่ข้ากลับมาที่สำนักก็คือโสมโลหิตไม่พอใช้แล้วนั่นเองเพราะการฝึกเคล็ดวิชากระบี่ดินแดนหิมะทำให้ข้าสูญเสียพลังไปมากกว่าที่คิดไว้และเนื้อวัวโลกันตร์ก็ช่วยได้แค่เพิ่มพลังความร้อนให้เท่านั้นไม่สามารถช่วยบำรุงร่างกายให้ดีเท่ากับโสมโลหิตได้ซึ่งโสมโลหิตที่ก่อนหน้านี้ข้าเอามาเป็กองก็ได้ถูกใช้ไปหมดแล้วบวกกับเอาให้ซ้งเชวียนกับจ้างห้าวกินอีกเล็กน้อยดังนั้นตอนนี้ในแหวนกระดูกจักรภพของข้าจึงไม่มีโสมโลหิตอยู่เลยแม้แต่ครึ่งอันเหลือเพียงแค่เนื้อสัตว์กับวัตถุดิบอื่นๆ เท่านั้นเอง
ถ้าเป็โสมโลหิตละก็สามารถหาซื้ออันที่มีคุณภาพสูงที่ร้านหอเจ็ดเทพได้เลยส่วนเื่เงินนั้น...ในบัตรของข้าเหลืออยู่แค่สามแสนกว่าเองซึ่งคงไม่พอซื้อโสมโลหิตกลับไปแน่ๆทว่าข้ายังมีวัตถุดิบอื่นที่เก็บออกมาจากหุบเขาลึกอยู่นิดหน่อยข้าเอามันเก็บไว้ในแหวนกระดูกจักรภพ เพราะฉะนั้นข้าก็สามารถเอามันไปขายได้บวกกับวัตถุดิบอีกเป็กองที่อยู่ในแหวนกระดูกจักรภพของหยู่เหวินชิงนี่ถ้าเอาทั้งหมดมาขายแลกเป็เงิน อย่างน้อยๆ คงได้ไม่ต่ำกว่าสองสามล้านนู่นแหละ?
ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมีเนื้อของวัวโลกันตร์ที่เป็สัตว์ิญญาระดับแปดอยู่อีกและเนื่องจากระดับของมันสูงเกินไป ข้าจึงไม่กล้ากินมันทั้งหมดเพราะกลัวว่าร่างกายอาจจะะเิตายเอาได้ ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของข้าตอนนี้อย่างน้อยก็คงต้องบำเพ็ญไปให้ถึงผู้พิทักษ์ระดับพิภพก่อนถึงจะสามารถหลอมพลังจินตานระดับแปดได้ตอนนี้ใช้ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกฉะนั้นข้าเอาไปแลกโสมโลหิตที่หยางเซี้ยนมาใช้ดีกว่า
พอกลับมาถึงโรงเกลากระบี่ข้าก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าออกไปที่ร้านหอเจ็ดเทพทันที!
่บ่ายของสุดสัปดาห์ตามท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินกันอย่างขวักไขว่
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังยืนคุยกันเื่วัตถุดิบและการฝึกพลังต่างๆอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าร้านหอเจ็ดเทพดูแล้วหนึ่งในนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาจากสามสำนักใหญ่ชั้นในและห้าสำนักใหญ่ชั้นนอก
ข้าเดินพุ่งตรงเข้าไปในร้านทันใดนั้นเ้าของร้านที่ยืนอยู่ด้านในก็เบิกตาโพลงด้วยความใจากนั้นก็รีบะโขึ้น “คุณหนูใหญ่คะ มีแขกคนสำคัญมาค่ะ!”
รูปร่างที่อ่อนช้อยสวยงามของหยางเซี้ยนปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งวันนี้นางสวมชุดที่เหมือนกับเครื่องแบบของพนักงานมีเสื้อคลุมสีม่วงอ่อนขนาดเล็กกะทัดรัดและชุดเดรสสีขาวที่ใส่ซ้อนไว้ข้างในเผยให้เห็นขาอันเรียวยาวทั้งสองข้าง พร้อมกับสวมรองเท้าหนังส้นสูงและมีตราผู้ดูแลระดับสูงของร้านหอเจ็ดเทพติดไว้บนหน้าอกอีกทั้งยังปล่อยผมยาวตรงสลวยมาถึงระดับอก นี่มันมีเสน่ห์และสวยงามมาก
“ปู้อี้เชวียน เ้ามาแล้วเหรอ!” นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดขึ้น“ครั้งนี้เ้าอยากได้อะไรล่ะ? หรือว่ามีของหายากมาขายให้ข้า?”
“ทั้งสอง”
ข้าพูดออกไป“พาข้าไปดูพวกยาสมุนไพรก่อน ข้าอยากจะได้โสมโลหิตสักกองหนึ่ง”
“ได้สิ ตามข้ามา ถ้าอย่างนั้นพวกเรา...ตรงไปยังด้านในชั้นที่สองเลยดีกว่า?”
“อืม”
...
ในห้องโถงใหญ่ชั้นที่สองเต็มไปด้วยผู้ฝึกฝนิญญาที่กำลังจับจ่ายซื้อของเต็มไปหมดทว่าภายในกลับเงียบสงบมากมีเพียงข้ากับหยางเซี้ยนและอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอีกสองคนที่ตามติดมาราวกับเงาอย่างลึกลับ
ทันทีที่หยางเซี้ยนเอื้อมมือไปเปิดไฟทั่วทั้งห้องก็สว่างจ้าขึ้นมาโดยพลัน
โสมโลหิตที่ยอดเยี่ยมทั้งหลายถูกจัดเรียงไว้ในภาชนะบรรจุตามสีสันและอายุของมันพร้อมกับมีป้ายบอกราคาติดไว้อย่างชัดเจน นางจึงยิ้มพูดขึ้น “เอาล่ะนี่คือสินค้าคุณภาพดีที่มาส่งไว้ล่าสุดของร้านเรา เ้าเลือกเอาเองเถอะ!”
“อืม”
ข้าเดินเข้าไปสำรวจดูไม่นึกเลยว่าจะมีโสมโลหิตอายุกว่าหนึ่งพันปีมากถึงยี่สิบกว่าอันแต่อันที่ดีที่สุดนั้นก็ยังคงเป็โสมโลหิตสามพันปีที่ยังขายไม่ออกตรงนั้นแต่ถึงอย่างไรราคาของมันก็สูงถึงสามร้อยล้านเลยทีเดียวและแน่นอนว่าคนธรรมดาคงซื้อไม่ได้หรอกนี่เป็ของล้ำค่าของเ้าสำนักฉือเสี้ยนที่ได้มาจากหุบเขาหลิงหยุนซึ่งคนปกติไม่อาจใช้มันได้ ครั้งที่แล้วที่ข้าเห็นมันตอนนั้นการบำเพ็ญของข้ายังไม่สมบูรณ์จึงไม่สามารถใช้ได้ทว่าครั้งนี้...ถ้าเป็โสมโลหิตสามพันปีนี่ละก็มันคงทำให้ข้าบรรลุวิชาลมหายใจัขั้นที่สิบเอ็ดไปได้แน่ๆหรือบางทีการบำเพ็ญของข้าก็อาจจะพุ่งไปถึงผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ขั้นต้นเลยก็เป็ได้นี่ถือเป็สิ่งสำคัญมาก!
ข้าคิดไปถึงการใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้าจึงมองตรงไปแล้วหยิบโสมโลหิตอันที่อายุหนึ่งพันสองร้อยปีออกมาสองอันหนึ่งพันห้าร้อยปีสามอัน รวมไปถึงหนึ่งพันปีอีกหกอัน และวางเรียงไว้ที่เคาน์เตอร์พลางถาม“ทั้งหมดนี่เท่าไร?”
หยางเซี้ยนตะลึงงันเบิกตามองใสแจ๋ว แล้วยิ้มพูดขึ้น “หนึ่งร้อยแปดสิบล้านเหรียญหลงหลิงแต่เดี๋ยวข้าลดให้สี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะเ้าเป็ลูกค้าคนสำคัญถ้าอย่างนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็หนึ่งร้อยแปดล้านเหรียญหลงหลิงแล้วกัน”
“ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เถอะ” ข้าขมวดคิ้วพูดขึ้น “สี่สิบเปอร์เซ็นต์สูงไปแล้วเ้าก็รู้ว่าข้าจนนี่”
หยางเซี้ยนได้แต่หัวเราะคิกคัก“ก็ได้ๆ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
“รวมโสมโลหิตสามพันปีนั่นด้วยแล้วกัน”ข้าหยิบโสมโลหิตสามพันปีที่ดูอวบอิ่มขึ้นมาอย่างสบายใจแล้วพูดออกไป
“ฮะ?”
หยางเซี้ยนร้องด้วยความใ“อัน...อันนี้คงขายให้เ้าไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“มันถูกจองไว้แล้ว และเขายังจ่ายค่ามัดจำไว้ตั้งห้าล้านแน่ะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะมีคนมารับไป...ถ้าข้าขายให้เ้าละก็เ้าต้องจ่ายชดเชยค่ามัดจำถึงสามเท่าเลยนะ!”
“หืม? ใครมาจองไว้กัน เงินตั้งมากมายขนาดนั้น...”
“อันนี้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ช่างเถอะ”ข้ายังโยนโสมโลหิตสามพันปีเข้าไปในแหวนกระดูกจักรภพเหมือนเดิมแล้วพูดขึ้น“ถึงอย่างไรสูงสุดข้าก็จ่ายค่าชดเชยให้เ้าได้แค่สิบห้าล้านเองถือซะว่าเงินก้อนนี้ข้าให้เ้าแล้วกัน ฉะนั้นโสมโลหิตนี้ข้าเอานะทั้งหมดราคาสามร้อยล้าน ลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์เหลือ หนึ่งร้อยแปดสิบล้านบวกกับค่าชดเชยเป็หนึ่งร้อยเก้าสิบห้าล้าน แล้วบวกก่อนหน้านี้อีกเก้าสิบล้านรวมทั้งหมดเป็สองร้อยแปดสิบห้าล้าน”
หยางเซี้ยนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าข้าแล้วยกมือขึ้นลูบคางเบาๆดวงตาทั้งสองข้างราวกับมองออกทั้งหมดแล้ว นางจึงอมยิ้มและพูดขึ้น“ดูเหมือนว่าครั้งนี้เ้าจะมีของดีมาอีกแล้วสินะ?”
“ใช่”
นางยื่นมือมาคล้องคอข้าไว้ราวกับเป็คู่รักที่สนิทสนมกันจากนั้นก็พูดขึ้น “ไปเถอะ พวกเราไปดูที่เก็บสินค้ากันดูสิว่ารอบนี้ปู้อี้เชวียนจะเอาของดีอะไรมาให้อีก! อืมใช่ครั้งที่แล้วที่เ้าเอาซากัคะนองน้ำมาให้พวกมันขายออกได้หมดเลยอีกทั้งยังทำเงินให้ร้านหอเจ็ดเทพได้อย่างมหาศาลท่านพ่อถึงกับชมข้าเลยทีเดียวเชียว!
“อย่างนั้นเ้าต้องเลี้ยงข้าวข้าแล้วนะเนี่ย!”
“ได้ แต่เ้าต้องอยู่ที่นี่รอจนข้าเลิกงานก่อนนะ?”
“แหะๆ ข้าล้อเล่น...ปะ ไปดูที่เก็บสินค้ากัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้