เชี่ยนเอ๋อร์ที่เพิ่งกลับมาถึงเรือนด้วยสีหน้าไม่ดีบังเอิญได้กลิ่นหอมลอยมาแต่ไกล นางตื่นเต้นอย่างที่ไม่แม้แต่จะคิดก็วิ่งเข้าไปในห้องครัวทันที ส่วนเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้เ่าั้ก็ราวกับหลงลืมไปเสียสนิท
อวิ๋นซีเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ให้คนไปตามจวินเหยียนมา มิคาดนางที่เพิ่งจะหมุนกายเตรียมออกจากห้องครัวกลับเห็นเชี่ยนเอ๋อร์วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาพอดี เด็กสาวเข้ามากอดอวิ๋นซีไว้ นางพูด “พี่สะใภ้ ท่านช่างดีต่อข้าเหลือเกิน ถึงกับเตรียมอาหารหอมฉุยเหล่านี้ไว้มากมายในยามที่ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี ข้าชอบท่านมากจริงๆ ”
อวิ๋นซีเหงื่อตก อันที่จริงเหมือนนางจะไม่ได้รู้นะว่า วันนี้คนอารมณ์ไม่ดี และการที่นางเตรียมของกินเหล่านี้ไว้ก็เพียงเพราะจะกละที่บ้านอยากกิน แต่เมื่อต้องเห็นท่าทางน่าสงสารของเด็กสาว นางก็ไม่สามารถทำใจไล่คนออกไปได้ นางจูงมือเชี่ยนเอ๋อร์ไว้และเดินไปยังห้องหลักที่ตนพักอยู่ “เหตุใดเ้าถึงไม่มีความสุขเล่า? ”
เชี่ยนเอ๋อร์เบะปากพูดว่า “พี่สะใภ้ ญาติผู้พี่รองจะให้หลานซินย้ายออกไป”
อวิ๋นซีได้ยินเช่นนั้นก็มองเชี่ยนเอ๋อร์ด้วยสายตาประหลาดใจ นางรู้ว่าเขาจะลงมือ แต่ยังไม่รู้ว่าเขาจะจัดการด้วยวิธีใด “เพราะเหตุใดกัน? ”
เชี่ยนเอ๋อร์ก้มหน้าลง สีหน้าแดงก่ำ กัดริมฝีปากอยู่เป็นานก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ถึงแม้ตัวนางเองจะโกรธมากด้วยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลานซินถึงต้องทำเช่นนั้น และแม้คนจะอธิบายให้นางฟังแล้วว่ามีผู้อื่นวางแผนทำร้ายตน ทว่าคนที่อีกฝ่ายกล่าวถึงว่าเป็คนร้ายกลับเป็พี่สะใภ้รองของนางนี่สิ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ อีกทั้ง ในใจยังอดไม่ได้ให้รู้สึกโมโหอีกด้วย
ถึงกระนั้นนางก็พอจะรู้ พี่สะใภ้รองเองก็ไม่ชอบหลินหลานซินอยู่บ้างจริงๆ แต่เื่เหล่านี้นางเคยไปสืบมาแล้ว จึงรู้มาว่า แท้จริงแล้วบิดาของพี่สะใภ้รองก็คือท่านน้าของหลานซิน และเพราะมารดาของหลานซินไม่ชอบใจบิดาของพี่สะใภ้รอง ทำให้พี่สะใภ้รองพาลพาให้ไม่ชอบหลานซินไปด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับใจนาง ต่อให้พี่สะใภ้รองจะไม่ชอบหลานซินเพียงใด คนก็ไม่มีทางทำเื่ที่เป็การทำลายความบริสุทธิ์ของผู้อื่นเช่นนั้นออกมาได้แน่
หากว่าพี่สะใภ้เป็คนที่มีอุบายซับซ้อนจริง ครั้งแรกที่ได้พบกันเป็การส่วนตัว อีกฝ่ายคงไม่มีทางบอกกับนางตรงๆ ว่า ของที่พี่สะใภ้ทำจะให้แค่คนที่ตนมองแล้วพอใจกินเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือห้ามกิน ไม่ว่าอย่างไรเชี่ยนเอ๋อร์ก็เคยมีโอกาสได้เจอกับเหล่าคนหน้าเนื้อใจเสือมาบ้าง ในที่ลับและในที่แจ้งล้วนพูดอย่างทำอย่าง แตกต่างจากพี่สะใภ้รองที่เป็คนเปิดเผยและจริงใจ
อวิ๋นซีเห็นว่าเด็กสาวจมเข้าสู่ห้วงความคิด นางก็ได้แต่ยิ้มบางๆ พูดขึ้น “ถ้าไม่สะดวกจะพูด ก็ช่างเถอะ”
เชี่ยนเอ๋อร์รีบส่ายศีรษะ ตอบ “เปล่าเ้าค่ะ ไม่ได้ไม่สะดวก เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหน อีกอย่าง เื่นี้ ต่อให้ข้าไม่พูด อีกไม่นานพี่สะใภ้ก็น่าจะได้รู้แล้ว”
“นี่ข้าพลาดเื่อะไรไปงั้นหรือ? ” อวิ๋นซีอมยิ้มถามต่อ “หากมีละครสนุกให้ชม รู้อย่างนี้วันนี้ไม่ออกไปเด็ดสมุนไพรแล้ว”
เชี่ยนเอ๋อร์พูด “ถ้ารู้ก่อนหน้าว่า วันนี้พี่สะใภ้ไปเด็ดสมุนไพร ข้าก็คงตามไปแล้ว” พูดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกว่าตนไม่ควรเก็บเงียบ ไม่พูดต่อไป อย่างไรเสียเื่นี้ก็มีคนรู้อยู่ไม่น้อย “วันนี้แม่นางทั้งหลายต่างก็พูดกันว่า ลานล่าสัตว์ที่อยู่ทางฝั่งเขาตะวันตกมีดอกไม้ป่าเบ่งบานมากมาย พวกเราสิบกว่าคนจึงพากันเดินขึ้นเขาไปทางป่าตะวันตกนั้น เหตุที่ข้าไปก็เพราะอยากจะนำเด็ดดอกไม้ป่ากลับมาฝากพี่สะใภ้รองและหวานหว่านเช่นกัน ทว่าระหว่างนั้น จู่ๆ หลานซินกับสาวใช้ก็หายตัวไป ข้าไม่รู้หรอกว่านางไปที่ใด แต่หลังจากที่ข้ากับสาวใช้เด็ดดอกไม้ป่ากลับมาได้มากมายก็บังเอิญได้ยินคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เื่บางอย่างอยู่ ถึงได้เร่งร้อนตามไปดู และได้รู้ว่า แท้ที่จริงหลานซินเข้าไปกระทำเื่แนบชิดกับรองเ้ากรมอาญาชิวเสียงในป่าทึบ ตอนที่ถูกคนพบตัว เสื้อผ้าของพวกเขา...ยังไม่เรียบร้อยเลย”
อวิ๋นซีตกตะลึงเป็อย่างมาก “ถึงกับเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ไม่ใช่ว่ารองเ้ากรมอาญาชิวผู้นั้นไม่ได้ติดตามฝ่าาไปล่าสัตว์ด้วยหรอกหรือ? ”
“ข้าเองก็ได้ยินมาว่ารองเ้ากรมอาญาชิวต้องลมเย็นจนล้มป่วยจึงมิได้ไป แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด คนทั้งสองถึงได้กระทำเื่เช่นนั้นยามกลางวันแสกๆ ถึงกระนั้นเื่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ หลินหลานซินบอกข้าว่า เป็พี่สะใภ้รองที่ใส่ร้ายนาง” พูดถึงประโยคสุดท้าย เชี่ยนเอ๋อร์ก็โกรธจนหน้าแดง
จู่ๆ อวิ๋นซีก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็ตบมือเชี่ยนเอ๋อร์เบาๆ อย่างปลอบใจ นางพูดขึ้น “หากทำดีก็ไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวคำติฉินนินทา ข้า อวิ๋นซีไม่มีเื่ใดให้ต้องละอายใจ นางอยากจะพูดอย่างไรก็ปล่อยให้พูดไปเถิด ส่วนเ้า ไม่ต้องโกรธเพียงนั้นหรอก มันไม่คุ้ม”
เชี่ยนเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นซีจะใจกว้างมากเพียงนี้ หลังจากผ่านเื่เมื่อคืนมา สำหรับในใจนาง นอกจากอวิ๋นซีจะมีหน้าตางดงามแล้ว คนยังทำอาหารอร่อยอีก แค่สองเื่นี้ก็นับว่าดีเลิศมากแล้ว ทว่า เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เชี่ยนเอ๋อร์ก็ยิ่งให้ความเคารพในตัวอวิ๋นซีมากขึ้น นางรู้สึกได้ว่า พี่สะใภ้ช่างมีเมตตา ไม่วางอำนาจ และอาจเรียกได้ว่า เป็หนึ่งในบรรดาพี่สะใภ้ทั้งหลายที่เข้าหาด้วยได้ง่ายที่สุด
ขณะเดียวกันอวิ๋นซีไม่ได้รู้เลยว่า เป็เพราะประโยคเมื่อครู่ของนางที่ทำให้ความรู้สึกดีๆ ในใจเชี่ยนเอ๋อร์ที่มีต่อนางถึงกับพุ่งสูงขึ้นในทันที
นางลากเชี่ยนเอ๋อร์ที่ถูกคำพูดของนางทำให้คลายอารมณ์โกรธลงได้เข้าไปในห้อง และเป็ตอนนี้เองที่หวานหว่านเห็นเชี่ยนเอ๋อร์มา เด็กตัวจ้อยยิ้ม ะโเรียก “เชี่ยนเอ๋อร์กูกู[1] ”
อวิ๋นซีขมวดคิ้ว “ควรจะเรียกว่าเปี่ยวกู [2] ”
“ไม่เอาหรอก ข้าให้หว่านหวานเรียกข้าว่ากูกูเอง เพราะเรียกเช่นนี้แล้ว ฟังดูสนิทชิดเชื้อกันมากกว่า หากเรียกว่าเปี่ยวกู ฟังดูแล้วห่างเหินอย่างไรชอบกล” เชี่ยนเอ๋อร์อุ้มหวานหว่าน ยิ้มอย่างซื่อๆ
อวิ๋นเซ่าหลันที่อยู่ในห้องนี้เช่นกันก็ยิ้มแย้มเห็นด้วย “จริงๆ แล้วกูกูและเปี่ยวกูก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย ท่านไม่ต้องจริงจังถึงเพียงนั้น”
อวิ๋นซีได้แต่ยิ้มปลงๆ “ดูสิกลายเป็ข้าที่เป็คนร้ายเสียได้ ช่างเถิด ก็แค่คำเรียกเท่านั้น ข้าจะจริงจังอันใดเล่า เหตุใดดูแล้วเหมือนยิ่งอยู่ยิ่งถอยหลังนะข้านี่”
ทุกคนได้ยินก็หัวเราะออกมา
ทว่า ในตอนที่ทุกคนกำลังยิ้มหัวร่อกันอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าของคนหลายคนดังลอดเข้ามา อวิ๋นซีไม่รอช้ารีบออกไปต้อนรับ แต่เมื่อเห็นคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา นางก็ถึงกับอึ้งไป นี่มันเกิดเื่อันใดขึ้น เหตุใดจึงมีคนมาที่นี่มากมายเพียงนี้
เสี้ยวเหวินตี้เดินนำอยู่หน้าสุด โดยมีจวินเหยียนและโอวหยางเทียนหลานตามอยู่เื้ั และที่ตามมาด้วยกันนั้นยังมีอวี้เฟยและอวิ๋นไห่
มุมปากนางกระตุกขึ้นลง ในใจขบคิดว่าของกินที่ตนเตรียมไว้เ่าั้จะกินพอจริงๆ น่ะหรือ?
ทุกคนในห้องรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอวิ๋นซีจึงพากันเดินออกมา ก่อนจะหยุดมองบุคคลเบื้องหน้าจนโง่งมไปเช่นกัน และเป็หวานหว่านผู้เดียวที่ยิ้ม ก้าวไปด้านหน้าแล้วจับจูงมือของเสี้ยวเหวินตี้ไว้ นางพูดกับผู้าุโ “เสด็จปู่เพคะ เสด็จแม่ของหลานเตรียมของกินไว้มากมายเลยเพคะ”
คำพูดของลูกช่วยเรียกสติของอวิ๋นซี นางและคนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็พากันขึ้นหน้าไปถวายบังคม
เมื่อเห็นอวิ๋นซีดึงสติกลับมาได้ จวินเหยียนก็ทำได้แค่ยิ้มอย่างปลงๆ ไปทางภรรยา อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่อยากจะให้คนเหล่านี้มารบกวนการร่วมโต๊ะของครอบครัวเขา แต่ตอนที่หมัวมัวไปเชิญ เ้าอวิ๋นไห่นั่นบังเอิญมาได้ยินเข้า คนโหวกเหวกขึ้น ทำให้เ้าสี่ที่ได้ยินบอกว่าจะตามมาด้วย และเมื่อเ้าปากมากเช่นเ้าสี่รู้แล้ว กระทั่งเสด็จพ่อก็ทรงทราบ
สุดท้าย คนเหล่านี้ก็เลยมาที่นี่พร้อมกันกับเขา จวินเหยียนได้แต่ถอนใจเบาๆ ในใจ ก่อนจะสั่งให้ทางห้องครัวใหญ่ส่งข้าวสวยมาเพิ่ม เพราะเขาทำใจให้ภรรยาตนต้องกลายเป็ผ่อจื่อช่วยหุงข้าวให้คนมากเพียงนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรของที่นางทำต้องให้เพียงตัวเขาและลูกได้กินเท่านั้น แต่ก็แน่นอนว่า สำหรับท่านพ่อตาและท่านแม่ยาย เขาไม่อาจทำอะไรได้
อวิ๋นซีต้อนรับคนเข้าไป นางรู้ว่า อาหารที่เตรียมไว้ต้องไม่พอเป็แน่ จึงนำสาวใช้และผ่อจื่อเข้าไปในครัว เพื่อผัดเนื้อมาเพิ่มอีกสักสองสามจาน รอกระทั่งนางยกกับข้าวออกมาสองจาน จวินเหยียนก็จับมืออวิ๋นซีไว้แล้วกล่าวว่า “เพ่ยเอ๋อร์เองก็ติดตามเ้ามาหลายปีแล้ว รสมือของเ้า นางย่อมเรียนรู้ไปหลายส่วน ที่เหลือก็ให้เพ่ยเอ๋อร์เป็คนทำเถิด อีกประการ ฝีมือทำอาหารของเกาหมัวมัวเองก็ไม่เลวเหมือนกัน ส่วนเ้าน่ะ นั่งลงกินเถอะ”
อวิ๋นซีพยักหน้ารับ อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่นางเป็ผู้หญิง แน่นอนว่าไม่อาจนั่งร่วมโต๊ะกินอาหารไปพร้อมกับเสี้ยวเหวินตี้และจวินเหยียนได้ นางจึงไปนั่งรวมอยู่กับหวานหว่าน อวิ๋นเซ่าหลัน และเชี่ยนเอ๋อร์
เมื่อกินอิ่มหนำแล้ว ก่อนจะจากไปเสี้ยวเหวินตี้ก็หันมาพูดกับอวิ๋นซี “กระต่ายหม่าล่ากับผัดหมูป่าที่อวิ๋นซีทำ รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ประเดี๋ยวพรุ่งนี้เจิ้นจะให้คนไปล่าหมูป่ากับกระต่ายป่ามาสักสองตัว เ้าก็ทำอาหารสองอย่างนี้ส่งไปให้เจิ้นสักชุดหนึ่ง”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] กูกู(姑姑)แปลว่า อาหญิง (น้องสาวของพ่อ)
[2] เปี่ยวกู(表姑)แปลว่า อาหญิงเช่นกัน แต่จะหมายถึงญาติผู้น้องหญิงของพ่อ