โรงงานสิ่งทอนี้เป็โรงงานลำดับที่ห้าแห่งกรุงปักกิ่ง ถือเป็โรงงานขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจักรสิ่งทอมากกว่าหนึ่งพันเครื่อง พื้นที่โรงงานไกลสุดลูกหูลูกตา ทางเข้าเป็ถนนเส้นใหญ่สายหนึ่งที่มีต้นไม้ตั้งอยู่เรียงราย ข้างๆ ทางเข้าโรงงานมีตัวอาคารตั้งตระหง่านอยู่
เวลานี้เป็เวลาเข้างานพอดี คนงานหญิงจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันอยู่ที่ปากประตูทางเข้า พวกเขาเดินเข้าโรงงานมาก็คุยกันไปพลางหัวเราะกันไปพลาง ซย่านีไม่รู้จักใครในโรงงานทอผ้าสักคน ด้วยเหตุนี้เธอจึงคิดที่จะหาวิธีเข้าประตูนี้ให้ได้ก่อน แล้วที่เหลือค่อยว่ากัน ยังไม่ทันที่ซย่านีจะได้ก้าวผ่านประตูเข้าไป เธอก็ถูกคุณลุงที่เป็คนเฝ้าประตูขวางหน้าเอาไว้ ตั้งท่าั้แ่หน้าป้อมยามแล้ว
“เฮ้ ผู้หญิงคนนั้นน่ะ เธอกำลังแอบเข้ามาในโรงงานของพวกเรางั้นสินะ?” คุณลุงที่เป็คนเฝ้าประตูเอ่ยราวกับมีตาเหยี่ยว แค่พริบตาเดียวเขาก็แยกออกทันทีว่าซย่านีเป็คนนอก
ซย่านีหัวเราะแห้งๆ อยู่สองที
คุณลุงคนเฝ้าประตูครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา “เธอมาหางานงั้นหรือ? ่นี้โรงงานของพวกเราไม่ได้รับคนแล้ว เธอไปซะเถอะ ลองไปหาที่อื่นดูแล้วกัน”
ซย่านีส่ายหน้า แล้วพูดว่า “คุณลุง ฉันไม่ได้มาหางานค่ะ”
คุณลุงพูดอย่างกระตือรือร้น “แล้วเธอมาหาใครหรือ? มาหาใครกัน? บอกฉันสิ ฉันจะใช้โทรโข่งะโตามหาคนให้เธอเอง” หลังจากพูดจบ เขาก็เป่าใบชาในถ้วยน้ำชาของตน ก่อนจะค่อยๆ จิบชาร้อนเข้าปาก
ซย่านีรีบพูดขึ้น “ฉันไม่ได้มาหาใครที่นี่หรอกค่ะ... ฉันมาที่นี่เพราะอยากจะหาซื้อเศษผ้าเฉยๆ”
คุณลุงคนเฝ้าประตูส่งเสียงร้องดังอุ้ย คาดว่านี่คงเป็ครั้งแรกที่มีคนมาซื้อผ้าที่โรงงานโดยตรง เขาพูดขึ้นว่า “ถ้าจะซื้อผ้า ก็ต้องไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้าโน้น คุณมาผิดที่แล้ว! ที่นี่เป็โรงงานทอผ้านะ พวกผ้าที่โรงงานของเราทอขึ้นตอนนี้ถูกส่งตรงไปถึงห้างสรรพสินค้าแล้ว นู่นเลย ทางออกอยู่ตรงโน้น”
ซย่านีหัวเราะอย่างเขินอาย “คุณลุง ฉันรู้ว่าหากจะซื้อผ้าก็ต้องไปที่ห้างสรรพสินค้า แต่ผ้าในห้างสรรพสินค้ามันแพงเกินไป แถมฉันก็ไม่มีตั๋วซื้อผ้าอีก ฉันมาจากชนบทค่ะ เพราะแบบนี้ฉันถึงอยากมาที่โรงงาน เพื่อดูว่ามีพวกเศษผ้าเสียที่ย้อมผิดหรือเศษผ้าที่ทอผิดบ้างไหม”
คุณลุงคนเฝ้าประตูกล่าวว่า “เศษผ้าย้อมเสียน่ะมีแน่ แต่ผ้าชนิดนี้ก็ขาดตลาดที่โรงงานเหมือนกัน โรงงานของเรามีคนงานผู้หญิงเป็จำนวนมาก แค่พวกเธอก็แบ่งกันไม่พอแล้ว”
ซย่านีเป็คนที่เคยผ่านชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอย่อมต้องรู้เื่นี้ดี แต่สิ่งที่เธอ้าคือเศษผ้าที่เป็ชิ้นเล็กๆ ชนิดที่ว่าเอาไปทำเสื้อผ้าต่อไม่ได้ ปกติคนงานหญิงในโรงงานล้วนแล้วแต่ไม่สนใจเศษผ้าพวกนี้ เธอยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกคุณลุงคนเฝ้าประตูขัดจังหวะเสียก่อน
“ถ้าเธอ้าผ้าแบบนั้นจริงๆ ก็หาคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในโรงงานสักคนสิ แล้วให้คนๆ นั้นช่วยเก็บไว้ให้เธอ ไม่แน่ว่าอาจจะพอซื้อมันได้” คุณลุงคนเฝ้าประตูโรงงานเห็นว่าซย่านีมีท่าทางลำบากใจจึงเอ่ยแนะนำอย่างใจดี
ซย่านียังคงไม่ยอมแพ้ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอเข้าไปดูข้างในหน่อยได้ไหมคะ?”
คุณลุงคนเฝ้าประตูตอบกลับทันควัน “ไม่ได้หรอก ฉันปล่อยให้คนนอกเข้ามาตามใจชอบไม่ได้”
ซย่านีมองเข้าไปในโรงงานอย่างเศร้าโศก เธอรู้ว่าสิ่งที่ลุงคนเฝ้าประตูพูดมานั้นมีเหตุผล แต่คนรู้จักที่ทำงานที่นี่ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ มันเกี่ยวข้องกับความลับทางธุรกิจด้วย เธอต้องหาคนที่ไม่ปากโป้งและเป็คนดี
ระหว่างทางกลับบ้าน ซย่านีก็เอาแต่ครุ่นคิดเื่นี้ตลอดทาง เธอพยายามคัดเลือกคนที่ตนเองพอจะรู้จัก
ขณะที่กำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็ถูกสตรีผู้หนึ่งเดินชนเข้าอย่างจัง
ผู้หญิงคนนั้นพูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมา “ฉันขอโทษๆ ฉันกำลังรีบไปทำงานน่ะ”
ซย่านีระมัดระวังตัวเองมาก ใน่ต้นทศวรรษ 1980 มีคนหนุ่มสาวที่ว่างงานรวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวงนับไม่ถ้วน การรักษาความปลอดภัยก็ไม่ค่อยดีนัก พอเกิดเื่ขึ้น เธอจึงแตะดูเงินในกระเป๋าของตัวเองก่อนอันดับแรก ครั้นแน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่หัวขโมย เธอค่อยโบกมือแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เป็ไร”
รอจนผู้หญิงนั้นเดินจากไป ซย่านีก็เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอเหลือบไปเห็นป้ายอันหนึ่งเข้า ้าป้ายนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่สามคำว่า ‘ร้านตัดเสื้อ’
ั์ตาของซย่านีเปล่งประกายขึ้น เธอรีบเดินตามไปทันที
ช่างตัดเสื้อประจำร้านกำลังทำงานอยู่ เท้าของเขากำลังถีบจักร ส่วนมือของเขากำลังเย็บผ้าอย่างเอาจริงเอาจริง จนไม่ทันสังเกตว่าซย่านีได้เข้ามาในร้านแล้ว
ซย่านีมองไปพลางครุ่นคิด สี่สิบปีต่อมานั้น บนท้องถนนไม่มีร้านตัดเสื้อเช่นนี้แพร่หลายตามที่ต่างๆ อีกแล้ว คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป ดังนั้นการตัดเย็บเสื้อผ้าเฉพาะตัวเหล่านี้จึงกลายเป็อภิสิทธิ์เฉพาะของกลุ่มคนรวย
ภายในร้านตัดเสื้อไม่ได้มีอะไรที่แปลกตานัก ที่นี่เต็มไปด้วยผ้าจำนวนมากที่มีลวดลายและวัสดุหลากหลายชนิด แม้แต่ตรงจุดที่ช่างตัดเสื้ออยู่นั้นก็ยังมีเศษผ้ากองอยู่บนพื้น
“สวัสดีสหาย อยากตัดเสื้อผ้างั้นหรือ?”
เด็กหญิงคนหนึ่งแหวกม่านที่อยู่ด้านในสุดของห้องเดินออกมา
เธอมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้า ผมเปียสองข้างทิ้งตัวคลอเคลียอยู่บนหัวไหล่ บนร่างสวมเสื้อคลุมถักสีเหลืองตัวหนึ่ง แม้ว่าผ้าบุนวมด้านในจะดูหนาเล็กน้อย ทว่าสีสันที่สดใสเช่นนี้ก็ยังดูสะดุดตามากในยุคที่ใครๆ ก็ใส่เสื้อผ้าสีหม่นกัน
“ฉันไม่ได้มาตัดเสื้อผ้าค่ะ” ซย่านีกล่าวตอบ “ฉันแค่อยากจะมาขอซื้อเศษผ้าสักหน่อย”
เด็กหญิงพลันประหลาดใจเล็กน้อย “เศษผ้างั้นหรือ?” ก่อนที่เธอจะมีปฏิกิริยาตอบกลับอีกฝ่าย หากสหายหญิงผู้นี้้าจะซื้อเศษผ้าจริง เช่นนั้นเธอก็มาถูกที่แล้ว ภายในร้านมีของอย่างอื่นไม่มากนัก แต่หากเป็เศษผ้าล่ะก็กลับมีกองเท่าูเาเลยล่ะ
ปกติแล้วลูกค้ามักจะซื้อผ้ามาเอง แล้วนำมาให้ที่ร้านตัด หลังจากนำผ้าไปตัดชุดแล้ว เศษผ้าของชุดนั้นๆ จะถูกทิ้งไว้ที่ร้าน ไม่ได้ส่งกลับคืนให้ลูกค้า
แต่อย่างไรเสีย ผ้าที่เหลือจากการตัดชุดนั้นก็มีขนาดเล็กมาก เด็กหญิงลองคิดดูก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเศษผ้าพวกนี้จะเอาไปใช้ทำอะไรได้
ซย่านีกล่าวอย่างเหนียมอาย “ฉันมาจากชนบทเลยไม่มีตั๋วซื้อผ้า เพราะงั้นฉันเลยอยากจะขอซื้อเศษผ้าจากร้านของคุณหน่อยค่ะ ฉันคิดว่าจะเอาเศษผ้าพวกนั้นไปเย็บติดกันสักหน่อย ก็น่าจะยังพอใช้งานได้อยู่”
เด็กหญิงเหลือบตามองการแต่งตัวของซย่านี เธอมองออกได้ทันทีเลยว่าภูมิหลังครอบครัวของอีกฝ่ายน่าจะไม่ค่อยดีนัก เพียงแต่ว่า... ท้ายที่สุดแล้วเด็กหญิงก็เอ่ยขึ้น “เศษผ้านั่นน่าจะเล็กเกินไปหน่อยนะคะ คุณจะเย็บผ้าพวกนั้นขึ้นมาได้ยังไง แต่ถึงจะเย็บขึ้นมาได้จริงๆ มันคงดูไม่สวยหรอกมั้ง?”
ซย่านีกล่าว “คนบ้านนอกที่ไหนจะมานั่งสนใจว่ามันสวยหรือไม่สวยกันล่ะคะ?”
เด็กหญิงยังอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ช่างตัดเสื้อที่กำลังทำเสื้อผ้าอยู่เมื่อครู่นี้กลับเดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน เขาเอ่ยขึ้น “เสี่ยวหลิง พาสหายหญิงผู้นี้ไปเลือกดูเศษผ้าด้านในเถอะ”
เด็กผู้หญิงตรงหน้ามีชื่อว่าเสี่ยวหลิง เธอส่งเสียง ‘อืม’ จากนั้นก็หันไปพูดกับซย่านีว่า “ตามฉันมานะ เศษผ้าพวกนี้อยู่ด้านหลังร้าน”
ซย่านีเดินตามเด็กหญิงไปยังด้านหลังร้านตัดเสื้อ เธอเพิ่งพบว่าร้านตัดเสื้อที่ดูเล็กๆ แห่งนี้ยังมีอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่ด้วย ลานด้านหลังร้านมีขนาดกว้างมาก และที่นี่ยังเป็บ้านชุดแบบเรือนสี่ประสานอีกด้วย
เสี่ยวหลิงเดินไปพลางพูดไปพลาง “ตระกูลของพวกเราสืบทอดศิลปหัตถกรรมกันมาจากรุ่นสู่รุ่น บ้านพวกเราทำเสื้อผ้าขายกันมานับั้แ่รุ่นปู่ของปู่ของฉันแล้วค่ะ บ้านหลังนี้ถูกเก็บรักษาสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่หลังจากการปฏิรูปประเทศ ร้านของพวกเราก็ได้รับการสนับสนุนให้กลายเป็รัฐวิสาหกิจ...ทางนี้เลยค่ะ”
“ส่วนพ่อของฉันก็กลายเป็ผู้จัดการของร้านนี้ ในยามปกติก็คือปรมาจารย์ประจำร้าน แถมยังมีลูกศิษย์เยอะแยะเลยนะคะ ถ้าคุณคิดจะมาซื้อเศษผ้าล่ะก็ มาซื้อที่ร้านของฉันก็นับว่ามาถูกที่แล้ว พ่อของฉันค่อนข้างเป็คนตระหนี่นิดหน่อย พวกวัสดุที่เหลือใช้ส่วนใหญ่ไม่อาจตัดใจทิ้งมันได้ลง แต่ผ้าพวกนั้น มันเอาไปใช้ต่อไม่ได้แล้ว เพราะงั้นเลยกองเศษผ้าทั้งหมดเอาไว้ในบ้าน จนกินพื้นที่ไปเกือบหมด” เสี่ยวหลิงเปิดโกดังเก็บของให้ซย่านีดู ด้านซ้ายของคลังสินค้ามีกองผ้าวางอยู่ ส่วนด้านขวาของห้องก็มีกองผ้าเล็กๆ วางไว้เช่นกัน
ใน่สิบปีที่ผ่านมา เครื่องแบบสีเขียวของกองทัพกำลังเป็ที่นิยม สิ่งที่นิยมที่สุดในร้านตัดเสื้อก็คือผ้าสีนี้ ยังดีที่ร้านตัดเสื้อแห่งนี้เปิดกิจการมาเป็เวลานานแล้ว เธอเข้าไปด้านในแล้วลองพลิกดูก็พบว่ามีเศษผ้าสีสันสดใสอยู่มากมาย
ซย่านีดวงตาเป็ประกายขึ้นอีกครั้ง
เสี่ยวหลิงเห็นซย่านีจ้องมองผ้าสีสวยสดใสเ่าั้จึงพูดอย่างตื่นเต้น “คุณเองก็ชอบผ้าสีสดใสแบบนี้เหมือนกันหรือ? ฉันเองก็ชอบ! ฉันไม่ชอบเสื้อผ้าสีหม่นพวกนั้นเลยค่ะ มันช่างดูไร้ชีวิตชีวา!”
ซย่านีเอ่ยถาม “ผ้าพวกนี้ขายยังไงหรือ? ฉันเลือกมันได้ไหม?”
“เศษผ้าพวกนี้ขาดรุ่งริ่งเกินกว่าจะทำเสื้อผ้าต่อได้แล้ว มันเป็ของที่ไม่มีใคร้าแล้วค่ะ พี่สาว อย่ากังวลไปเลย ฉันคิดราคาถูกมาก” เสี่ยวหลิงกล่าว “หายากนะคะที่จะเจอคนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันแบบนี้ ถ้าพี่มีเงินจำกัดล่ะก็ ฉันเป็เ้าของ ฉันให้พี่แบบไม่ต้องคิดเงินเลยก็ยังได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้