ตอนที่ 5
จูบจักรพรรดิ
หลังจากที่ต้องนั่งเฝ้าจักรพรรดินอนหลับอยู่แทบทั้งวัน เมื่อพระอาทิตย์ตกดินอีกครั้ง พวกเขาก็ได้ออกมาทำธุระที่ว่าเสียที...แม้จะดึกมากเสียจนแทบจะเข้าวันใหม่แล้วก็เถอะ
“...”
รถยนต์คันหรูถูกขับมาจอดที่หน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง เป็ร้านนั่งดื่มขนาดกลาง ตั้งอยู่ริมชายหาดชื่อดังในพัทยา พื้นที่ภายในของร้านบางส่วนยังคงอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง หากแต่ส่วนที่ยื่นออกมาริมชายหาดนั้นเปิดให้บริการแล้ว
ร้านแห่งนี้ชื่อว่า Jakkapat (จักรพรรดิ) บ่งบอกชัดเจนว่าเ้าของนั้นเป็ใคร...อาจเพราะเป็่เทศกาล แม้ว่าร้านจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่ทุกโต๊ะบริเวณริมชายหาดก็ถูกจับจองจนเต็ม ร้านถูกออกแบบมาให้มีบรรยากาศอบอุ่น ประดับประดาด้วยแสงไฟสีเหลืองนวล มีวงดนตรีสดคอยให้ความบันเทิง จื๊อคิดว่าหากเวลาผ่านไปอีกสักพัก ที่นี่คงจะกลายเป็ร้านยอดฮิตในหมู่วัยรุ่นแน่ ๆ
“มาได้แล้วเหรอ กูนึกว่าต้องนั่งเฝ้าร้านให้ทั้งคืนซะแล้ว”
ทันทีที่เดินเข้ามาถึงในตัวร้าน ก็ได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนดังทักทายทันที เล่าจื๊อหันไปมอง เห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล เค้าโครงหน้าตามีความคล้ายคลึงกับจักรพรรดิและเ้าหญิงอยู่ไม่น้อย ทรงผม การแต่งตัวดูเกลี้ยงเกลาและเป็ระเบียบ จื๊อคาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายนั้นเป็ใคร
‘ฮ่องเต้’ คือพี่ชายคนโตในบรรดาสามพี่น้อง...เนื่องจากพ่อและแม่ฝากความหวังให้สืบทอดธุรกิจจึงถูกส่งตัวไปเรียนที่ต่างประเทศอยู่นานและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เพิ่งจะกลับมาอยู่ประเทศไทยถาวรเมื่อไม่กี่ปีให้หลังมานี้ เ้าหญิงเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ฮ่องเต้นั้นเป็คนใจเย็นและเข้าถึงง่ายกว่าจักรพรรดิที่ไม่ค่อยสนหน้าอินทร์หน้าพรหมและค่อนข้างโผงผางในบางครั้ง
“คนที่มึงจะคุยด้วยนั่งรออยู่ด้านใน”
ฮ่องเต้กล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปทางหลังร้าน เล่าจื๊อที่ยังไม่ทันตั้งตัวถูกเ้านายดึงแขนไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับพี่ชายของตน ไม่วายเอ่ยกำชับ
“ฝากหน่อย...มันคออ่อนมาก ห้ามให้ดื่มเหล้า”
“ไม่ได้คออ่อนนะ---”
เล่าจื๊อหน้างอเล็กน้อย หันไปแก้ต่าง แต่พูดไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็เดินไปไกลเสียแล้ว ทิ้งให้เขาอยู่กับพี่ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะเคยได้เห็นตัวจริงเป็ครั้งแรก...บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ ชายหนุ่มได้แต่นั่งเกร็งแล้วก้มหน้ามองพื้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
ธุระอะไรกันเล่า...สรุปว่าพาเขามาทำอะไรกันแน่
จื๊อรู้สึกว่าตนยังไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย นอกจากถูกจักรพรรดิหิ้วไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างเอาแต่ใจก็เท่านั้น
“ชื่อเล่าจื๊อเหรอ”
ฮ่องเต้เป็ฝ่ายทักขึ้นก่อน เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเกร็งตัวทั้งสีหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้ พลันเล่าจื๊อรีบเงยหน้าขึ้นมามองกันแล้วพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ทันสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ชื่อตนได้อย่างไร
“คะ ครับ ใช่ครับ”
ดวงตาสีน้ำตาลแบบเดียวกับผู้เป็น้องชายกวาดมองทั่วใบหน้าของคู่สนทนาอย่างละเอียด ก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงนุ่ม
“ไอ้จักรเคยเผลอเรียกชื่อบ่อย ๆ”
“...เผลอ?”
จื๊อเผลอเอียงคอแล้วถามทวนด้วยสีหน้าประหลาดใจ หวังจะได้คำขยายความที่มากกว่านี้ หากแต่ฮ่องเต้เพียงไหวไหล่ แล้วเปลี่ยนเื่ดื้อ ๆ ด้วยการรินไวน์ใส่แก้วให้
“ดื่มไวน์ไหม ซื้อมาจากฝรั่งเศสเชียวนะ”
“...”
คราวนี้คนถูกชวนเริ่มกระอักกระอ่วน ได้แต่ส่งเสียงเอ่ออ่าในลำคอแล้วมองเครื่องดื่มด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เล่าจื๊อเป็คนหัวอ่อน ปฏิเสธใครก็ไม่ค่อยจะเป็ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่านิสัยขี้เกรงใจเกินเหตุนี้กลับทำให้เขาตกเป็เหยื่อให้ใครต่อใครกลั่นแกล้งได้โดยง่าย
จะว่าไป ชนชั้นกลางอย่างไอ้จื๊อคนนี้ก็อยากจะลองไวน์เกรดพรีเมี่ยมจากประเทศฝรั่งเศสบ้างเหมือนกันนะ...หากให้ไปซื้อเอง เขายอมซื้อน้ำเปล่าขวดละสิบกว่าบาทดื่มแทนดีกว่า
“ไม่ได้ให้ดื่มเหล้าสักหน่อย” ฮ่องเต้ยังคงเป่าหูไม่หยุด
“หรือว่ากลัวจะถูกจักรพรรดิว่าเอา...ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องดื่มก็ได้นะ”
ประโยคดังกล่าวได้ผลชะงัด เมื่อจู่ ๆ เล่าจื๊อก็มีสีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมาทันทีเพียงได้ยินชื่อของใครคนหนึ่งเท่านั้น...ร่างขาวรีบยื่นมือไปรับแก้วดังกล่าวมาถือไว้ ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในใจ เอ่ยพูดเสียงดังฟังชัดจนผู้ฟังเผลอหลุดขำ
“ดะ ได้ครับ...ผมจะดื่มครับ!”
“ครับ...ชนแก้ว”
เล่าจื๊อคนซื่อผู้น่าสงสาร ถูกหลอกล่อได้ไม่เท่าไรก็หัวอ่อนไหลตามเขาไปเสียแล้ว
แก้วไวน์ทั้งสองกระทบกันจนได้ยินเสียง ก่อนเล่าจื๊อจะยกมันดื่มทั้งหมดด้วยสีหน้าเหยเก ท่าทางป้ำ ๆ เป๋อ ๆ คล้ายกับคนที่ไม่รู้วิธีการดื่มที่ถูกต้อง รสชาติของมันดีมากทีเดียว ดื่มง่ายสมกับเป็เครื่องดื่มราคาแพง หากแต่เขาไม่ได้ดูเลยว่าส่วนผสมแอลกอฮอล์ของมันนั้นมากกว่าเหล้าหรือเบียร์บางยี่ห้อเสียอีก
เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ถูกกลืนลงคอไปไม่กี่แก้ว ทว่าเพียงไม่กี่นาทีต่อมา เล่าจื๊อฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดสภาพเสียแล้ว เขาหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่เป็ระยะ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ครั้นเมื่อรู้ตัวอีกที วงดนตรีก็หยุดเล่นไปแล้ว เสียงพูดคุยจากโต๊ะอื่น ๆ ก็เงียบลงแล้วเช่นเดียวกัน
เขาค่อย ๆ ผงกหัวขึ้นมาแล้วมองไปรอบ ๆ เห็นว่าทั้งร้านไม่เหลือลูกค้าอยู่แล้ว แม้แต่พี่ฮ่องเต้ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน มีแค่พนักงานบางคนที่อยู่ทำความสะอาดร้าน ก่อนจะหยุดสายตาลงที่ร่างสูงของใครบางคน ซึ่งยืนพิงกำแพงกอดอกมองกันอยู่
“ลุกขึ้น”
“...”
จื๊อยังคงนั่งค้างอยู่ท่าเดิมด้วยสภาพมึนงง แอบตั้งคำถามในใจว่าหากตนอยากนอนอยู่ตรงนี้ต่อไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือยังไง คราวนี้จักรพรรดิเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“หรือว่าชอบให้อุ้ม?”
“ละ ลุกแล้ว...”
พอได้ยินคำว่า ‘อุ้ม’ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมากะทันหัน ภาพที่ตนถูกจับพาดบ่าในสภาพหัวห้อยโตงเตงยังเด่นชัด จื๊อรู้สึกว่าโลกหมุนคว้างไปหมด เดินได้ไม่กี่ก้าวก็เซแซ่ด ๆ เมื่อพ้นจากประตูร้านมาได้ก็ทิ้งตัวนั่งแหมะลงกับพื้นทันที
จักรพรรดิยืนมองสภาพคนเมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะนั่งลงข้างกายแล้วแกะลูกอมสีชมพูรสหวานเข้าปาก
“โอ๊ย!”
ได้ยินเสียงดัง ‘โป๊ก’ ไม่เบานัก พอหันไปเห็นจื๊อนั่งสะลึมสะลือจนหัวโหม่งเข้ากับกำแพงก็หัวเราะซ้ำเติม ทั้งยังทำหน้ากวนตีนใส่จนผู้มองคิ้วกระตุก
“เธอนะจื๊อ...เหมือนจะฉลาดแต่ก็มีมุมไม่ฉลาดเยอะอยู่เหมือนกันนะ”
“...”
เล่าจื๊อหน้างอง้ำทั้งที่มือก็ยังลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ เขาไม่เหลือแรงจะมาตอบโต้อะไรด้วยแล้วจึงได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น...บริเวณหน้าร้านอยู่ติดกับชายหาด พอมองคลื่นที่ม้วนตัวเข้ากระทบฝั่งนานเข้าก็รู้สึกมึนหัวเหมือนจะเมาคลื่นไปด้วย
สุดท้ายก็ต้องเบนสายตาไปทางอื่นก่อนที่จะอาการหนักไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดมองคนข้างกายที่กำลังแกะลูกอมเม็ดที่สองเข้าปาก
“...”
ดวงตาปรือปรอยจ้องมองเสี้ยวใบหน้าของจักรพรรดิอยู่นาน เห็นกันมาั้แ่ยังเล็กจนอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว จื๊อก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ...แต่เขาอิจฉาหน้าตาหล่อเหลาของอีกฝ่ายชะมัด
ปล่อยความคิดมากมายให้ล่องลอยไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางสติที่เมามาย พอถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าเล่นงานหนังตาก็หนักอึ้ง จื๊อแอบหลับตาพริ้มอยู่หลายครั้ง ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นจักรพรรดิมองกันอยู่แล้วอย่างจับได้
“มองทำไมนัก เดี๋ยวกูก็จับดูดปากให้สร่างซะหรอก”
“...”
คำพูดดังกล่าวถูกเปล่งออกมาเพื่อยั่วโมโหกันอย่างชัดเจน
หากเป็จื๊อในตอนที่สติเต็มร้อย คงจะทำตาเขียวแล้วโวยวายใส่ไปแล้ว ทว่าใน่เวลาที่ความสามารถของสมองลดลงไปกว่าครึ่งแบบนี้ เขาทำได้เพียงนั่งตาปรือแล้วพยายามคิดตามอย่างโง่งมเท่านั้น
อะไรนะ...เมื่อกี้พูดว่าอะไรเหรอ
จักรพรรดิขมวดคิ้วมองกันอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือเลิกผมหน้าม้าที่ปรกใบหน้าของจื๊อแล้วถาม
“เมามากเลยเหรอ”
ร่างขาวพยักหน้าหงึกหงักโดยง่าย
“อื้อ เมามาก”
หากเป็เวลาปกติ คงไม่มีโอกาสได้ยินคำตอบเช่นนี้ แต่เมื่อสติไม่ครบถ้วน นิสัยบางส่วนก็เปลี่ยนไป...พวกเขาเผลอมองสบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เล่าจื๊อกะพริบตาปริบ ๆ สายตาเ้ากรรมอดจะหลุบลงไปมองริมฝีปากบางกระจับตรงหน้าอย่างห้ามไม่ได้
เขาเคยบอกไปหรือยังนะ...ว่าจักรพรรดิเป็คนที่ปากสวยชะมัด
พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง คล้ายกับทุกอย่างได้ถูกหยุดเอาไว้ชั่วคราว...น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกแ่เบา
“จื๊อ”
“หื้อ”
“...จูบกันปะ”
“...”
.
.
.
อดีต
00.30 น.
ขวดสุราถูกวางทิ้งเกลื่อนกลาดกระจายไปทั่ว ห้องพักนักศึกษาชั้นปีที่สามในคืนวันศุกร์มีแต่คนเมานอนกองทับกันอย่างหมดสภาพ เล่าจื๊อนั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้อง มือทั้งสองข้างกุมกระป๋องเบียร์เอาไว้ แม้มันจะถูกเปิดเอาไว้เป็ชั่วโมงแล้ว แต่ก็พร่องไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
เล่าจื๊อเพิ่งจะเคยแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็ครั้งแรกเพราะถูกยุยงอย่างหนัก เขาดื่มไปเพียงเล็กน้อย ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกมึนหัวไปหมด คราวแรกตั้งใจจะมานั่งหลบมุมสำนึกผิดที่ทำตัวเป็คนไม่ดี ผ่านไปสักพักสมองก็ถูกเล่นงานจนจำไม่ได้ว่าร่ายคำขอโทษตัวเองในใจไปถึงไหนแล้ว
เพราะเป็คืนวันศุกร์ อีกทั้งยังเป็วันสุดท้ายของการสอบ ทุกคนจึงนัดรวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ั้แ่หัวค่ำ แท้จริงแล้วคนที่มาล้วนเป็เพื่อนของจักรพรรดิทั้งนั้น ตัวเขาที่เป็รูมเมตจึงถูกดึงเข้าไปร่วมวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ใช่แล้ว แม้จะเรียนจบชั้นมัธยมแล้วก็ตาม ทว่าเมื่อเข้ามหา’ลัยก็ยังบังเอิญสอบเข้าได้ที่เดียวกัน คณะเดียวกัน และยังจับพลัดจับผลูได้เป็รูมเมตกันอีกต่างหาก!!
ทุกคนเมาจนหลับไปหมดแล้ว เหลือแค่จื๊อและใครอีกคนที่นั่งเปิดกระป๋องเบียร์ดื่มอยู่ข้างกายเงียบ ๆ ...จักรพรรดิยังคงอยู่ในชุดนักศึกษาและกางเกงยีนสีซีด ทรงผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย ทั่วทั้งตัวมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปหมด
จื๊อรู้สึกว่าสติของตนนั้นมึนเบลอ คล้ายอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความฝันและความเป็จริง ภายนอกนั่งนิ่ง แต่ในหัวกลับว้าวุ่น สมองเ้ากรรมเอาแต่ฉายภาพเดิมซ้ำ ๆ ของเพื่อนคนหนึ่งที่จูบกับแฟนสาวอย่างดูดดื่มในระหว่างที่เขาเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วเห็นเข้าพอดี
“...”
เ้าของดวงตาปรือปรอยหันไปมองเสี้ยวใบหน้าของคนข้างกายอีกครั้ง หากเป็ยามปกติคงไม่กล้าปริปากกล่าวสิ่งน่าอายใด ๆ ทว่าในตอนนี้นั้นต่างออกไป
“จูบใครสักคนมันรู้สึกยังไงเหรอ”
เสียงอ้อแอ้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ พลันร่างสูงชะงัก ปรายตามองกันครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางอื่นคล้ายกับไม่สนใจ เอ่ยตอบด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย
“ไม่รู้ อธิบายไม่ถูก”
“...”
“ทำไม? จู่ ๆ ก็อยากรู้หรือไง”
พอถูกจี้ถามเข้า จื๊อก็ส่งเสียงอึกอักทั้งใบหน้าที่รู้สึกร้อนฉ่าขึ้นมา ได้แต่ดันกรอบแว่นขึ้นแก้เก้อ คงจะเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เขากล้าส่งคำถามน่าอายแบบนั้นออกไป...เครื่องดื่มสมัยนี้มันน่ากลัวจริง ๆ
“กะ ก็...ก็...”
จื๊อยังพอเหลือสติอยู่บ้างแม้จะน้อยนิด เสี้ยวความคิดหนึ่งเขาคิดว่าต้องพยายามยับยั้งตัวเอง อย่าปริปากพูดอะไรที่น่าอายไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าจะทำได้แค่คิดเท่านั้น
ในเมื่อเ้าตัวขึ้นชื่อนักหนาเื่ความเ้าชู้และรักสนุก ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้คำตอบได้สิ
“ก็อยาก...”
“...”
พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบทันทีหลังจากนั้น ประโยคเมื่อครู่ถูกทิ้งอยู่นานจนเริ่มใจเสีย จื๊อได้แต่ฟุบหน้าลงกับเข่าหนีอายแล้วเม้มปากแน่น ผ่านไปหลายนาทีจึงเริ่มได้ยินเสียงขยับตัวจากอีกฝ่าย และความรู้สึกของระยะห่างระหว่างกันที่เริ่มลดหลั่นลงไปทีละน้อย
“เธอ”
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกกันนั้นทุ้มต่ำและชัดเจนมากจนน่าประหลาดใจ ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงได้รู้ว่าจักรพรรดิขยับเข้ามาจนอยู่ใกล้กันมากเพียงใด...ใกล้มากเสียจนไหล่ทั้งสองข้างแนบชิดัั รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดผิวเนื้อ เคล้าไปกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งไปทั่ว
“ถ้าอยากรู้...แล้วอยากลองดูไหม?”
“...”
คล้ายกับคำถามลองใจที่ทำเอาผู้ฟังรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน จื๊อมองเห็นเงาของตนสะท้อนชัดเจนอยู่ในดวงตาคู่คมสีน้ำตาล ระหว่างนั้นก็ได้แต่ตั้งคำถาม ว่าพวกเราอยู่ใกล้กันมากถึงขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร?
ใกล้มากเกินไปกระทั่งได้ยินเสียงทุกอย่างดังชัดเจน ไม่ว่าจะเป็เสียงลอบกลืนน้ำลายลงคอ...หรือแม้กระทั่งเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ในอก
เดี๋ยวสิ พวกเราไม่ลงรอยกันไม่ใช่เหรอ...พวกเราเป็ศัตรูที่แข่งกันชิงดีชิงเด่นมาตลอดทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ
ให้ตายเถอะ จื๊อเกลียดผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
“ลอง...งั้นเหรอ”
“อืม”
“...”
เขาเกลียดจักรพรรดิที่มีนิสัยแสนตรงไปตรงมาต่อความปรารถนาของตน...เกลียดอีกฝ่ายที่กล้าล้ำเส้น เปลี่ยนแปลงทุกอย่างระหว่างพวกเขาในระยะเวลาอันสั้นอย่างอุกอาจ โดยไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ลองจูบกับกู”
“...”
...จื๊อคงจะเมาจนเป็บ้า ถึงได้ยอมพยักหน้าและเสียจูบแรกไปในคืนนั้น
...เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาที่ไม่เหมือนเดิมต่อไป
.
.
.
ปัจจุบัน
ชายหนุ่มเบิกตาเล็กน้อยทั้งท่าทางแสนเงอะงะ ในหัวได้ยินคำถามเดิมดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ได้แต่ส่งเสียงอึกอักในลำคอไม่ยอมตอบ แต่เมื่อจักรพรรดิโน้มตัวลงเข้ามาใกล้ กระทั่งปลายจมูกแทบจะัักัน คนเมาคนนี้ก็ยังคิดไม่ทันว่าควรจะหนีได้แล้ว
จื๊อสมองว่างเปล่า นั่งนิ่งให้อีกฝ่ายประคองข้างแก้มแล้วขยับเข้าหา ริมฝีปากกำลังจะแตะัักันในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ก่อนจักรพรรดิจะเป็ฝ่ายหยุดสถานการณ์นี้เอาไว้เสียเอง
“ทำไม…”
คนเมาครางถามเสียงเบาในลำคอ มองตามร่างสูงที่จู่ ๆ ก็ผละตัวออกไปอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ชอบจูบกับคนเมา”
“…”
จักรพรรดิตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแล้วหันไปคุ้ยหาอะไรบางอย่างจากในถุงพลาสติก ในขณะที่จื๊อยังคงพยายามคิดตามอย่างมึนงงว่าใครคือคนเมาที่ว่า...เขาอย่างนั้นเหรอ? สติที่หลงเหลืออยู่เริ่มลอยเคว้งไปไกล
!!!
ก่อนจะสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อถูกขวดน้ำเย็นเฉียบแนบที่แก้มทั้งสองข้าง ความเย็นของมันทำให้จื๊อตื่นตัวขึ้นมาทันที ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองคนตรงหน้าสลับกับขวดน้ำอยู่อย่างนั้น ครั้นเมื่อผละมือออกไป แก้มของจื๊อก็รู้สึกชาไปหมด
“ฮื่อ! มันเย็นนะ!”
อดจะโวยวายออกมาไม่ได้ เมื่อถูกฝ่ามือเย็นเฉียบไม่แพ้กันวางทาบซ้ำที่จุดเดิมแทนที่ขวดน้ำ ไม่วายเลื่อนมาแตะที่ต้นคอให้สะดุ้งคล้ายตั้งใจกลั่นแกล้ง ร่างขาวสะบัดหน้าหนีทั้งริมฝีปากที่เริ่มเบะคว่ำ ถูกความเย็นกระตุ้นซ้ำ ๆ จนตาสว่างขึ้นมาในทันใด
แว่วได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอของอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งยังคงประคองแก้มของจื๊อเอาไว้ ก่อนจะเกลี่ยปลายนิ้วหัวแม่มือลูบไปมาอย่างเชื่องช้า
หยอกเย้า...กลั่นแกล้งหรือเพื่อจุดประสงค์ใด ไม่อาจคาดเดาได้
“...”
คนตัวเล็กกว่าก้มหัวหลบหน้าแล้วกลอกตาล่อกแล่กไปมา พยายามวิเคราะห์สถานการณ์ของตนอย่างยากลำบากผ่านความมึนเบลอ...เ้าของใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงเข้าหา เป็จังหวะเดียวกันที่จื๊อเงยหน้าขึ้นไป กระทั่งปลายจมูกเฉียดัักันไปเพียงเล็กน้อย
พวกเขามองสบกันอยู่นานท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่หนึ่งสั่นไหวด้วยความตระหนกตื่นตูม ในขณะที่อีกคู่หนึ่งมีแต่ประกายร้ายเ้าเล่ห์ เจือปนไปกับความสนุกสนานอยู่ในที เอ่ยกระซิบคำถามให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
“สร่างหรือยัง?”
“...”
วินาทีนั้นจื๊อได้สติ...รับรู้ทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ราวกับไม่เคยเมามาก่อน
เขาสร่างเป็ปลิดทิ้ง
สมองที่ว่างเปล่ากำลังถูกข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามาในระยะเวลาอันสั้น ร่างขาวอ้าปากค้าง ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ เมื่อได้รู้ว่าตนเพิ่งจะทำอะไรลงไปบ้างยามสติไม่ครบถ้วน ยิ่งนึกออกก็ยิ่งอับอายจนอยากจะถอดสมองทิ้งแล้วเอาหน้ามุดพื้นหนีไปเดี๋ยวนี้
ต้องหนี!
“สะ สร่างแล้ว”
พลันรอยยิ้มร้ายเจือความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา รีบคว้าข้อมือข้างหนึ่งของคนที่คิดจะหนีเอาไว้ราวกับรู้ทัน
“งั้นก็ดี”
“!!!”
ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความใ ยามอีกฝ่ายโฉบใบหน้าลงมามอบจุมพิตให้กะทันหัน จื๊อนั่งตัวแข็งทื่อ ราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วทั้งร่าง ทุกครั้งที่ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มอย่างหยอกเย้า กระนั้นก็ยังยอมไม่รุกล้ำเข้ามา
แก้มทั้งสองข้างถูกฝ่ามือประคองเอาไว้ให้เงยหน้าขึ้นรับััให้มากขึ้น ปลายลิ้นชื้นเกลี่ยเล็มเลียริมฝีปาก ก่อนจะรีบฉกฉวยสอดเข้าไปฉกชิมความหวานจากภายในทันทีที่เห็นโอกาส ร่างขาวหลับตาปี๋ ทั้งเงอะงะและทำอะไรไม่ถูก ได้แต่บีบขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแน่นจนมันเริ่มยับยู่
จักรพรรดิจงใจทำให้เขาได้สติ...จะได้จำได้ขึ้นใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในค่ำคืนนี้
“อื้อ!”
โพรงปากเล็กถูกรุกล้ำเข้ามา รสชาติขมปร่าของแอลกอฮอล์ผสมผสานไปกับรสหวานของลูกอมที่ติดลิ้นจักรพรรดิ จื๊อเพิ่งจะสร่างได้ไม่นาน ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนจะเมาอีกแล้ว อาการใอยู่ได้ไม่นาน ก่อนร่างกายจะเริ่มตอบรับอย่างเชื่องช้า ราวกับคุ้นเคยต่อัันี้เป็อย่างดี
“อือ...”
เสียงน้ำลายฉ่ำแฉะดังเคล้าไปกับเสียงหายใจที่เริ่มจะถี่กระชั้น จื๊อเริ่มปัดป่ายมือไปจับต้นแขนของอีกฝ่ายไว้แน่นเพื่อเป็หลักยึด เขาถอยหลังหนีไปทีละน้อยกระทั่งแผ่นหลังแนบสนิทกับกำแพงไร้ซึ่งทางหนี ในจังหวะที่เริ่มจะหายใจไม่ทัน คนตรงหน้าจึงผละออกไป ทว่าความรู้สึกชาหนึบและััวาบหวามเมื่อครู่ยังคงอยู่
“แฮ่ก!”
“หายใจ”
จื๊อพยายามหอบหายใจตามจังหวะทั้งใบหน้าแดงก่ำ ตวัดสายตาขึ้นมองค้อน ทว่าด้วยสภาพน้ำตารื้นและแก้มแดงปลั่ง จึงไม่ได้ดูน่ากลัวขึ้นแต่อย่างใด เขาสังเกตเห็นจักรพรรดิหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบวมเจ่อไปถนัดตา เป็สิ่งตอกย้ำว่าเมื่อครู่เกิดเื่อะไรขึ้น
พลันฝ่ายผู้มองทั้งลนลานทั้งอับอายเสียจนอยากจะะเิตัวเอง รู้อย่างนี้กลับไปเมาจนไม่มีสติเสียยังจะดีกว่า
คนหนึ่งขมวดคิ้วทำหน้าถมึงทึงใส่ ในขณะที่อีกคนหนึ่งเพียงมองกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย ท้าทายกันด้วยการแค่นหัวเราะใส่แล้วใช้ปลายนิ้วเขี่ยที่ปลายจมูกรั้นกลั่นแกล้งกันอีกต่างหาก
“อาจื๊อคนเก่ง”
“!!!”
อย่ามาล้อเขานะ!
จื๊อหน้างอ ทำท่าจะเถียงกลับ แม้จะอยู่ในสภาพที่สู้อะไรไม่ได้ แต่แล้วก็ต้องปิดปากเงียบ ยามที่คนตรงหน้าค่อย ๆ ถอดแว่นของตนออกไป ให้พวกเขามองสบสายตากันโดยตรงในระยะใกล้ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก พลันบรรยากาศระหว่างกันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ร่างขาวยังคงทำหน้าสงสัย กระทั่งอีกฝ่ายโน้มลงมากระซิบเสียงพร่าติดริมฝีปาก…จึงได้คำตอบ
“จะได้จูบถนัดขึ้น”
“!!!”
จุมพิตวาบหวามถูกมอบให้อีกครั้ง พอไม่มีแว่นอยู่แล้ว ทุกััก็ใกล้ชิดและชัดเจนมากยิ่งขึ้น จักรพรรดิเป็ฝ่ายรุกล้ำบดเบียดเข้าหา ปลายจมูกโด่งจุ่มลงที่ข้างแก้มนุ่ม ลอบฉวยโอกาสสูดดมกลิ่นหอมติดผิวเนื้อ จื๊อบีบต้นแขนแน่นจนเจ็บ ทว่าคนถูกกระทำกลับแสยะยิ้มชอบใจ ออกแรงกัดริมฝีปากล่างให้สะดุ้ง ก่อนจะโฉบเข้ามาจูบอีกครั้งอย่างดุดันโดยไม่เว้นจังหวะให้ตั้งตัว กระนั้นก็ยังคอยเกลี่ยนิ้วลูบข้างแก้มให้อยู่เสมอเพื่อปลอบโยน
เล่าจื๊อกำลังถูกรังแก และยังหาหนทางที่จะเอาชนะไม่เจอ ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี
...จูบครั้งแรกในคืนนั้นเป็อย่างไร พวกเขายังจดจำได้ดี
...เพราะมันเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งนับั้แ่นั้น กระทั่งไปถึงจุดที่เริ่มจะเลยเถิด
กว่าจะถูกปล่อยให้เป็อิสระ ร่างในอ้อมแขนนั่งห่อตัวหอบหายใจถี่กระชั้น ทั้งใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงคอ ริมฝีปากบวมเจ่อเสียจนน่าสงสาร ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ แต่ก็ยังพอมีสติที่จะยกมือสั่นเทาขึ้นดันแผงอกกว้างเอาไว้ ไม่ยอมให้อีกฝ่ายฉกฉวยโอกาสมาแย่งลมหายใจของตนอีก
“ถ้ารู้ว่าเมาแล้วจะเป็อย่างนี้...วันหลังระวังหน่อย”
ท่ามกลางความคิดภายในหัวที่กำลังเตลิด เขาได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำดังอยู่ในระยะใกล้ ทั้งััของเรียวนิ้วที่เกลี่ยลูบริมฝีปากของตนแ่เบา
“แฮ่ก...”
“ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนพวกนิสัยไม่ดีมาขโมยจูบเอานะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้