“ว่าอย่างไรน้องรอง เ้ากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”
หลี่อันหนิงเอ่ยทักทายน้องชายคนรองของตนอย่างเป็ธรรมชาติซึ่งเป็อะไรที่ผิดวิสัยของนางนัก หลี่อี้เจ๋อที่พึ่งคลายจากอาการตกตะลึงพยักหน้าตอบรับคำทักทายของนาง
“ขอรับ ข้ากลับมาแล้วพี่ใหญ่ ข้าดีใจที่พวกท่านยังสบายดี”
นางรู้สึกว่าคำพูดของน้องชายมีความนัยบางอย่างแอบแฝง ทว่าคงซักไซ้ตอนนี้มิได้เพราะมีคนบ้านหลี่คอยจับตามองอยู่
“เ้ากลับมาครานี้ต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน”
“นานขอรับ ่นี้หิมะเริ่มตกหนัก ต้องรอจนกว่าเหมันต์จะผ่านไป ข้าถึงกลับไปที่สำนักศึกษาได้อีกครั้ง”
หญิงสาวสนทนากับน้องชายราวกับมิได้เห็นคนบ้านหลี่อยู่ในสายตา ผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็ปู่รู้สึกไม่พอใจนักที่นางเข้ามาขวางระหว่างตนและหลี่อี้เจ๋อ แต่ในเมื่อรักบ้านก็ย่อมต้องรักอีกาบนหลังคาด้วย ดังนั้นต่อให้คับข้องใจเพียงใดชายชราก็ทำได้เพียงต้องเก็บเอาไว้ภายใน
“หนิงเอ๋อ เป่าเอ๋อ พวกเ้าสองคนมาก็ดีแล้ว วันนี้บ้านเรามีเื่น่ายินดีเช่นนั้นก็มาร่วมฉลองด้วยกันดีหรือไม่”
หลี่อันหนิงยิ้มเย็นเมื่อได้ยินเสียงสบถด่าทอตนเองจากผู้เฒ่าหลี่ในหัว ทว่าคำพูดจริงๆ ที่ออกจากปากกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ตาแก่ผู้นี้ช่างเป็คนหน้าไหว้หลังหลอกจริงเชียว
“ขอบคุณท่านปู่เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าและเป่าเอ๋อไม่เกรงใจแล้วนะ”
หลี่อันหนิงเอ่ยออกไปราวกับตนเองเป็เพียงแขกของบ้านหลี่ มิใช่ลูกหลานที่ใช้แซ่เดียวกัน
การกระทำของนางในวันนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความห่างเหินที่นางมีต่อคนตระกูลหลี่ โดยเฉพาะบิดาอย่างหลี่เจี๋ย ั้แ่ที่บุตรสาวทั้งสองก้าวเข้ามาในเรือน พวกนางไม่เอ่ยทักทายเขาผู้เป็บิดาแม้เพียงครึ่งคำ
หลี่อันหนิงมองอาหารหลายอย่างที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าดูแคลน ในยามปกติบ้านหลี่มิได้ทานอาหารเหล่านี้ แม้จะมีเงินมากกว่าผู้อื่นสักหน่อย ทว่าอาหารการกินกลับธรรมดาไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป
แต่วันนี้กลับมีเนื้อ
“นั่งๆ พวกเ้ายืนด้วยเหตุใด อาเฟิงไปตามท่านแม่ของเ้ามาทานข้าว เอาล่ะเจ๋อเอ๋อนี่ของหลาน”
ผู้เฒ่าหลี่คีบเนื้อผัดน้ำมันใส่ลงในชามของหลี่อี้เจ๋อ หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าได้นั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับคนบ้านหลี่เป็ครั้งแรก ซึ่งแม้แต่มารดาของนางก็ไม่เคยเพราะแม่เฒ่าหม่ารังเกียจพวกนาง
“นี่!! เหตุใดนางเด็กสองคนนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่”
หลี่อันหนิงไม่สนใจเสียงบริภาษของแม่เฒ่าหม่า นางคีบเนื้อลงในชามของน้องสาวและตนเอง ก่อนจะทานไปอย่างเงียบๆ
ทุกคนในเรือนมารวมตัวกันที่ห้องทานอาหาร ยกเว้นหลี่เจียนเจียนที่กระทำตนราวกับคุณหนูในจวนขุนนาง เมื่อถึงเวลาอาหารจะต้องมีคนยกไปให้นางที่ห้องส่วนตัว
“นั่งลงเถอะน่า พูดอันใดมากมายคนก็กลับมาแล้วยังจะให้พวกนางไปที่ใดอีก”
ผู้เฒ่าหลี่เป็ผู้เอ่ยปราม
แม่เฒ่าหม่าแม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกสามีต่อว่า แต่ก็จำต้องนั่งลงอย่างเสียมิได้ หญิงชรายื่นตะเกียบไปยังชามเนื้อผัดน้ำมันปรากฏว่าเหลือเพียงชามเปล่า
ทั้งบ้านใหญ่บ้านรองต่างแย่งชิงอาหารในชามไปจนหมด หลี่อี้เจ๋อมองการกระทำของพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แม้แต่จะขยับตะเกียบของตน
“เจ๋อเอ๋อ หลานไม่ทานหรือ”
เมื่อถูกผู้เฒ่าหลี่เอ่ยถาม เด็กชายรีบเปลี่ยนสีหน้าส่งยิ้มกลับไป
“พอดีว่าก่อนออกจากสำนักศึกษา หลานได้ทานอาหารมาก่อนแล้วขอรับ จึงยังไม่หิว”
ผู้เป็ปู่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ณ ที่นั้นมีเพียงหลี่อันหนิงที่รู้ว่าน้องชายคิดอะไร รังเกียจ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้
อาหารรสชาติที่แม้แต่หมู่ยังเมิน น้ำซุปก็จืดชืดไม่ต่างจากน้ำเปล่า คนที่ทำอาหารคงเป็แม่เฒ่าหม่าไม่ผิดแน่ หลี่อันหนิงเองก็วางตะเกียบลงหลังจากที่คีบอาหารเข้าปากเพียงคำเดียว
“พี่ใหญ่ท่านไม่ทานหรือ”
หลี่อี้เฉินน้องชายที่เกิดจากแม่เลี้ยงจางเหยาฮวาถามนางด้วยดวงตาใสซื่อ ในชามของนางมีเนื้อหลายชิ้นหลี่อันหนิงจึงเลื่อนชามของตนไปตรงหน้าเด็กน้อย
“พี่อิ่มแล้ว”
หลี่ชิงบุตรชายของหนี่ม่านม่านบ้านรองที่นั่งอยู่ใกล้กัน คว้าชามตัดหน้าไป
“นั่นมันของข้านะ”
หลี่ชิงไม่สนใจเสียงร้องของลูกบ้านใหญ่ เขารีบเทอาหารในชามของหลี่อันหนิงลงในถ้วยของตน
“พี่อาชิงท่านแย่งข้าวของข้าทำไม เอาคืนมานะ”
หลี่อี้เฉินดวงตาแดงก่ำน้ำตาเอ่อคลอเพราะถูกรังแก หลี่ชิงที่อายุมากกว่าหลี่อี้เจ๋อสองปีแต่กลับอ่านตัวอักษรไม่ได้สักตัว มองลูกคนเล็กของบ้านใหญ่อย่างเหนือกว่า
“ใครใช้ให้เ้าอายุน้อยกว่าข้าเล่า”
จางเหยาฮวามองหนี่ม่านม่านที่ยังลอยหน้าลอยตาทานอาหารไม่คิดสั่งสอนบุตรชายของตนอย่างขัดใจ นางจึงหันมากระซิบกับหลี่อี้เฉินเสียงเบา
“เฉินเอ๋อของเหลือแบบนั้นลูกไม่จำเป็ต้องไปแย่งกลับพี่อาชิงหรอก เอาไว้แม่พาเ้าไปทานของอร่อยในตัวอำเภอดีหรือไม่”
เด็กน้อยยกแขนเสื้อปาดน้ำตาก่อนพยักหน้ารับ
“ท่านแม่สัญญาแล้วนะขอรับ”
หลี่ซางเป่ามองน้องชายคนเล็กของตนอย่างชั่งใจ ก่อนจะคีบเนื้อวางลงในชามของเขา
หลี่อันหนิงมองน้องสาวคนเล็กของตนอย่างครุ่นคิด เป่าเอ๋อแม้จะถูกละเลยมาทั้งชีวิตทว่ากลับเป็เด็กที่มีจิตใจดี ไม่นึกโกรธแค้นที่ตนถูกกระทำราวกับคนนอก ในเมื่อน้องสาวไม่มีอคติต่อพวกเขา ตนก็จะยอมปล่อยวางจนกว่าจะไปจากที่นี่ได้
“อิ่มหรือยัง”
หลี่อันหนิงหันมาถามหลี่ซางเป่าที่วางตะเกียบลง เด็กน้อยพยักหน้ารับ
“อาหารที่นี่ไม่อร่อยเท่าอาหารที่พี่ใหญ่ทำเลยเ้าค่ะ”
หลี่อันหนิงยกยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อได้รับคำชมจากน้องสาว หลี่อี้เจ๋อมองทั้งสองคนที่แสดงความรักต่อกันทำให้เขารู้สึกรวดร้าวในใจ เพราะคิดว่าระหว่างพวกเขาตนเองได้กลายเป็คนนอกแล้ว
เด็กน้อยลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเศร้าสร้อย เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเอ่ยกับนาง
“พี่ใหญ่ ข้ามีเื่้าพูดกับท่าน ช่วยตามข้ามาได้หรือไม่”
“ได้สิ”
เด็กสาวมองน้องชายตัวน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนรับปากและพาหลี่ซางเป่าเดินตามเขาไปยังด้านหลังเรือน
“เ้ามีอันใด้าพูดกับข้าหรือ”
หลี่อันหนิงหยุดยืนอยู่ห่างจากหลี่อี้เจ๋อเล็กน้อย เด็กชายหันกลับมาเผชิญหน้ากับพี่สาว ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ
“ถุงเงินนี้ท่านเก็บเอาไว้เถิด เป็สิ่งที่ข้าคัดตำราแลวาดภาพแลกมาได้”
หลี่อันหนิงมองใบหน้าเล็กของน้องชายที่แดงเรื่อเพราะอากาศหนาว เด็กสาวยื่นมือออกไปตรงหน้า ทว่ามิได้หยิบถุงเงินจากมือเขา สองแขนเล็กรั้งร่างน้องชายเข้ามาในอ้อมแขนพลางลูบแผ่นหลังของเขาแ่เบา
“น้องรองต้องลำบากเ้าแล้ว อายุเพียงเท่านี้แต่กลับพยายามอย่างหนักเพื่อพี่สาวอย่างข้า”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของนาง หลี่อี้เจ๋อผู้มีสีหน้าเ็าตลอดมา บัดนี้กลับหัวใจสั่นไหวเพราะความอบอุ่นที่โหยหามาตลอด อ้อมกอดของนางทำให้เขารู้สึกได้รับการเติมเต็มราวกับถูกมารดากอดรัด
“พี่ใหญ่ ท่านยังเห็นข้าเป็น้องชายอยู่ใช่หรือไม่”
น้ำเสียงสั่นเครือดังขึ้นแ่เบา
หลี่อันหนิงยกยิ้มเอ็นดู แม้พยายามเป็ผู้ใหญ่จะอย่างไรเขาก็ยังเด็ก ต้องมีความน้อยเนื้อต่ำใจและรู้สึกแปลกแยกเพราะตนเองมิได้ถูกเลี้ยงดูมาพร้อมกับพี่น้องคนอื่น
“เด็กโง่ ถามอะไรเช่นนั้น ตลอดมาเ้าก็เป็น้องชายของข้ามิใช่หรือ”
คำพูดเพียงประโยคเดียวเหนือกว่าพันวาจาหมื่นถ้อยคำ มันอบอุ่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ น้ำตาที่อดกลั้นมาเนิ่นนานพลันพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย เด็กน้อยผู้โหยหาความรักอย่างจริงใจจากครอบครัว บัดนี้ได้รับการปลอบประโลมจากพี่สาวอย่างแท้จริง
“พวกท่านคือครอบครัวของเป่าเอ๋อ”
เด็กน้อยซางเป่าเมื่อเห็นพี่ชายพี่สาวกอดกัน ตัวนางเองก็เดินเข้าไปกอดพวกเขาเอาไว้ในอ้อมแขนเล็ก พลางหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากครอบครัวของตน
"ฮึก!..ข้า..ฮึก!..ขอโทษที่ตลอดมาเมินเฉยต่อพวกท่าน”
เสียงแหบเล็กของเด็กน้อยเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้น หลี่อันหนิงเช็ดน้ำตาให้น้องชาย พลางลูบหลังลูบไหล่เพื่อปลอบโยนเขา
“ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร ต่อให้เ้าจะเป็เช่นไรเ้าก็ยังคงเป็น้องชายของข้า”
เด็กสาวเช็ดน้ำตาจากดวงตาแดงก่ำราวกับกระต่ายน้อยของเขา แม้จะผ่านมาแล้วสองชีวิตทว่านางไม่เคยเห็นเด็กคนนี้แสดงท่าทางอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน