“อะไรนะ?” หลิวซุนซื่อไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็ะเิอารมณ์ “พูดไร้สาระอะไรของเ้า นางคนพ่อแม่ไม่สั่งสอน ถุย คิดว่าตนเองเป็ใคร”
จางกุ้ยฮัวโกรธมากจนใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็เขียวและขาว แล้วเอ่ยอย่างมีน้ำโห “พี่สะใภ้รอง ข้าเคารพเ้าถึงได้เรียกเช่นนี้ อย่าคิดว่าตนเองดีนักหนา เ้าไม่ลองดูว่าสั่งสอนลูกสาวของตนเองอีท่าไหน จึงกลายเป็คนผิดเพี้ยน”
“ท่านแม่ ดูที่น้าสะใภ้สามกล่าวอะไรออกมา ข้าไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว”
หลิวจูเอ๋อร์ได้เรียนรู้เื่การร้องไห้เสแสร้ง เพื่อเรียกร้องความสนใจได้ครบถ้วน
ขณะร้องไห้ก็พุ่งไปทางต้นแพร์ที่อยู่ทางห้องปีกตะวันตก ทำให้หลิวซุนซื่อใจนไม่สนใจจะด่าจางกุ้ยฮัว แล้วรีบไปขวางไว้ ทำเอาอกสั่นขวัญแขวน
จางกุ้ยฮัวก็ใเช่นกัน หลิวเสี่ยวหลันก็ะโขึ้นและพูดขึ้นมาว่า “นี่ ข้าว่าจูเอ๋อร์ เ้าอย่าคิดสั้นไปเลย พี่สะใภ้สาม ดูสิว่าทำอะไรลงไป จูเอ๋อร์ถึงขั้นโมโหเพียงนี้!”
“อาเล็ก ข้าวกินมั่วได้ แต่คำพูดจะพูดออกมามั่วๆ ไม่ได้ เ้าไม่รู้จริงหรือว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเผชิญกับสายตาที่เยือกเย็นของจางกุ้ยฮัว ทันใดนั้นหลิวเสี่ยวหลันก็เงียบไป นางหดคอลง หากยังคิดอยากกินอาหารที่จางกุ้ยฮัวทำ เช่นนั้นนางต้องห้ามไปหาเื่จางกุ้ยฮัว
เดิมที นางแค่อยากอาศัยมือของหลิวจูเอ๋อร์เพื่อรับมือจางกุ้ยฮัว ขอเพียงไม่ถูกจับได้ หลิวฉีซื่อบอกแล้วว่าจะจัดการอะไรก็ทำให้เรียบร้อย ห้ามถูกจับได้
ใครจะรู้ว่าเื่จะบังเอิญเช่นนี้ ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยอย่างเข้าด้ายเข้าเข็ม จางกุ้ยฮัวดันโผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำเอาตกอกใหมด
หลิวซุนซื่อกระโจนใส่หลิวจูเอ๋อร์ ไม่ได้สนใจว่าคนทั้งสองที่อยู่ข้างๆ กำลังพูดคุยอะไรกัน คราวนี้เมื่อเห็นหลิวจูเอ๋อร์สงบลง จึงรีบเอ่ย “จูเอ๋อร์เด็กดี อย่าโกรธไปเลย แม่จะช่วยระบายอารมณ์เื่นี้ให้เอง”
หลังจากพูดเช่นนั้นก็ปล่อยแขนของบุตรสาว ก่อนจะวิ่งไปหาจางกุ้ยฮัวแล้วเอ่ย “จางกุ้ยฮัว หากจูเอ๋อร์ของข้าเป็อะไรไป ข้าจะให้เ้าชดใช้ด้วยชีวิต”
ใครจะรู้ว่าจางกุ้ยฮัวจะเอ่ยปาก “ตายไปก็ดี จะได้ไม่ต้องเป็การทำร้ายหญิงสาวตระกูลหลิวคนอื่น”
“นางปากสุนัข นางแพศยาหน้าไม่อาย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอฉีกปากสักหน่อยเถิด” ในสมองของหลิวซุนซื่อมีเพียงความคิดที่ว่าไม่อาจปล่อยให้จางกุ้ยฮัวมาวางตัวเหนือคนในครอบครัวนาง
หลิวซุนซื่อเชื่อว่า หากได้สั่งสอนจางกุ้ยฮัวที่เคยชินกับการเชื่อฟังสักหน่อย นางคงไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมาอีกแม้แต่หนเดียว
จินตนาการมักสวยงาม แต่จางกุ้ยฮัวไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นหลิวซุนซื่อแยกเขี้ยวง้างมือจะตะครุบเข้ามา จึงด่าด้วยสีหน้าเยือกเย็นและเขียวคล้ำ “ทำไม หากเ้าอยากตบตีกันสักหน คิดว่าข้ากลัวหรือ”
หึ นางไม่เชื่อว่าตนเองจะอ่อนแอจนสู้หลิวซุนซื่อไม่ไหว
อืม บุตรสาวของนางเคยบอกไว้ การตบตีทะเลาะวิวาท ใครลงมือก่อนได้เปรียบ ถึงอย่างไรเื่ราวบ้าบอเช่นนี้ แม้ว่าผู้าุโในบ้านจะมา ก็คงชี้แจงกันไม่จบไม่สิ้น
ดังนั้น…
จางกุ้ยฮัวะเิอารมณ์ทันใด จัดการน็อคเอาท์หลิวซุนซื่อไปหนึ่งยก
รอจนเมื่อหลิวต้าฟู่กับหลิวซานกุ้ยกลับมาถึง คนทั้งสองก็ทึ้งผมยื้อกันจนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น
จางกุ้ยฮัวเรี่ยวแรงเยอะ กำปั้นต่อยเข้าตรงจุด หลิวซุนซื้อเล็บแหลม เอะอะก็ข่วนลูกเดียว
ผลที่ตามมาสามารถจินตนาการได้ จางกุ้ยฮัวอัดหลิวซุนซื่อไปหนึ่งยก ใบหน้าหลงเหลือรอยข่วนจากหลิวซุนซื่อไว้เป็ ‘หลักฐาน’ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
ทันทีที่หลิวซานกุ้ยเห็นว่าหลิวซุนซื่อกำลังจะยื่นมือไปข่วนใบหน้าของจางกุ้ยฮัว ก็ยกขาขึ้นถีบโดยไม่คิด
หลิวต้าฟู่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ในความเป็จริง เขาตั้งใจจะสั่งให้ลูกชายสามเข้าไปแยกทั้งสองคน ไม่ใช่การ…
ช่างเถิด ไหนๆ ก็ถีบไปแล้ว ถึงอย่างไรเมียเฒ่า่นี้ก็ชอบบ่นว่าหลิวซุนซื่อนั้นเกียจคร้าน เอาข้าวเปลือกในบ้านลากไปขายในราคาที่ต่ำ
เมื่อเขานึกถึงเมล็ดข้าวที่เขาทํางานอย่างหนักเพื่อเก็บเกี่ยวเป็เวลาหนึ่งปีถูกนางเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ ในใจของหลิวต้าฟู่จึงไม่ค่อยชอบนางเท่าใดนัก
เกษตรกรหวงแหนเมล็ดพืชมากที่สุด และพวกเขายิ่งพิถีพิถันในการใช้ชีวิต
แม้ว่าหลิวต้าฟู่จะแต่งงานกับฉีหรุ่ยเอ๋อร์ แต่บ้านนี้ก็กลายเป็ผู้ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม คนที่ขยันและประหยัดอดออมจนเคยตัว จึงไม่ได้เห็นว่าบ้านตนเองนั้นฐานะดีแล้วจะใช้จ่ายมือเติบ หรือขี้คร้านทำมาหากินแต่อย่างใด
ประการที่สอง ก็เพื่อ้าเพื่อพิสูจน์ตนเอง และคอยเตือนสติตนเอง เขาไม่ได้้าจะกลายเป็เ้าบ่าวสีชมพู
คนที่มีนิสัยเช่นนี้ จะทนดูการกระทำของหลิวซุนซื่อได้อย่างไร
หากไม่รู้ก็ไม่เป็ไร แต่หลังจากที่รู้ก็มองนางแล้วไม่สบอารมณ์ กระทั่งหลิวเหรินกุ้ยก็กลายเป็ไม่เชื่อฟัง คนแก่ทั้งสองต่างรู้สึกว่าหลิวซุนซื่อคอยกำกับอยู่เื้ั
“หุบปาก!”
หลิวต้าฟู่ที่เพิ่งไตร่ตรองเื่ราวทั้งหมดได้ชัดเจน เมื่อได้ยินหลิวซุนซื่อร้องโอดครวญอยู่ข้างๆ เขาก็รำคาญเต็มทน
ทันใดนั้น เสียงร้องของหลิวซุนซื่อก็ติดอยู่ในลําคอ เมื่อเห็นว่าหลิวต้าฟู่ที่ไม่ค่อยมีตัวตนโกรธขึ้นมา แล้วเห็นคนในหมู่บ้านชี้มาที่นางพร้อมกับซุบซิบนินทา นางจึงมีไหวพริบขึ้นทันใด แล้วรีบร้องขอความเป็ธรรม
“พ่อ ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับลูกสะใภ้ด้วย นับแต่ข้ากลับมาอยู่ที่บ้าน วันๆ ก็ขยันขันแข็ง ไม่ทำกับข้าว ก็ให้อาหารหมู หรือไม่ก็ซักผ้า กวาดลานบ้าน”
หลิวชิวเซียงพูดแทรกอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงคมคาย “ป้ารอง ั้แ่ข้าเกิดมา เื่งานบ้าน ก็มีแม่ข้ากับพ่อข้าเป็คนดูแล ป้าช่างกล้าเอาความดีความชอบไปให้ตนเอง ข้าที่เป็หลานสาวทนดูไม่ได้อีกต่อไป เพราะย่าข้าเห็นว่าป้าขี้คร้านจนสุดจะทน ครั้งนี้ถึงได้รั้งป้าไว้ให้หัดทำงานบ้านเสียบ้าง”
จางกุ้ยฮัวหัวเราะเยาะ “เพราะเื่แค่นี้น่ะหรือ? พี่สะใภ้รอง เ้ารังแกข้าก็แล้วไป แต่เหตุใดต้องมาสั่งงานลูกสาวข้า ซึ่งเป็หลานสาวแท้ๆ ของเ้าเฉกเช่นทาสรับใช้ เ้าเป็ผู้ใหญ่ ไม่ได้พิการแขนขา มีเื่อันใดที่ทำเองไม่ได้หรือ?”
ฝูงชนที่มุงดูเริ่มกระตือรือร้น
ฉะนั้น จึงเริ่มมีคนนำพูดเื่ยุติธรรมขึ้นมา
“ข้าทนดูไม่ได้มานานแล้ว หากว่าลูกสาวข้าอยู่บ้านแม่สามีแล้วถูกรังแกเช่นนี้ ข้าคงพาลูกชายไปบุกถึงบ้าน”
“นี่ พวกเ้าลืมไปแล้วหรือ บ้านแม่ของจางกุ้ยฮัวฐานะไม่ดี น้องชายก็เอาทรัพย์สมบัติหนีไป เหลือเพียงแม่เฝ้าบ้านอยู่ผู้เดียว อาศัยการทำนาสองแปลงเพื่อเลี้ยงดูตนเอง”
“อนิจจา น่าสงสารจริง ลูกสาวเสมือนแต่งเข้าบ้านที่มีกองเพลิง ส่วนลูกชายก็น่าจะเสียชีวิตอยู่ข้างนอก ต่อไปแก่ตัว ขยับไม่ได้ ใครจะดูแลนางนะ”
ทันทีที่หญิงแม่บ้านเอ่ยขึ้น คนทั้งหมดก็คิดเช่นเดียวกัน
ใครก็ต้องมีลูกสาวที่ต้องแต่งออกเรือนไป และใครก็ต้องมีวันที่ต้องแก่ตายไป
“นี่ ข้าว่าหลิวต้าฟู่ อย่างน้อยซานกุ้ยก็ทำงานเยี่ยงวัวเยี่ยงควายให้บ้านของพวกเ้ามานานหลายปี เ้าจะทำดีกับเขาหน่อยไม่ได้หรือ?”
“เหอะ เอาเถิด ยายแก่อย่างเ้า มาแส่อะไรตรงนี้? รีบกลับบ้านไปทำกับข้าว” จังหวะนี้ มีตาแก่คนหนึ่งด่ายายเฒ่าที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่
คําพูดเหล่านี้เข้าหูหลิวชิวเซียง เพียงแต่รู้สึกผิดปกติบางอย่างชอบกล ส่วนทางนี้ หลิวซุนซื่อก็ร้องไห้ะโโหวกเหวก นางสลัดคำพูดเมื่อครู่ไปอีกทาง
หลิวซุนซื่อที่เสียเปรียบ เมื่อเห็นทุกคนเพ่งเล็งมาที่ตนเอง จึงนั่งลงกับพื้นทันใด ร้องไห้หาบิดามารดา “ลูกสาวที่น่าสงสาร เหตุใดจึงต้องมาเจอกับน้าสะใภ้ที่โเี้เช่นนี้ มีผู้ใหญ่บ้านใดที่ไม่เอ็นดูลูกหลานบ้าง เหตุใดพวกข้าอยู่ที่นี่ กลับกลายเป็ผู้ใหญ่บีบบังคับให้ลูกหลานอยากตาย”
“ท่านแม่ ข้าไม่ควรไม่เชื่อฟังของน้าสะใภ้สาม มิเช่นนั้น นางคงไม่เหยียดหยามข้าเพียงนี้” หลิวจูเอ๋อร์รีบรับไว้และกล่าวต่ออย่างไหลลื่น เมื่อแม่ของตนส่งไม้ต่อมาให้
หลิวซุนซื่อเห็นว่าหลิวต้าฟู่ไม่ส่งเสียง จึงร้องโอดครวญ “ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่อยู่บ้าน พ่อต้องให้ความเป็ธรรมกับพวกข้าด้วย อย่าให้จางกุ้ยฮัวทำร้ายลูกหลานบ้านเราได้ ฮือๆ ข้าแค่ไปช่วยแม่เก็บกวาดบ้าน พอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กำลังคิดจะเรียกจูเอ๋อร์มาช่วยงาน ใครจะรู้ว่า…”
คำพูดั้แ่ต้นจนจบเหมือนพยายามแสดงความขยันหมั่นเพียรของตนให้ผู้อื่นเห็น แต่กลับกล่าวว่าจางกุ้ยฮัวคือผู้ที่ไม่โอบอ้อมอารีกับเด็ก
“เ้า... ข้าไม่ได้ทำ!” จางกุ้ยฮัวโมโหจนพูดไม่ออก
หลิวซุนซื่อยังคิดจะพูดต่อ ส่วนหลิวต้าฟู่ที่โมโหอยู่นานก็ส่งเสียงตวาด “หุบปาก หากยังอาละวาดอีก ก็ไสหัวกลับไปบ้านแม่เ้าเสีย”
เขารู้สึกว่าพวกผู้หญิงชอบสร้างเื่ ยามปกติจึงไม่ชอบยุ่งกับเื่เล็กน้อยเหล่านี้ แม้ว่าเขาอยู่ในบ้านจะเป็เหมือนเสาหลักที่มีแต่ฝุ่นเกาะอยู่นาน แต่เมื่อโกรธขึ้นมา ก็มีความน่าเกรงขามยิ่งนัก
ดังนั้นเมื่อหลิวต้าฟู่โกรธอีกครั้ง ลานบ้านก็เงียบลง ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงสะอื้นไห้
เขาปรายตามองหลิวซุนซื่อด้วยความรังเกียจ ขณะนี้นางไม่ได้มีลักษณะที่สวยงาม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่นผสมกับเหงื่อ กลายเป็เหนียวเหนอะหนะอยู่บนใบหน้า เปื้อนไปทั่วทั้งตัวด้วยสีเข้มและจางเป็จุดๆ บวกกับเมื่อครู่ร้องไห้อย่างหนัก น้ำมูกก็ไหลย้อยออกมา
หลิวชิวเซียงมองน้ำมูกของนางที่ไหลยืดออกมาเรื่อยๆ ‘ด้วยความหวังดี’ จึงไม่ได้เตือนนาง
หลิวต้าฟู่มองสภาพน่าเกลียดของนาง ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์
ความคิดของหลิวจูเอ๋อร์ยังติดอยู่กับเื่จะล้มจางกุ้ยฮัวอย่างไร จึงไม่ได้สนใจสภาพน่าเกลียดของผู้เป็แม่
“ท่านแม่!” หลิวชิวเซียงเดินไปข้างกายจางกุ้ยฮัวอย่างว่าง่าย แล้วขานเรียกพ่อ
หลิวซานกุ้ยผู้ปลอบโยนจางกุ้ยฮัวจึงนึกขึ้นได้และเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“พ่อ ท่านเหนื่อยจากข้างนอกมาทั้งวัน เข้าไปพักก่อนดีกว่า” หลิวซานกุ้ยพลันหันไปทางผู้าุโกว่า นับวันก็ยิ่งพูดจาเป็ อีกทั้งที่พูดออกมาก็ล้วนเป็สิ่งที่หลิวต้าฟู่ชอบฟัง
“หืม เข้าบ้านไปให้หมด” หลิวต้าฟู่มองดูหลิวซุนซื่อด้วยสายตารังเกียจ ใครเล่าจะดูไม่ออกว่าแม่หญิงคนนี้กำลังรังแกภรรยาของเ้าสาม
“ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว บ้านใดๆ ก็ต้องมีเื่ลิ้นกับฟันมีปัญหากันบ้างแหละน่า” สำหรับชาวบ้านที่มุงดู หลิวต้าฟู่ก็ยิ่งรู้สึกโมโห แต่ก็ไม่อยากยั่วโมโหแม่บ้านปากมากเหล่านี้ จึงได้แต่โบกมือ ส่งสัญญาณให้คนในลานบ้านเข้าไปห้องโถงกลาง
หลิวชิวเซียงไปที่ประตูลานบ้านทันใด ขานเรียกลุงป้าน้าอา และเอ่ยวาจานอบน้อม ถึงทำให้ชาวบ้านที่ชอบดูเื่สนุกแยกย้ายกลับไป
เมื่อนางกลับเข้ามา หลิวต้าฟู่ก็นั่งอยู่ตรงเก้าอี้เอนตัวใหญ่ที่อยู่ด้านทิศเหนือของห้องโถง
เดิมทีห้องโถงแห่งนี้เป็สถานที่สําหรับทานอาหาร เพียงแต่หลิวฉีซื่อพยายามเลียนแบบบ้านผู้ดี ติดภาพต้นสนไว้ตรงกำแพงทิศเหนือ ตอนนี้ภาพออกสีเหลือง เดิมที้ายังมีฝุ่นหนาเตอะ นับแต่คุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นเข้ามาพัก วันรุ่งขึ้นภาพนั้นก็สะอาดอย่างน่าอัศจรรย์
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลิวฉีซื่อแอบทำความสะอาดเงียบๆ
ใต้ภาพวาดนั้นมีโต๊ะขนาดไม่ใหญ่ตั้งอยู่ สองฝั่งมีเก้าอี้พนักพิง ทุกครั้งที่ต้องจัดการเื่ราวอะไรในบ้าน หลิวฉีซื่อมักจะชอบนั่งบนเก้าอี้พนักพิงตัวนั้น แล้วสั่งสอนคนในครอบครัวเ้าสาม
“ท่านพ่อ ฮือๆ พ่อต้องให้ความเป็ธรรมกับลูกสะใภ้ด้วย น้องสะใภ้สามช่างดูไม่ออกเลยว่าจะใจไม้ไส้ระกำ บีบบังคับให้หลานสาวของตนเองที่ยังเด็กไปตายได้อย่างไร? ยามปกติดูไม่ออกจริงๆ ฮือๆ ท่านพ่อเองก็เห็นแล้ว นับแต่ข้ากลับบ้านมา เื่ทุกอย่างทั้งนอกบ้านและในบ้านข้าก็ต้องทำเอง เดิมทีเห็นว่าน้องสะใภ้สามนั้นเหน็ดเหนื่อย ข้าเองก็คิดว่า่เวลาที่อยู่บ้าน ้าช่วยเหลือกัน ใครจะรู้ว่า…”
-----