สองชั่วโมงต่อมา
“แพ้อีกจนได้สินะ...”
“ปีสองแพ้ราบคาบเลย โอกาสฆ่าสักครั้งยังทำไม่ได้...เหมือนปีสี่อย่างกับถอดแบบ แพ้ถล่มทลายหมด!”
“จนถึงตอนนี้ ฝ่ายสำนักกวางขาวของเรานอกจากัเีที่ฆ่าห้าศพติดกันแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้สังหารเลยเถอะ!”
“น่าเสียดาย ัเีไอ้เวรนั่น พอดังแล้วก็ชิ่งหนีเลย!”
“อนาถแท้ การแข่งขันใหญ่คราวนี้ หรือพวกเราจะแพ้จนโงหัวไม่ขึ้นจริงๆ ล่ะนี่?”
เหล่านักเรียนสำนักกวางขาวสิ้นความภาคภูมิใจ ทั้งเกลียดชังและขมขื่น
“นี่แหละระยะห่างของพลัง จำใส่สมองไว้เถอะ!” ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าที่เชิดหน้าอย่างสูงส่งหัวเราะเย็น
“เ้า...” นักเรียนสำนักกวางขาวโกรธจนไฟลุก
ศิษย์สำนักหงส์ฟ้า นับแต่สมรภูมิที่สามเป็ต้นมาก็มายืนอยู่ตรงหน้า หัวเราะเยาะเย้ยทุกท่วงท่าที่นึกออก แสดงความเหนือกว่าของตัวเองให้เป็ที่ประจักษ์ เหล่าศิษย์กวางขาวโกรธจนกัดฟันเจ็บ ทว่าก็ไม่มีหนทางจะหักล้างอะไรได้
“เป็ไรเล่า? พวกพลังชั้นสวะ ควบคุมอารมณ์ก็ไม่ได้เื่ หากข้าเป็ศิษย์กวางขาวคงฆ่าตัวตายให้เละเป็เต้าหู้ไปนานแล้ว” ศิษย์สาวจากสำนักหงส์ฟ้าผู้ผิวขาวกระจ่างหัวเราะเบาๆ “คิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออก ว่าสำนักขยะพรรค์นี้เข้าเป็หนึ่งยอดสิบสำนักได้อย่างไร ทำให้พวกเราที่เป็หนึ่งในสิบรู้สึกขายขี้หน้าจริงๆ เถอะ!”
“พวกเ้า...อย่าอาละวาดมากนักจะได้ไหม!” คนตัวโตแข็งแรงเหมือนหมีดำตวาดขึ้นมา ดูท่าบรรดาศิษย์กวางขาวผู้อ่อนด้อยจะโกรธจนกัดฟันแหลกไปแล้ว
“ทำไม? เ้าหมีดำั์ ไม่ยอมแพ้เหรอ?” ศิษย์สตรีกลอกตา ปลายคิ้วเรียวเชิดสูง “เ้าเชื่อไหม ว่าอีกรอบต่อจากนี้ พวกเ้าก็ยังฆ่าไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว!”
“คนที่ออกศึกคราวนี้คือาามารเย่ เ่ิู เขาต้องสั่งสอนพวกเ้าหลาบจำแน่ คอยดูไปเถอะ!” แกร่งกร้าวประหนึ่งเสียงอึกทึกของสำนักกวางขาวทั้งสำนัก
“ฮ่าๆๆ!”
“ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลยสินะ!”
“ศิษย์ปีหนึ่งรุ่นนี้ เป็รุ่นที่พร์สูงลิ่วที่สุดในรอบสิบปี โดยเฉพาะศิษย์น้องสวี่เกอ ถูกขนานนามว่าเป็ดาวดวงต่อไปของสำนักหงส์ฟ้า ต้องชนะพวกบ้านนอกบ้านนานี่ขาดลอยอยู่แล้ว!”
ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าหัวร่อเยี่ยงกำเริบเสิบสานหนัก
ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าคางแหลมเอ่ยเบาๆ ข้างหูศิษย์สาว
นางดวงตาเปล่งประกายชั่วแวบก็พยักหน้าเข้าใจ “กล้าพนันกับข้าไหมล่ะ? เ้าหมีดำ!”
“พนันอะไร?” บุรุษร่างโตดั่งหมีดำคำรามอย่างโกรธขึ้ง “พูดมา คิดว่าข้าสงเหยียนคนนี้จะกลัวหรือไร?”
“สงเหยียนใช่ไหม? พนันง่ายมาก หากเ่ิูที่เ้าพูดถึงคนนั้นสังหารฝั่งหงส์ฟ้าไม่ได้” ศิษย์หญิงตางามเหลือบมองสหายคางแหลม ส่งสีหน้าให้เป็สัญญาณ จากนั้นเขาก็ขากเสลดลงพื้น หญิงตาสวยแววตาท้าทายไม่ปิดบัง “เ้าก็ต้องคุกเข่าลง แล้วกินเสลดนี่ซะ”
“อะไรนะ?”
“จะเกินไปแล้ว...”
“ศิษย์ของสำนักหงส์ฟ้า ไม่ได้สั่งได้สอนขนาดนี้เลยหรือ?”
ศิษย์สำนักกวางขาวโดยรอบร้อนรน ข้อเสนอเช่นนี้มันหยามน้ำหน้ากันชัดๆ นักเรียนหงส์ฟ้าพวกนี้จะทำกันเกินไปแล้ว ครูบาอาจารย์คงไม่สั่งไม่สอนจริงแท้
“ถ้าศิษย์พี่เย่ได้ฆ่าเล่า? เ้าจะกินเสลดนี่ไหม?” ชายร่างใหญ่ดั่งหมีถามกลับ
“ไม่มีคำว่าถ้า” นางตอบกลับด้วยยิ้มเย็น
“ในเมื่อเป็การพนัน ก็ต้องมีฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าเองก็จะไม่ให้เ้ากินเสลด เื่หยามน้ำหน้าพรรค์นี้ สำนักกวางขาวของเราไม่ทำ เงื่อนไขของข้าง่ายนิดเดียว หากศิษย์พี่เย่สามารถสังหารพวกเ้าได้แม้แต่ครั้งเดียว เ้าต้องคุกเข่า พูดว่า ‘สำนักหงส์ฟ้ามันกากเดน’ สามครั้ง” สงเหยียนจ้องด้วยแววตายั่วยุและดูถูก “อย่างไรเล่า? ถ้าไม่กล้าก็บอกมา”
ศิษย์หญิงหงส์ฟ้าถูกแววตาคู่นั้นทิ่มแทงไปยันกระดองใจ นางเปิดปากตอบรับ “ทำไมจะไม่กล้า ข้ารับปากเ้าแล้ว ก็ตามนี้แล้วกัน”
ศิษย์หงส์ฟ้ารอบด้านะเิหัวเราะกันขึ้นมา ไม่ห่วงหาอะไรแม้แต่น้อย
สำนักหงส์ฟ้าไร้พ่ายอยู่แล้ว
...
...
“เตรียมตัวเถิด รอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นแล้ว”
เ้าสำนักปราศรัยโดยถ้วนทั่ว
้าเทวรูปจักรพรรดิอักขระลัวซู่พลันบังเกิดแสงทองส่องสาด ปกคลุมทั้งฉินอู๋ซวง เซี่ยโหวอู่ ซ่งชิงหลัว ่เี่ิและเ่ิูไว้
เ่ิูรู้สึกั์ตาเห็นแสงจ้า รอบกายให้ความรู้สึกอุ่นอ่อน ราวกับกำลังแช่ในน้ำอุ่น และรู้สึกถึงบางอย่างได้ถูกปอกออกไปจากร่างกาย...
พริบตาต่อมา ความรู้สึกร่วงหล่นจากที่สูงก็เข้ามาแทนที่
ตูม!
เท้าััพสุธา
แสงสีทองโชติ่มลายหาย
ทุกอย่างตรงหน้าแปรเปลี่ยนจนสิ้น
ตอนนี้เขามายืนอยู่บนแท่นบูชาหินสีน้ำเงินโบราณสูงเก้าเมตร บนริ้วลายหินผาอันแสนชุ่ย มีพื้นผิวอักขระสถิตอยู่ เรียงลงมาเป็ลำดับๆ ยืดขยายไปเบื้องล่าง!
เ่ิูเหลียวซ้ายแลขวาอยู่บนแท่นบูชา
ใจกลางแท่นบูชานั้นเป็เทวรูปของจักรพรรดิอักขระลัวซู่น้อยใหญ่ ความละเอียดถือว่าสุกเอาเผากิน ราวกับผ่านร้อนผ่านหนาวมานานปี รูปปั้นมีตุ่มตะปุ่มตะป่ำ เรียงเป็แถวด่างพร้อย คิ้วและั์ตาแทบจะเลือนหายหมดแล้ว แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ทั้งร่างกลับยังเปี่ยมไปด้วยจิติญญา
ตูมๆๆๆ!
ทันใดนั้นก็มีเสียงกัมปนาทดังอีกสี่ครา แสงสีทองส่องจากฟากฟ้า ร่างทั้งสี่ก็ปรากฏอยู่บนสังเวียนเก่าแก่ในบัดดล
คือฉินอู๋ซวง เซี่ยโหวอู่ ซ่งชิงหลัวและ่เี่ิ
ไม่รู้เพราะเหตุใด พวกเขาถึงลงมาทีหลังเ่ิูครู่ใหญ่
“พี่ชิงหยู” ่เี่ิรี่เข้ามาหาเ่ิู เอาดวงหน้าน้อยๆ ถูแขนเขา
เ่ิูลูบหัวนาง
“ที่นี่คือสมรภูมิหุบเขาปัดป้องใช่ไหม?” ซ่งชิงหลัวสูดลมหายใจเข้าลึก “พลังใต้หล้าเข้มข้นกว่าภายนอกเยอะมาก เป็ที่ๆ เหมาะกับการฝึกฝนจริงอย่างที่ข้าคิด!”
“ยินดีต้อนรับสู่หุบเขาปัดป้อง เหล่าผู้กล้าแห่งมวลมนุษย์ ความรุ่งโรจน์กำลังรอคอยพวกเ้าอยู่!”
สุรเสียงเรืองอำนาจและกังวานกลางอากาศธาตุ
ราวกับเป็สุรเสียแห่งเทพเ้า
คือเสียงของจักรพรรดิอักขระลัวซู่
เพราะเป็ผู้สถาปนาหุบเขาปัดป้อง พระองค์ได้กักเก็บสุรเสียงไว้กับกระบวนอักขระเสียงพิเศษ ใครก็ตามที่ได้เหยียบย่างเข้าสู่สมรภูมิหุบเขาปัดป้อง จักได้ยินประโยคนี้ถ้วนทั่วกัน นำพาความเชื่อมั่นและความหาญกล้าให้แล่นพล่านในสายเืของจอมยุทธ์ชาวมนุษย์
“ข้าไปทิศพายัพ!” ฉินอู๋ซวงทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป
“ข้าไปทิศอีสาน!” เซี่ยโหวอู่เองก็เลือกทาง ะโลงจากสังเวียน เขาเหลือบมองอีกสามคนที่เหลือ น้ำเสียงเต็มเปี่ยมด้วยคุกคามและเยียบเย็น “อย่าตามข้ามาล่ะ”
ในหุบเขาปัดป้องนี้ มีทางให้เลือกคือทิศอุดร พายัพ อีสาน รวมทั้งกองทัพติดตามไปในแต่ละทางด้วย
และตำแหน่งที่เ่ิูยืนอยู่นี้ก็คือกองบัญชาการ
เดินจากกองบัญชาการลงมา ห่างไปหมื่นเมตรจะเป็พระราชวังของเผ่า รอบพระราชวังมีรูปปั้นพิทักษ์อยู่สิบตน ด้านในสลักกระบวนอักขระโจมตีไว้ ยามประสบกับศัตรู มันจะสาดแสงทุกๆ สิบวินาที ปล่อยลำแสงทำลายล้างออกมา เป็หนึ่งในพลังพิทักษ์พระราชวังทางหนึ่ง
ไกลออกไปอีกเป็แนวกำแพงสีน้ำเงินใหญ่ั์ โอบล้อมกองบัญชาการไว้ใต้อาณัติ
กำแพงสีน้ำเงินมีประตูใหญ่ทั้งหมดสามแห่ง แยกเป็ไปทางทิศพายัพ อุดรและอีสาน สู่หุบเขาแตกต่างกันสามทิศ
หุบเขาทั้งสามนี้คือเส้นทางสามสาย
เมื่อเดินไปตามทิศของหุบเขาจะพบกับทางที่คนโบราณเหยียบย่ำเป็ทางราบเพื่อออกมาสู่กองบัญชาการ แล้วก็ยังเป็เพียงทางเดียวที่ศัตรูจะบุกเข้ามาได้ด้วย
นอกจากทางสามแพร่งนี้แล้ว เขตอื่นๆ ของสมรภูมิหุบเขาปัดป้องก็ล้วนแล้วแต่เป็ป่าดิบทึบ วังเวงอุดมด้วยสัตว์เดรัจฉาน สัตว์ิญญาอันตรายทุกชนิดเท่าที่นึกออก นอกจากนั้นก็เป็อากาศพิษ หลุมพราง น้ำท่วม เทือกเขาและทะเลที่เต็มไปด้วยโขดหิน มีอันตรายและขวากหนามมากเกินจะนึกออก พลรบอักขระยากยิ่งจะฝ่าเข้ามาได้
รอจนสมรภูมิเปิดฉากเต็มตัวก่อนเถิด กองบัญชาการทั้งสองฝ่ายจะมีทหารหาญกำเนิดขึ้นไม่ขาดสาย เดินทัพออกไปทางสามประตูนี้ แล้วตรงสู่หุบเขาทั้งสาม โรมรันห้ำหั่นกับทัพศัตรู
ทหารอักขระเหล่านี้อยู่ในระดับแตกต่างกันของสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ความสามารถในการต่อสู้ก็จะลดหลั่นตามไปด้วย
ยามนี้ สมรภูมินี้เปิดฉากขึ้นเพื่อเหล่าศิษย์เยาว์วัยเหล่านี้ศึกษาการทำาพื้นฐานโดยเฉพาะ ทหารอักขระที่เกิดขึ้นจักมีพลังกายน้อยมาก เทียบได้กับคนที่เพิ่งฝึกวรยุทธ์เข้าอาณาพิภพได้ขั้นแรกเท่านั้น
และสำหรับคนเช่นเ่ิูที่ได้ร่วงหล่นลงมาในสมรภูมินี้ บทบาทของเขาคือต้องสั่งการทหารเหล่านี้และจัดการวางกับดักหลุมพรางทั้งหลาย
พลังแห่งผู้แข็งแกร่งจักแสดงออกมาหมดทุกเม็ดในยามา พลังของทหารใต้บังคับบัญชาทั้งสองฟากฝั่งจะอยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด การจะปราชัยหรืออปราชัยนั้น ขึ้นอยู่กับผู้ย่างกรายมาถึงเท่านั้น
มีเพียงแต่จะต้องปรากฏกาย ณ ที่แห่งนี้เท่านั้น จึงจักสามารถััความสมบูรณ์แบบแห่งสมรภูมิหุบเขาปัดป้องได้
ที่แห่งนี้ประหนึ่งเป็โลกของจริง
ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจริงราวกับถอดแบบมา ยามยืนอยู่บนกองบัญชาการนี้ จะได้ยินแม้แต่เสียงของพงไพรอันเปล่าเปลี่ยวหรือเสียงคำรามระงมของสัตว์ป่าน่ากลัว ได้ยินกระทั่งเสียงสายพายุกรีดร้องผ่านผืนป่า เห็นหุบเขาสูงตระหง่านดั่งสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ใต้ม่านหมอกพิษ...
กลางกองบัญชาการยังมีสิ่งปลูกสร้างและเทวรูปปกปักอยู่อีกไม่น้อย
หากสิ่งก่อสร้างเ่าั้ถูกทำลายจนเตียนหมด ก็เท่ากับว่าพ่ายแพ้
วัตถุประสงค์สุดท้ายของทั้งศิษย์สำนักหงส์ฟ้าและสำนักกวางขาว ล้วนคือการทำลายทุกสิ่งในกองบัญชาการของอีกฝ่ายให้ราบเป็หน้ากลอง กอบกุมชัยชนะไว้ให้จงได้
“ข้าได้ยินมาว่าในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนั้น เวลาไม่เหมือนกับข้างนอก ที่นี่เชื่องช้ากว่ามาก หนึ่งชั่วโมงของข้างนอกเท่ากับสามวันของที่นี่”
ซ่งชิงหลัวราวพูดกับตัวเองก็ไม่ปาน
“เป็เช่นนี้ก็เท่ากับว่า สมรภูมิสามรอบก่อนหน้านี้ใช้เวลาสองชั่วโมง พวกเราต้องอยู่ที่โลกนี้อย่างน้อยหกวัน!” เ่ิูพยักหน้า
ระยะที่มาถึงที่นี่ก็ผ่านไปสิบห้านาทีแล้ว
ฉินอู๋ซวงและเซี่ยโหวอู่แยกออกไป เ่ิูและอีกสองคนสำรวจกองบัญชาการทั้งนอกทั้งในอย่างละเอียด และบันทึกไว้ในสมอง ถึงตอนอยู่โลกภายนอกจะมีอาจารย์ผู้ชำนาญการพิเศษบรรยายสภาพการณ์พวกนี้ให้แล้วก็ตาม ทว่าการได้ยินได้ฟังจากปากคนอื่น กับการรู้สึกด้วยตัวเองมันต่างกันลิบลับ