“ เด็กน้อยให้เ้าอ่านให้ครบทั้งสามเล่มแล้วข้าจะพาเ้า ดูสมุนไพรที่ยังไม่ได้แปรรูปหรือตากแห้งเหมือนอยู่ในถ้ำนี้เพื่อเ้าจะได้ศึกษากับของจริง”
“ จริงหรือเ้าคะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เก็บสมุนไพรไปปรุงยาขายหรือขายสมุนไพรไปเลยก็ได้ใช่ไหมเ้าคะ”
“ นั้นก็แล้วแต่เ้าเถอะว่าจะทำอย่างไง แต่ที่จะพาไปดูคือสมุนไพรที่อยู่ตามในหนังสือนี้ว่าต้นจริงของมันเป็ยังไงเพื่อให้เ้าได้จดจำ และสามารถเอามันมาปรุงเป็ยาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้”
เย่วซิงตาเป็ประกายทันที ช่วยเหลือผู้อื่นนางต้องช่วยเหลือผู้อื่น แต่ถ้าผู้อื่นมีมุกิญญาให้นางก็ไม่เกี่ยงที่จะรับ โดยที่ผู้ให้ไม่ได้เดือดร้อน
ม้าเทาขนสัมภาระมาให้ตอนเย็น เย่วซิงต้องเดินหาไม้มาทำฟืนเพื่อก่อไฟอยู่ปากถ้ำ ิญญาหญิงสาวอยู่ท้ายถ้ำเพราะนางชอบอากาศมืดสลัว ไม่เหมือนกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่ในที่มีแสง และอากาศระบายถ่ายเท ทำให้ถ้ำนั้นโปร่งโล่งสบาย แต่ถ้ำต่างกันมืดทึบเต็มไปด้วยพลังหยิน
“ ก็น่าแปลกเราไม่กลัวความมืดและิญญาั้แ่เมื่อไหร่กัน ถ้ำมืดขนาดนี้ถ้าเป็สมัยก่อนอย่าว่าแต่เข้ามาอยู่เลย แค่เดินผ่านยังไม่อยากเดินใกล้ กลัวั้แ่สัตว์ที่อยู่ในถ้ำและิญญา ซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า”
เย่วซิงใช้เวลาสามวันในการศึกษา หนังสือสามเล่มที่พอจะรู้คร่าวๆแล้ว ต่อไปก็ถึงภาคสนามที่ต้องปฏิบัติ
“ ต้องออกไปหาสมุนไพรในเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะกลางวันข้าไม่อาจสู้แสงได้ แต่กลางคืนเ้าจะมีอันตรายจากสัตว์มีพิษหรือสัตว์ดุร้าย ที่ออกหากินตอนกลางคืน”
“ ถ้าอย่างนั้นเพื่อไม่เป็การเสียเวลา กลางวันข้าจะออกตามหาสมุนไพรที่อยู่ในหนังสือนี้ไปก่อน และตอนกลางคืนก็ออกไปหาสมุนไพรที่ตอนกลางวันหาไม่เจอก็แล้วกันนะเ้าคะ”
“ เอาแบบเ้าว่าก็ได้ แต่สมุนไพรมันจะเติบโตในที่มนุษย์ไม่ค่อยเข้าไปถึง ซึ่งก็เข้าป่าไปลึกเ้าก็ระวังตัวด้วย”
เย่วซิง“แถวนี้ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีใครผ่านมา ั้แ่เดินเข้าป่ามายังไม่เคยเจุ์หน้าไหนเลยเ้าค่ะ ไม่ใช่ว่ามันก็อยู่ส่วนลึกของป่าแล้วหรือ”
“ ที่นี่มีมนุษย์มาแต่ว่านานๆจะเห็นมาสักคนหนึ่ง ส่วนมากจะเป็นายพราน ที่เข้ามาล่าสัตว์ิญญาเพื่อเอาแก่นพลังไปขาย หรือคนที่เข้ามาหาสมุนไพร ”
“ นกฮูกกับม้าเทา เ้าทั้งสองถ้าไม่มีอะไรทำก็ไปช่วยข้าหาสมุนไพร หลายตาช่วยกันหาจะได้ไวขึ้น” นกฮูกข้าเป็สัตว์ต้องพักผ่อนกลางวัน แต่มันก็บินตามไปด้วยเพราะในป่านี้ แทบจะไม่มีแสงแดดรอดลงมาถึงพื้นดิน
เย่วซิงเดินลึกเข้ามาในป่าใหญ่ นางมีมนต์คาถาป้องกันตัวเองได้ จึงไม่กลัวสัตว์อสูริญญาในป่า ถ้าสู้ไม่ได้ก็แค่หนี เท่านั้น
“ เอ๊ะทำไมตรงนั้นถึงมีร่างโปร่งแสงของเสือวิ่งวนไปมาหน้าปากถ้ำ หรือว่ามัน้าความช่วยเหลือ ข้าแวะเข้าไปดูก่อนเ้าเทาให้ข้าลงตรงนี้”เย่วซิงเดินเข้าไปหาเสือโคร่ง
“ ิญญาเสือโคร่งเ้ามีเื่อันใดรึถึงวิ่งวนไปมาอยู่หน้าถ้ำแบบนี้ หรือว่าในถ้ำนั้นมีสิ่งที่เ้ายังห่วงหาอาลัยอยู่ในนั้น”
“ มนุษย์เ้ามองเห็นข้าแถมยังสื่อสารกับข้าได้ด้วย ข้าตายไปนานแล้ว ลูกและภรรยาของข้าอยู่ในถ้ำ ตอนนี้นางกำลังป่วยหนัก ถ้านางเป็อะไรไปลูกข้าจะอยู่ยังไง ข้าช่วยเหลืออะไรไม่ได้จึงได้แต่วิ่งวนอยู่หน้าถ้ำเช่นนี้”
“ ถ้าเช่นนั้นข้าจะขอเข้าไปดูพวกเขาก่อนเผื่อข้าจะช่วยได้”เย่วซิงเดินเข้าไปในถ้ำใหญ่ ที่ดูโล่งมีเพดานถ้ำที่สูง มีหินงอกหินย้อยอยู่เต็มไปหมด
“ ดูเหมือนแม่เสือจะป่วยหนักมีลูกน้อยสองตัว ิญญาเสือโคร่งมันบอกตายไปนานแล้ว แต่ลูกของมันยังเล็ก แสดงว่ามันเสียชีวิตั้แ่แม่เสือตั้งครรภ์ หรือว่าสัตว์อสูริญญาจะตั้งท้องนานกว่าเสือปกติ ที่ตั้งท้องไม่เกินสี่เดือน ก็คลอดแล้ว”เย่วซิงพูดกับนกฮูกที่บินเข้ามาด้วย
บทท่องมนต์คาถาดังขึ้นข้างกายแม่เสือที่นอนหายใจรวยริน พอเย่วซิงท่องจบแม่เสือก็มีแรงยืนขึ้น และเดินเข้าไปหาลูก ที่เป็แบบนั้นเพราะนางท่องสองบทคือรักษาและทำให้ร่างกายมีแรงขึ้น
“ ขอบใจเ้ามากมนุษย์ที่ช่วยเหลือข้า ข้าหายดีแล้วและรู้สึกแข็งแรงขึ้น เ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าป่วยอยู่ที่นี่”
“ ข้าเห็นิญญาเสือโคร่ง สามีของเ้าวิ่งวนอยู่หน้าปากถ้ำ บอกว่าเ้ากำลังป่วยหนักลูกกำลังเล็กข้าจึงเข้ามาดู”
แม่เสือได้ยินดังนั้นมันหมอบหัวลงกับพื้นมีน้ำตาไหลรินออกมาจากตา
“ ไม่ว่าจะเป็มนุษย์หรือสัตว์ ต่างก็มีความรักความรู้สึกไม่ต่างกันสินะ แม่เสือเ้าอย่าเศร้าเสียใจไปจงตั้งใจเลี้ยงลูกของเ้าให้ดี สามีของเ้าจะได้หมดห่วงและไปอยู่ในที่ิญญาควรจะอยู่”
เย่วซิงเดินออกมายังปากถ้ำ ิญญาเสือโคร่งยังยืนอยู่“ ภรรยาของเ้าปลอดภัยแล้ว เ้าก็เข้าไปสั่งลาพูดคุยกับนางเสีย ดูเหมือนนางยังเศร้าเสียใจกับเื่ที่เ้าจากไป”
“ มนุษย์น้อยเ้าอย่าพึ่งไปไหนรอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าขอเข้าไปสั่งลานางและลูกก่อน” ิญญาเสือโคร่งวิ่งหายเข้าไปในถ้ำ
“ ดูเถอะเสือมันยังเป็ห่วงเมียและลูก แต่พ่อแม่ของเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนั้น กลับละเลยลูกสาวของตัวเอง เฮ้ย!ไม่รู้จะพูดยังไงกับจิตใจมนุษย์”
ิญญาเสือโคร่งหายเข้าไปในถ้ำสักครู่หนึ่งก็กลับออกมา“ เพื่อตอบแทนบุญคุณเ้าตามข้ามาทางนี้” ิญญาเสือโคร่งวิ่งนำหน้า เข้าไปด้านในป่าเย่วซิงรีบขึ้นม้าตามเข้าไป
ิญญาเสือโคร่งหยุดรอที่หน้าปากถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นนางเข้ามาใกล้แล้วมันก็เดินเข้าไปในถ้ำ เย่วซิงเดินตามเข้าไปในถ้ำที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ลึกเข้าไปข้างในมีกลิ่นเหม็นอับ
“ นี่คือถ้ำที่เหล่าสัตว์อสูริญญาใกล้ตายจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ และก้อนกลมสีที่วางอยู่บนผนังถ้ำ คือแก่นพลังที่เ้าต้องใช้เพิ่มพลังให้ตัวเอง”
“ มีหลายสีหมายความว่ายังไงแล้วข้าต้องทำยังไงถึงจะได้รับพลัง จากแก่นพลังพวกนี้ เสือโคร่ง”
“ สีทองมาจากิญญาสัตว์อสูรระดับสูง ต่อมาก็เป็เงิน สีม่วง สีน้ำเงินสีเขียวสีส้มสีแดงที่ไล่ระดับต่ำลงมา ส่วนแก่นิญญาเ้าก็กลืนกินลงไป”
“ ห้ะ!! กลืนกินลงไปเนื้อสัตว์ข้ายังไม่อยากกินเลยมีวิธีอื่นไหม ข้าอดคิดไม่ได้ว่าแก่นิญญาก็มาจากเืเนื้อของสัตว์”
“ถึงมันจะมาจากสัตว์แต่มันคือของพิเศษเป็ตบะ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเืเนื้อของอสูริญญาเสียหน่อย”
“ หรือไม่เ้าก็ลองใช้ฝ่ามือจับดู ถ้ามันหายเข้าไปในฝ่ามือแสดงว่าเ้ารับแก่น พลังทางฝ่ามือได้”
เย่วซิงลองใช้ฝ่ามือจับก้อนแสงสีม่วงดู“ โอ๊ะ! มันหายเข้าไปในฝ่ามือของข้าจริงด้วย งั้นก็จับสีที่มีพลังสูงก่อน สีเงินแต่ไม่เห็นมีสีทองแฮะ ที่เหลือก็เก็บไปขาย”
“ เสือโคร่งก้อนแสงที่ข้าจับไปหายเข้าไปในมือหมด แล้วอย่างนี้ข้าจะเอาไปให้ผู้อื่นหรือเอาไปขายได้ยังไงล่ะ”เย่วซิงหันไปมองพ่อเสือโคร่ง ที่ออกไปรอที่ปากถ้ำแล้ว
“ หรือว่าหลีกเลี่ยงััโดยตรงใช้ผ้าห่อ” คิดได้ดังนั้นเย่วซิงใช้ชายกระโปรง ห่อลูกแก้วลงไปในถุงย่าม และรีบเดินออกจากถ้ำนางก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้
“ เสือโคร่งเ้าจะไปแดนิญญาสัตว์ที่ตายแล้ว ด้วยตัวเองหรือว่าให้ข้าท่องมนต์คาถาส่งเ้าไป”
“ เ้าท่องมนต์คาถา ให้ข้าน่าจะได้ผลที่ดีกว่าเ้าท่องมนต์มาเถอะข้าพร้อมแล้ว”เย่วซิงท่องมนต์คาถาส่งิญญาเสือโคร่งไปเกิดใหม่
“ ทำไมร่างกายข้าถึงแปรปรวนแบบนี้ล่ะแล้วจะไปหาสมุนไพรมาปรุงยาได้ยังไงกัน เ้าทั้งสองเจอสมุนไพรสักต้นบ้างหรือยัง ข้าต้องหาที่นั่งสมาธิแล้ว หรือเป็เพราะว่าข้ารับแก่นพลังเข้าไปเยอะเกินไป ทำให้ร่างกายร้อนวูบอึดอัดเช่นนี้”
เย่วซิงมองซ้ายขวา วิ่งไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนั่งทำสมาธิ โดยมีม้าสีเทาและนกฮูกเฝ้าอยู่ใกล้ๆ นางใช้เวลานั่งไปสองชั่วยามลืมตาขึ้นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดินแล้ว
“ สงสัยต้องหาสมุนไพรตอนกลางคืนแล้ว เรากลับไปหาิญญาพี่สาวที่ถ้ำกันเถอะ”
“ รู้สึกว่ามีพลังเพิ่มขึ้น น่าจะเป็เพราะแก่นิญญาของอสูร เอ๊ะ! เชือกรัดมือมีจุดสีเขียวเป็โลหะเพิ่มขึ้นด้วยแสดงว่าที่ช่วยเสือโคร่งไปได้พลังความดีมาด้วย”เย่วซิงนั่งอยู่บนหลังม้าสีเทายกแขนขึ้นมาดูลูบเบาๆ ตรงโลหะสีเขียว ที่ปรากฏบนเส้นด้าย
“ เ้าเตรียมตัวให้พร้อม สิ้นแสงพระอาทิตย์เราจะออกไปตามหาสมุนไพรกัน ถึงเ้าจะไปหากลางวันก็ใช่ว่าจะหาได้ง่าย”
“ กลางคืนมืดข้าต้องจุดไฟคบเพลิงไปด้วย ิญญามองเห็นแต่ข้ามองไม่เห็น ถ้ามีไฟฉายสปอร์ตไลท์ก็คงจะดี เฮ้ย!ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ตอนนี้อยู่คนละโลก”เย่วซิงเดินบ่นมือก็เก็บกิ่งไม้แห้งมามัดทำคบเพลิงไว้หกมัด เอาไปไว้บนหลังม้า
ิญญาสาวและเย่วซิงออกจากถ้ำเดินทางเข้าป่าใหญ่ตามหาสมุนไพร“ ดีที่ยังมีม้าอาศัยนั่งได้ถ้าเดินเอง คงจะลำบากและเหนื่อยไหนจะต้นหญ้าที่สูง สัตว์มีพิษกลับออกไปคราวนี้ ต้องหาชุดที่ดีกว่านี้และรองเท้าเดินป่าอย่างดีมาใส่แล้ว”
ิญญาสาวพาเย่วซิงออกมาหาสมุนไพร ทั้งคืนจนรุ่งสางเห็นแสงพระอาทิตย์รำไรจึงได้รีบกลับถ้ำ
“ เด็กน้อยเ้าพอรู้จักต้นสมุนไพรของจริงแล้ววันนี้ข้าจะสอนเ้าปรุงยา เ้าหาอะไรกินแล้วพักผ่อนสักครู่ข้าจะได้เริ่มสอนเ้าเลย”
“ พี่สาวจะสอนเลยก็ได้เ้าค่ะตอนนี้ยังเช้าอยู่ถ้ายังไม่หิว จะไปอาบน้ำก็ไม่ได้หนาว ข้ายังไหวสอนมาได้เลย” เย่วซิง ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เดินทางทั้งคืน ถึงจะอยู่บนหลังม้าเป็ส่วนมากก็เถอะ แถมกลางวันก็ออกไป ช่วยครอบครัวเสือโคร่งในป่าทั้งวัน แต่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรือเพลียเลย
“ เด็กน้อยเ้ามาเตรียมสมุนไพร ที่ตากแห้งแล้ว มาวางไว้เตรียมหม้อปรุงยา และจุดไฟ ”
“ หม้อปรุงยาวางอยู่ในนี้นานคงจะเปื้อนฝุ่น ข้าขอเอาไปทำความสะอาดที่น้ำตกก่อน จะได้ตักน้ำใส่กระบอกมาไว้ดื่มกินด้วย”เย่วซิงวิ่งออกไปยังน้ำตก
“ เ้าม้ามากินหญ้าอยู่แถวน้ำตกตรงนี้เลย มันร่มรื่นน่าพักผ่อนดีนะ ข้าไปเรียนปรุงยาก่อนเพราะสายๆข้าจะมาอาบน้ำ”ม้าสีเทามองเย่วซิง บอกมันเพื่ออะไรหรือว่ามันเดินทั้งคืนสกปรก จนต้องไปอาบน้ำเหมือนนางกัน
เย่วซิงเดินเข้ามาในถ้ำ รีบจุดไฟที่มีก้อนหินวางไว้ น่าจะตอนที่ิญญายังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแต่นางเสียชีวิตลงก่อน
“ เด็กน้อยใส่สมุนไพรแห้งสีฟ้านั้นลงไปก่อนมันจะมีสรรพคุณเป็น้ำ ที่จะช่วยให้สมุนไพรตัวอื่นละลายในหม้อปรุงยาและจับตัวเป็ก้อน ตามด้วยสมุนไพรสีน้ำตาล” ิญญาสาวคอยบอกอยู่ใกล้ๆ ที่นางไม่เรียกชื่อสมุนไพร เพราะมันไม่มีรูปร่างเก่าให้เห็นแล้ว บางตัวก็เป็ผงห่อกระดาษ
“ เ้าดูไฟด้วยต้องสม่ำเสมอไม่อ่อนและไม่แรงเกินไป พอมีกลิ่นออกมาแสดงว่ายาใกล้สำเร็จแล้ว เ้าต้องนั่งเฝ้าห้ามลุกไปไหนเด็ดขาด”