นายท่านหนีนึกสงสัย ว่ามีสิ่งใดดลใจให้นายท่านสวีและสวีซื่อ มาเอ่ยปากขอโทษพร้อมกันเช่นนี้ได้?
ทันใดนั้น ลวี่ซย่า สาวใช้ของเว่ยอี๋เหนียง ก็เดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า แล้วกล่าวว่า “นายท่าน เว่ยอี๋เหนียงไม่ยอมกินอาหารและยา ทุกคืนก็เอาแต่ร้องไห้จนไม่เป็อันทำอะไร ขืนยังเป็เช่นนี้ละก็ ข้าน้อยเกรงว่าสุขภาพนางอาจจะทรุดหนักได้ ดังนั้นจึงมาขอให้ท่านไปดูเว่ยอี๋เหนียงเ้าค่ะ”
นายท่านหนีหันไปถามเสียงต่ำ “นางเป็ถึงขนาดนี้แล้วหรือ ทำไมเ้าไม่รีบมารายงานเล่า?”
ลวี่ซย่าจึงตอบ “เพราะนายท่านเคยบอกไว้ว่า หากเว่ยอี๋เหนียงยังไม่อาการหนักจน... จนปางตาย ก็ห้ามมารบกวนเ้าค่ะ”
นายท่านหนีโกรธจนพูดไม่ออก เขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วก้าวออกไปทันที
สวีซื่อที่กำลังจะอ้าปากรั้งตัวสามี จำต้องกลืนคำพูดลงไป เพราะรู้ดีว่าตนไม่อาจทำแบบนั้น จึงได้แต่กักเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ
ด้านลวี่ซย่า พอคารวะสวีซื่อแล้ว ก็รีบเดินตามนายท่านหนีไปติดๆ
...
ภายในห้องนอนที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นยา
เว่ยอี๋เหนียงกำลังนอนอยู่บนเตียงใหญ่ด้วยใบหน้าซีดเผือด น้ำตาคลอเบ้าจนสองตาแดงช้ำ ดูน่าเป็ห่วงมากทีเดียว
นายท่านหนีก้าวเข้ามานั่งลงข้างเตียงทันที เขามองสภาพของอนุภรรยา ก่อนขมวดคิ้วแน่น “เหตุใด เ้าต้องทรมานตนเองเช่นนี้เสียทุกครั้งที่เกิดเื่!”
เว่ยอี๋เหนียงที่ทั้งผิดหวังและเ็ป หันไปพูดกับอีกฝ่าย “นายท่าน เสี่ยวเอ๋อร์ก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของท่านเช่นกัน เหตุใดถึงได้ใจร้ายกับนางเช่นนี้ ทั้งยังรู้เห็นเป็ใจกับหญิงชั่วสกุลสวี ที่ตั้งใจจะเผาลูกสาวข้า หากท่านไม่้าพวกเราแล้ว ข้าจะพานางออกไปจากที่นี่เอง...”
นายท่านหนีจับข้อมืออีกฝ่าย ก่อนแย้งว่า “เสี่ยวเอ๋อร์เป็ลูกสาวข้า เ้าคิดว่าที่ข้าทำลงไปจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ? แต่หากนางถูกิญญาร้ายสิงสู่จริงๆ ก็เท่ากับว่าเสี่ยวเอ๋อร์กำลังนำหายนะมาสู่สกุลหนีของเรา ตอนนี้ข้ามีฐานะเป็เ้าบ้าน ต้องปกครองคนใต้อาณัติอีกหลายชีวิต จำเป็ต้องรับผิดชอบ ดูแลพวกเขา!”
“นายท่าน เสี่ยวเอ๋อร์ก็เป็คนสกุลหนีเช่นเดียวกัน แต่ท่านกลับเลือกที่จะสังหารนาง พอแล้ว! ข้าไม่อยากฟังคำพูดของท่าน” นางกล่าวทั้งน้ำตา พลางสะบัดมือออก
นายท่านหนีถึงกับนิ่งงัน
ตอนนี้เอง หนีเจียเฮ่อก็กลับมาจากวังหลวง เมื่อเห็นมารดาของตนกำลังสะอื้นไห้ ก็รีบเข้ามาปลอบโยนทันที
จากนั้นก็หันไปคุกเข่าตรงหน้านายท่านหนี แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ เื่ที่เสี่ยวเอ๋อร์ถูกิญญาร้ายสิงสู่นั้น ไม่เป็ความจริง ทั้งโจวชิงหวาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่านางถูกใส่ร้าย นอกจากนี้ ตระกูลสวีก็มิได้ติดใจเอาความ แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ให้อภัยบุตรสาวของตนเล่า?”
นายท่านหนีนิ่วหน้า “เอาละๆ ลุกขึ้นเถอะ!”
หนีเจียเฮ่อและเว่ยอี๋เหนียงลอบมองหน้ากัน ก่อนยกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
หนีเจียเฮ่อรีบเอ่ยทันที “ขอบคุณขอรับ ท่านพ่อ”
เว่ยอี๋เหนียงก็กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ขอบคุณเ้าค่ะ นายท่าน”
พอมองไปยังคนทั้งสอง นายท่านหนีก็รู้สึกอึดอัดพิกล คิดว่าบางทีตนอาจจะเด็ดขาดเกินไป... เกือบจะทำร้ายบุตรสาวของตัวเอง ด้วยเื่ตระกูลหนีเสียแล้ว ทั้งๆ ที่นางมิได้ผิดอันใดเสียด้วยซ้ำ!
หนีเจียเฮ่อลุกขึ้นยืน “เช่นนั้น ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอตัวไปหาน้องหญิงก่อน”
เมื่อทั้งสองพยักหน้า เขาก็รีบไปที่เรือนของหนีเจียเอ๋อร์ และบอกกับคนเฝ้ายามว่า “นายท่านอภัยให้คุณหนูรองแล้ว ปลดโซ่ตรวนเสีย! จากนั้นพวกเ้าก็กลับไปได้”
ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเสวียนก็รีบเปิดประตูออกมา
ทันทีที่หนีเจียเอ๋อร์ก้าวออกมา ก็พบว่าหนีเจียเฮ่อ ผู้เป็พี่ชาย กำลังยืนรออยู่
“ท่านพี่ ได้ยินจากเสี่ยวเสวียนว่าท่านไปต่อรองกับนายท่านสวีมา ต้องขอบคุณมาก”
หนีเจียเฮ่อลูบศีรษะนางเบาๆ ก่อนเอ่ย “เด็กโง่ ข้าเป็พี่ชาย ย่อมทำทุกทางเพื่อช่วยเ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
หลังยืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเว่ยอี๋เหนียง ก่อนที่สามแม่ลูกจะรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันอย่างมีความสุข
...
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็สีส้มดูงดงาม
โจวชิงหวาเชิญหนีเจียเอ๋อร์และหนีเจียเฮ่อ มาดื่มฉลองกันที่หอจุ้ยเซียน
โดยโจวชิงหวาที่มาถึงก่อน ได้สั่งอาหารและเครื่องดื่มรอไว้เป็จำนวนมาก
ไม่ช้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตรงเข้ามา ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มกว้าง...
แต่เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็แขกมิได้รับเชิญอย่างมู่หรงจิ่งหลี รอยยิ้มก็พลันเหือดหาย
องค์ชายสามเดินเข้ามาหา พลางทักทายด้วยรอยยิ้มยียวน “ท่านพี่ชิงหวา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่า ไม่ดีใจหรอกหรือที่ข้ามา?”
โจวชิงหวาเลิกคิ้ว ก่อนตอบเสียงเย็น “นับเป็เกียรติของชิงหวา ที่องค์ชายสามมาร่วมดื่มด้วยกัน”
มู่หรงจิ่งหลีไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่าย เดินไปทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงกันข้ามทันที “อาการาเ็ของท่านเป็อย่างไรบ้าง? ข้าให้หมอหลวงประจำตัวไปรักษาให้ ดีหรือไม่?”
โจวชิงหวาจึงกล่าวอย่างสุภาพ “ขอบคุณสำหรับความเมตตา แต่อาการาเ็ของข้า ใกล้จะหายดีแล้ว”
มู่หรงจิ่งหลีหรี่ตาลง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ั้แ่ข้าไล่ตามจีบหนีเจียเอ๋อร์ ก็รู้สึกว่าท่านเริ่มมึนตึง หรือว่าจะไม่ไว้ใจ กลัวว่าข้าจะไม่อาจทำให้น้องสาวของท่านมีความสุข?”
น้องสาว? มีความสุข?
โจวชิงหวาเหยียดยิ้ม มิได้ตอบอันใด ค่อยๆ หลับตาลง คล้ายกำลังปกปิดความรู้สึกในใจ
ตอนนั้นเอง หนีเจียเอ๋อร์และหนีเจียเฮ่อก็เปิดประตูเข้ามา
โจวชิงหวาลุกขึ้น ดึงเก้าอี้ข้างๆ ตัวออก แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เชิญนั่ง”
มู่หรงจิ่งหลีก็ลุกขึ้น ดึงเก้าอี้ข้างๆ ตัวออกเช่นเดียวกัน “เสี่ยวเอ๋อร์ ยาที่ข้าให้ไปดูเหมือนจะได้ผลดีนะ ผิวกายของเ้าดูจะใสกระจ่าง นวลเนียนกว่าเดิมมาก”
หนีเจียเอ๋อร์คลี่ยิ้ม “แม้ยาที่องค์ชายมอบให้จะมีราคาแพง แต่กลับไม่ถูกโรคกับหม่อมฉันเท่าใดนัก ดังนั้นหม่อมฉันจึงมิได้กินมัน ต้องขออภัยด้วยเพคะ”
ว่าแล้วก็มิได้ใส่ใจท่าทีของอีกฝ่าย เพียงเดินไปนั่งข้างโจวชิงหวา ก่อนหยิบจอกชาขึ้นมาดื่ม “หม่อมฉันขอใช้ชาแทนสุรา เพื่อขอบพระทัยฝ่าา ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือในวันนั้นเพคะ”
มู่หรงจิ่งหลียิ้มเจื่อนๆ ยกจอกชาขึ้นมาจิบ แล้วจึงกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก”
หนีเจียเฮ่อที่นั่งถัดจากเขาไป ก็ทำเช่นเดียวกัน
พอเห็นสองพี่น้องเว้นระยะห่างกับตนเช่นนี้ มู่หรงจิ่งหลีก็ไม่ค่อยพอใจนัก
ด้านหนีเจียเฮ่อก็คล้ายจะดูออก ว่าองค์ชายสามรู้สึกเช่นไร จึงพยายามชวนคุยอยู่ตลอด จนมู่หรงจิ่งหลีจำต้องสนทนาด้วยอย่างเลี่ยงมิได้
ส่วนโจวชิงหวา ให้รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก เขาเลยจงใจเหยียดขาซ้ายไปแตะน่องของหนีเจียเอ๋อร์
หญิงสาวสะดุ้งโหยง แล้วขยับขาหนีด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาสวยมองค้อนอีกฝ่ายเป็ระยะๆ ประหนึ่งแมวน้อยที่กำลังขู่ฟ่อ
แต่โจวชิงหวาเพียงเหยียดยิ้มยียวน พลางรุกคืบไปมากกว่าเดิม
หนีเจียเอ๋อร์ก็ไม่ยอมแพ้ พยายามหลบหลีก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็ว่า ขาของนางถูกขาของโจวชิงหวาเกี่ยวเอาไว้จนได้ แก้มหญิงสาวจึงยิ่งแดงก่ำ เพราะความเขินอาย
ครั้นจะดึงขาตนออก ก็ทำมิได้ แต่หากปล่อยเอาไว้เช่นนี้ ก็เกรงว่าท่านพี่และมู่หรงจิ่งหลีจะรู้
นางกลอกตาไปมา ก่อนแสยะยิ้มอย่างเ้าเล่ห์เมื่อนึกแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ หนีเจียเอ๋อร์หันไปมองแขนของโจวชิงหวา พลางแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “โอ้! ดูเหมือนแขนของเ้าจะเปื้อนนะ มานี่สิ ข้าจะปัดให้”