วันต่อมา
แม่นางหลัวไม่ได้ปรากฏตัวดังวันก่อน
แต่กลับส่งสาวใช้ให้ผลัดเวียนกันมาสังเกตการณ์แทน
โดยให้สาวใช้นามว่าเสี่ยวเถาคอยเฝ้าทารกน้อยไว้ ซ้ำยังต้องคอยจดจำทุกความเคลื่อนไหวของนาง แล้วบอกต่อกับเสี่ยวชุนซึ่งเป็สาวใช้อีกคน สุดท้ายเสี่ยวชุนค่อยคาบไปรายงานให้นายหญิงของตน
“ยามเฉินสามเค่อ แม่หนูเฉินโย่วบนหลังพี่ชายหันมามองด้านหลังตนสามครั้งเ้าค่ะ”
“ต่อมานางก็เริ่มร้องเ้าค่ะ”
หลัวอู๋เลี่ยงที่เดิมทีกำลังนั่งพิงเตียงด้วยใบหน้าขาวซีด เมื่อได้ยินว่าทารกน้อยกำลังร้องไห้ หลังที่เอนอยู่ก็พลันลุกขึ้นนั่งตรง
แต่เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของเสี่ยวชุน นางจึงกลับไปเอนหลังตามเดิม
เสี่ยวชุนเมื่อเห็นนายท่านใหญ่ปรากฏตัวก็รีบถอยหลังจากไป
หลีโฉ่วมองร่างอรชรที่เอนหลังบนเตียง นางแม้จะเคยแท้งบุตรของเขามาก่อน ทว่าใบหน้างามนั้นก็ยังคงมีเค้าของแม่นางน้อย ทั้งออดอ้อนและเ้าเล่ห์ ติดตรงแค่ใบหน้างามนั้นออกจะซูบซีดไปเสียหน่อย
เมื่อคิดถึงภาพนางตอนอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมอก แววตาของหลีโฉ่วก็พลันหม่นแสง
ท่านหมอประจำูเาแห่งนี้กล่าวว่าร่างกายของนางได้รับาเ็สาหัส มิอาจรักษาได้ นับแต่นี้คงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก ซ้ำยังมิอาจจะมีชีวิตยืนยาว
หลีโฉ่วที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน นอกจากการฆ่าคน สิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดคงเป็การเอาอกเอาใจนาง
ถึงอย่างไรเสีย เหล่าคนที่เขาเคยฆ่าก็ไม่มีใครงดงามเท่านาง
ด้วยเพราะเขาไม่มีเวลานัก จึงรั้งอยู่เพียงครู่เดียวก็จากไป
หลัวอู๋เลี่ยงแม้จะอยากเอนหลังต่อก็ไม่ได้เสียแล้ว นางได้แต่พลิกไปมา ทั่วสรรพางค์กายเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะเต้านมที่บวมเป่งขึ้นมา
นางจึงยันกายลุกขึ้น จากนั้นจึงวางแท่งหมึกและพู่กันลงบนโต๊ะตรงหน้า เตรียมจะเขียนอักษร
อักษรที่นางเขียนนั้นนับว่าลายมือยอดเยี่ยม
เพราะมันคือทักษะที่หลัวชิงเฉิงในอดีตนั้นถูกบ่มเพาะมาั้แ่เล็กเพื่อเตรียมการเข้าวังคัดเลือกเป็นางใน ทักษะทั้งพิณ หมากรุก อักษร วาดภาพ ล้วนโดดเด่นเหนือใคร
เมื่อมองไปยังหน้าโต๊ะเขียนหนังสือของหญิงสาวก็เห็นกระจกบานหนึ่ง กระจกบานนี้คืออีกหนึ่งสิ่งที่นายท่านใหญ่ปล้นมาได้จากพ่อค้าฝั่งตะวันตก มันใสกระจ่างจนแทบจะส่องเห็นทุกอย่างชัดเจนทุกกระเบียดนิ้ว กระทั่งเส้นขนก็ยังส่องเห็น
หลัวอู๋เลี่ยงนั่งมองหญิงสาวในกระจก
อันที่จริงชื่อเดิมของนางนั้นนับว่าตั้งได้เหมาะสมนัก หลัวชิงเฉิง ใบหน้านี้ช่างคู่ควรกับคำว่าชิงเฉิงสองพยางค์นี้นัก กระนั้นก็เพราะใบหน้างามนี้ ถึงทำให้ท่านป้าของนางยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางมิอาจมีชีวิตรอด
ทว่าสภาพชีวิตนางในตอนนี้คงทำให้ท่านป้าพอใจเสียยิ่งกว่าเดิมกระมัง
นางถือพู่กันอยู่นานสองนาน กลับยังไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร
ปลายพู่กันที่ชุ่มไปด้วยหมึกในมือเรียวขาวราวกับลำเทียน ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะจรดลง
หมึกดำจากพู่กันหยดลงบนกระดาษขาว เปียกเลอะไปทั้งแผ่น
กระดาษดำขมุกขมัวไปทั้งแผ่น นางราวกับเห็นดวงตาดำขลับคู่หนึ่งจากรอยหมึกนั้น
สุดท้ายนางก็ไม่ได้จรดพู่กันลงไป
นางสูญเสียไปแล้วแทบทุกสิ่ง ตอนนี้ยังมีอะไรให้นางเสียอีกเล่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็พลันกุลีกุจอลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกทันที
จวบจนเมื่อนางมาถึงลานเลี้ยงม้า
ก็เห็นบั้นท้ายน้อยๆ ของทารกกระดกคลานอยู่บนพื้นดิน มือคู่น้อยกำลังขุดหลุมเล็กๆ หญิงสาวเมื่อเห็นดังนั้นก็ระบมไปทั้งหัวใจ
เ้าหนูน้อยก็ราวกับรับรู้ได้ว่านางมาถึงแล้ว ศีรษะเล็กๆ เมื่อหันมาเห็นนาง มือเท้าทั้งสี่ก็คลานมาหานางทันที
คราวนี้ไม่ต้องรอให้สาวใช้ออกแรง หลัวอู๋เลี่ยงก็ค่อยๆ โน้มกายลงมาอุ้มเ้าตัวน้อยด้วยตัวเอง
เฉินโย่วน้อยนั้นเดิมทีเพิ่งจะเจอเื่สนุกจึงสาละวนอยู่คนเดียว กระทั่งเห็นหญิงที่ป้อนนมตนทุกวันเดินมา นางรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
เ้าตัวน้อยยื่นมือมอบแมลงตัวเล็กที่ตนเพิ่งจะจับได้ให้หญิงสาวตรงหน้า
หลัวอู๋เลี่ยงเมื่อเห็นแมลงตัวแข็งในมือเ้าหนูน้อยก็แทบจะเป็ลม กว่านางจะใจเย็นลงได้ก็ไม่ง่าย ทว่าเผลอครู่เดียวนางก็ใจอ่อนเสียแล้ว ซ้ำยังลอบโทษตัวเองเสียด้วยซ้ำ
นางไม่ควรถือโทษเ้าหนูน้อยตรงหน้าเลย
นางเพียงอ้าปากจะพูดบางอย่างกับเ้าหนูตรงหน้า ผลลัพธ์คือนางเพียงอ้าปาก เ้าหนูน้อยก็ชูมือขึ้นยัดแมลงตัวเมื่อครู่ใส่ปากนาง
หลัวอู๋เลี่ยงพลันไร้คำพูด
รู้สึกเพียงว่าในปากตนมีบางสิ่งรสชาติหวานๆ อยู่ ทว่าร่างกายตนนั้นกลับแข็งค้าง
ทารกน้อยในอ้อมอกนั้นกลับรู้งานนัก เพียงครู่เดียวก็คว้าหมับเข้าที่เสื้อนาง จากนั้นก็เริ่มลงมือดื่มนมด้วยความตั้งอกตั้งใจ