เข้าสู่วันที่ห้าของการสำรวจแดนลับ ศิษย์จากทั้งสี่สำนักมากกว่าครึ่งถูกสังหารหรือไม่ก็าเ็สาหัส และหลายคนก็ข้ามเขตพื้นที่รอบนอกเข้ามาถึงแม่น้ำไป๋จั้งแล้ว
อวี๋เฟยเยี่ยน โม่ซินเจวี๋ย และเสิ่นซินจู๋ต่างก็มาถึงแล้วเช่นกัน พวกนางมองข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีูเาสูงเด่น ต้นไม้ตระหง่านกว่าพันจั้ง และเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งพงไพร
เพื่อการไขว่คว้าโอกาส บางคนจึงใจร้อนเร่งรีบข้ามแม่น้ำ ผลคือพวกเขาพลัดตกน้ำและกลายเป็อาหารปลา
“โอ้์! ที่นี่มีอสูร”
“ดูเหมือนที่นี่จะอันตรายกว่าด้านนอก”
“ผู้ที่มีขอบเขตต่ำควรหลีกไปให้หมด”
เหล่าลูกศิษย์ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้าทยอยเดินเข้ามา หลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ระยะหนึ่งพวกเขาก็เริ่มข้ามแม่น้ำ ซึ่งมีผู้าเ็เก้าในสิบ ส่วนผู้ที่ข้ามแม่น้ำได้สำเร็จ หากไม่ใช่เพราะโชคช่วยก็จะเป็ผู้ที่ทรงพลังมาก
เฉินจี๋กระซิบเสียงค่อยด้วยสีหน้าค่อนข้างน่าเกลียด “ศิษย์น้องเสิ่น การข้ามแม่น้ำนั้นอันตรายยิ่งนัก เราลองเดินตามริมน้ำเพื่อหาโอกาสอื่นอาจจะดีกว่า”
เสิ่นซินจู๋ได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจแ่เบาแล้วยอมรับความคิดเห็น
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบุกข้ามแม่น้ำไปได้ ส่วนมากก็จะเดินไปตามริมฝั่ง และบางคนก็ไหลไปตามกระแสน้ำเชี่ยว
บนเกาะลอยฟ้าใกล้กับบ่อหิน หนิงเทียนยืนนิ่งอยู่ ณ ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า
“ผู้กล้าในดวงใจจางหายราวภาพฝัน”
เื่นี้เป็เื่ราวของนางกับขุนเขา เป็การพึ่งพาอาศัยกันของเห็ดและต้นไม้ และเป็ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตและความตาย
“บรรดาผู้ที่ข้าปรารถนา ต้องได้พบแผนที่ดารา”
คำพูดนี้นาง้าสื่อถึงสิ่งใดกัน?
ผาหิน น้ำแรู่เา ต้นไม้แห้งเหี่ยว และเห็ดโบราณประกอบกันเป็ภาพจิตรกรรมตำนานไท่เสวียน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยสั่นะเืไปทั้งใต้หล้า
การต่อสู้ครานั้นเป็เหตุให้จักรพรรดิสิ้นชีพ ทั้งยังถูกแยกร่างออกเป็ส่วนๆ โดยไท่เสวียนได้เก็บชิ้นส่วนไว้เป็ที่ระลึก
สิ่งที่นางทิ้งไว้เื้ั คือ ความคิดถึง ความเคียดแค้น และเจตจำนง
ทว่าเจตจำนงของนางคืออะไร?
หนิงเทียนครุ่นคิดพลางเดินไปยังน้ำแรู่เาอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ไปถึง เขาก็เห็นบ่อน้ำผุดใสสะอาด รากบงกชสีมรกตหยั่งลงในร่องน้ำอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
หนิงเทียนกลับมายังต้นไม้และเดินวนไปมาสามรอบ ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ เขาได้รับกายาสุวรรณะหลังจากพบกับต้นไม้แห้งเหี่ยว บางทีต้นไม้แห้งเหี่ยวเ่าั้อาจเกี่ยวข้องกับซากไม้ที่ไม่สะดุดตาซากนี้ก็เป็ได้
จากสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ ครั้งหนึ่งต้นไม้ต้นนี้เคยบรรลุการรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่ของการเป็อิสระ ทั้งยังสามารถมองลงมายังทะเลดาราได้อย่างเย่อหยิ่ง และมีชื่อเสียงน่าเกรงขามเทียบเท่าจักรพรรดิหยวนจุน
มันต้องมีพลังมหาศาลและฤทธิ์เดชล้นเหลืออย่างแน่นอน ไม่แน่ว่ากายาสุวรรณะนิรันดร์อาจกำเนิดมาจากมันด้วย
หนิงเทียนหมุนเวียนพลังจากกายาสุวรรณะนิรันดร์ ลำแสงทั้งสามในเส้นลมปราณที่สองก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที
เขาเดินวนรอบต้นไม้แห้งเหี่ยวและจ้องมองเห็ดบนต้นไม้ ก่อนจะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ที่เกิดขึ้นรอบกาย
ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของหนิงเทียน ต้นไม้แห้งเหี่ยวปรากฏกายผ่านพลังจิต มันใช้เวลาเติบโตนับพันปีและพัฒนาพลังจนไม่มีผู้ใดเทียบได้ กาลเวลาผันผ่านกว่าแสนปี สุดท้ายก็ต้องโทษทัณฑ์แห่ง์และถูกทำลายด้วยพลังอสุนีบาต
ไม่นานต้นไม้แห้งเหี่ยวต้นที่สองก็ถือกำเนิดและมีอายุยืนยาวนับแสนปี ทว่าก็ต้องเผชิญโชคชะตาอันโหดร้ายเช่นเดียวกับต้นไม้ต้นแรก
ต้นไม้แห้งเหี่ยวยังคงถือกำเนิดขึ้นเรื่อยๆ จนครบเก้าต้น ซึ่งล้วนตกอยู่ภายใต้ทัณฑ์์ทั้งสิ้น ราวกับเป็การกลับชาติมาเกิด
อยู่มาวันหนึ่ง ต้นไม้แห้งเหี่ยวทั้งเก้าได้ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง แม้จะหักกร่อนเพียงใดก็ยังยืนหยัดขึ้นมา ทั้งหมดค่อยๆ ผสานรวมกันเป็หนึ่ง พร้อมสั่นะเืดินแดนสิบทิศ ทะลุพันธนาการแห่งเต๋า และเป็อิสระจากโลกนับั้แ่นั้นเป็ต้นมา มันเดินทางข้ามทะเลดาราอย่างภาคภูมิใจ ท่องไปทั่วทุกเขตแดน และปรากฏเงาร่างงดงามข้างกาย
“เป็นางจริงหรือ?” หนิงเทียนใมาก ร่างซึ่งอยู่กับต้นไม้แห้งเหี่ยวที่จุติพร้อมเห็ดมาเก้าภพเก้าชาติคือไท่เสวียนจริงๆ
ไท่เสวียนอาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ นางจึงประจักษ์ถึงความรุ่งโรจน์และชื่อเสียงก้องหล้าของมัน พร้อมทั้งยืนหยัดต่อสู้เพื่อมันเพียงลำพัง
ส่วนกายาสุวรรณะนิรันดร์ถูกสร้างขึ้นหลังการเวียนว่ายตายเกิดทั้งเก้าครั้ง จึงอยู่เหนือ์ ก้าวข้ามวิถีแห่ง์ และบรรลุเต๋าอย่างอิสระ ซึ่งน่าเสียดายที่นางต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของหยวนจุนและจักรพรรดิดารา
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้แล้ว หนิงเทียนก็ยังไม่พบเจตจำนงของไท่เสวียนเช่นเดิม แล้วนางซ่อนมันไว้ที่ใดกันแน่?
“ในใจกลางต้นไม้หรือ?” หลังจากคิดเช่นนี้เขาก็รีบปฏิเสธทันที
ยามที่ไท่เสวียนกลับมายังบ้านเกิด ต้นไม้ต้นนี้ตายไปนานกี่พันปีแล้วก็ไม่อาจทราบได้ เจตจำนงที่นางทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิตจึงไม่น่าอยู่บนต้นไม้ได้ และคงจะซ่อนอยู่ไม่ไกล
หนิงเทียนจ้องมองหน้าผาหินอย่างไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน ทันใดนั้นก็มีเสียงแ่เบาลอยเข้ามาในจิตใจ
มันคือเสียงเคาะเป็จังหวะซึ่งดังมาจากผาหิน
เขาลองใช้วิธีการต่างๆ มากมาย สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิต เสาแสงสามต้นในเส้นลมปราณที่สองจึงปรากฏขึ้นและเจาะเข้าไปในหน้าผา จากนั้นจึงได้พบกับต้นกำเนิดเสียง
นั่นคือเจตจำนงที่เล็กกว่าเส้นผมหลายร้อยเท่า หากหนิงเทียนไม่ได้รับกายาสุวรรณะนิรันดร์ เขาย่อมไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้
เจตจำนงที่ไท่เสวียนทิ้งไว้ที่แท้ก็คือกระบี่ไร้จำนงนี่เอง!
นามของกระบี่เล่มนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด แม้จะศึกษาอยู่นานก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ ทว่าหนิงเทียนก็ยังดึงกระบี่ออกมาและให้มันเข้าไปอยู่ระหว่างเสาแสงทั้งสามในเส้นลมปราณที่สอง
เมื่อกระบี่ไร้จำนงเข้าสู่ร่าง ก็ปรากฏข้อความเหนือบ่อน้ำผุด
“บรรดาผู้ที่ข้าปรารถนา ต้องได้พบแผนที่ดารา”
นี่คือคำเตือนของไท่เสวียน แต่หนิงเทียนไม่เข้าใจว่าแผนที่ดาราคือสิ่งใด แล้วการพบแผนที่ดาราหมายความว่าอย่างไร?
ครู่หนึ่งตัวอักษรเ่าั้ก็เลือนหายไป หนิงเทียนลองมองเข้าไปในกระบี่ไร้จำนง พลันความคิดที่ไม่อาจหยุดยั้งก็เกือบทำลายท้องทะเลแห่งจิตสำนึกของเขา
หนิงเทียนใอย่างมาก เขารู้ดีว่าขอบเขตของตนยังต่ำเกินไป จึงไม่สามารถมองเห็นความลึกลับในข้อความของไท่เสวียนได้
ขณะที่หนิงเทียนยังติดอยู่ในความคิดอันลึกซึ้ง ทิวทัศน์โดยรอบก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จนเขามาถึงป่าแห้งแล้งด้วยความฉงน
เห็ดจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าล้อมรอบหนิงเทียนพร้อมสร้างสะพานเห็ดจุดแล้วจุดเล่า ราวกับพยายามดึงดูดความสนใจจาก์
เขามองย้อนกลับไปด้วยสีหน้าสับสน ทุกอย่างเหมือนความฝัน มีเพียงกระบี่ไร้จำนงในเส้นลมปราณเท่านั้นที่ยังชัดเจนจนน่าประหลาด
เห็ดต้นหนึ่งะโขึ้นบนไหล่ของหนิงเทียนก่อนจะชี้ไปยังยอดเขา จากนั้นก็เปลี่ยนไปชี้สะพานเห็ดตรงหน้า
หนิงเทียนถามอย่างแปลกใจ “สะพานนี้สามารถพาไปยังยอดเขาได้หรือ?”
มันพยักหน้าตอบแล้วะโขึ้นไปบนสะพาน เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ก้าวขึ้นสะพานที่รายล้อมไปด้วยเห็ด
“ขอบคุณพวกท่านอย่างมาก ข้าขอตัวลาก่อน” ชายหนุ่มยิ้มแล้วข้ามสะพาน ทันทีที่ถึงจุดหมาย สะพานเห็ดเ่าั้ก็หายไปในพริบตา
...
ในป่าแห้งแล้งมีเงาหมอกปรากฏอย่างเงียบงัน พร้อมด้วยเสียงครวญแ่เบาราวเสียงถอนหายใจ อีกทั้งห้วงมิติเวลาก็เกิดความบิดเบี้ยวบนภูผาสูงเด่น
หนิงเทียนข้ามสะพานเห็ดมาถึงเชิงเขา โดยรอบปราศจากใบหญ้า ทว่ากลับปรากฏต้นไม้แห้งเหี่ยวให้เห็น ทันใดนั้นลำแสงทั้งสามในเส้นลมปราณก็หมุนอย่างบ้าคลั่ง ทักษะติดตามของกายาสุวรรณะนิรันดร์ก็ส่งสัญญาณเตือน
หนิงเทียนก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินวนรอบต้นไม้แห้งเหี่ยวสามรอบ อารมณ์ของเขาแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย
ความสุขยังคงเปี่ยมล้น แต่ก็มีความทุกข์แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หนิงเทียนก็ได้รับรอยประทับใจกลางพฤกษาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เลี้ยวกลับแล้วเดินลงจากูเา
ที่แห่งนี้ยังมีโชคชะตาอันแปลกประหลาด ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางูเา
ในป่าแห่งนี้มีอสูรซึ่งคอยโจมตีผู้คนอย่างเงียบงัน และใต้ก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลก็มีคนสองคนกำลังสร้างานองเื
โม่ซินเจวี๋ยเฝ้ามองการต่อสู้ตรงหน้าและรู้สึกถึงอันตราย จึงแผ่ต้นหญ้ารอบกาย และก่อกลุ่มควันดำทะมึนเป็หน้ากากป้องกันพิษที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว
ห่างออกไปสิบจั้งก็พบกับอวี๋เฟยเยี่ยนที่ยืนอยู่อย่างสง่างาม หญ้าเขียวขจีแผ่กระจายใต้เท้า และเถาวัลย์เส้นยาวเหยียดตัวออกเป็รูปขบวน
กรรร!
เสียงคำรามแปลกประหลาดมาพร้อมเงาอสูรร้ายที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วและดุดัน มันมุ่งหน้าตรงไปยังชายสองคนที่ประมือกันอยู่
“อสูรหมาป่า ระวัง!” อวี๋เฟยเยี่ยนอุทานก่อนที่รอบกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ชายทั้งสองที่สู้กันอย่างดุเดือดไม่มีเวลาหลบเลี่ยง กรงเล็บของอสูรหมาป่าจึงทำให้พวกเขาล้มลงกับพื้น
“หนี!” โม่ซินเจวี๋ยว่องไวราวนกนางแอ่น หญ้าพลิ้วไหวช่วยให้นางเคลื่อนออกไปหลายร้อยจั้งในชั่วพริบตา ส่วนอวี๋เฟยเยี่ยนก็หนีขึ้นต้นไม้แล้วมองลงมา นางเห็นว่าอสูรหมาป่าดุร้ายและรวดเร็วมาก สามารถฉีกร่างผู้บำเพ็ญขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้าเป็สองท่อนได้ด้วยกรงเล็บเดียว
เสียงสาปแช่งและกรีดร้องดังก้องไปทั่วป่า ผู้บำเพ็ญอีกคนหนึ่งพลิกตัวพยายามหลบหนี แต่อสูรหมาป่าก็ตามมาทันและคร่าชีวิตของเขาด้วยกรงเล็บทันที
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี๋เฟยเยี่ยนเห็นภาพเช่นนี้ บนูเาลูกนี้มีอสูรอาศัยอยู่จำนวนมาก อีกทั้งยังมีเหล่าพฤกษาที่คอยก่อความวุ่นวาย หากผู้บำเพ็ญไม่ระวังตนก็ย่อมถูกสังหารโดยง่าย
ที่นี่คืออาณาเขตจิตอสูร สรวง์สำหรับอสูริญญา ซึ่งอันตรายต่อผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกเป็อย่างมาก
อสูรหมาป่ายาวประมาณสามจั้งมองย้อนไปทางอวี๋เฟยเยี่ยนผู้อยู่บนต้นไม้ด้วยสายตากระหายเื
เสียงคำรามดังก้องในอากาศราวอัสนีผ่าท้องนภา พร้อมจู่โจมด้วยความเร็วเทียบเท่าสายฟ้า
อสูรหมาป่าะโขึ้นไปบนต้นไม้ก่อนจะถูกหอกแทงทะลุหัวใจ มันกรีดร้องลั่นฟ้าะเืดิน และถูกตอกไว้กับต้นไม้ใหญ่
“พี่เฟยเยี่ยน ท่านปลอดภัยใช่ไหม?” หนิงเทียนปรากฏตัวพร้อมบงกชสีมรกต เขาดึงผลึกจากร่างของอสูรหมาป่าแล้วดูดซับพลังเข้าสู่เส้นลมปราณแรกทันที
อวี๋เฟยเยี่ยนมองหนิงเทียนด้วยความประหลาดใจ และถามอย่างสงสัย “เ้าเข้าไปในูเาั้แ่เมื่อใด?”
“ข้าหรือ? ข้านำหน้าท่านเพียงเล็กน้อย” หนิงเทียนดึงหอกออกแล้วเก็บซากศพของอสูรหมาป่ากลับไป ก่อนจะเห็นแหวนมิติของผู้บำเพ็ญไร้ิญญา
“เ้ามาคนเดียวหรือ?” อวี๋เฟยเยี่ยนร่อนลงพื้นแล้วมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?” หนิงเทียนยิ้มแล้ววิ่งลงจากูเาด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วอย่างยิ่ง
อวี๋เฟยเยี่ยนตามมาเขาไปพร้อมถามว่า “เ้าจะไปแล้วหรือ?”
“ข้าเห็นพี่โม่ จุดที่นางมุ่งไปมีอันตราย”
อวี๋เฟยเยี่ยนได้ฟังดังนั้นก็นึกสงสัย นางจึงตัดสินใจตามหนิงเทียนไปด้วย
...
อีกด้านของไหล่เขา มีหินขนาดใหญ่สามก้อนตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นและสูงประมาณสามสิบจั้ง ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนมาก
ทันทีที่โม่ซินเจวี๋ยมาถึง นางก็เห็นผู้บำเพ็ญสามคนยืนอยู่ใต้หินและเงยหน้ามอง
“ศิษย์พี่อวิ๋น ท่านมองสิ่งใดหรือ?”
“ศิษย์น้องโม่ เ้าก็เข้ามาหรือ? ข้ากำลังมองขวดศิลาที่อยู่้า”
อวิ๋นอี้จากสำนักเชียนเฉ่า ผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้า่กลางด้วยวัยยี่สิบสี่ปี
ส่วนอีกสองคนที่อยู่ไม่ไกล คือ เจี่ยงหยวนจากสำนักั์พฤกษา และโต้วเทียนจากสำนักร้อยบุปผา ซึ่งทั้งสองคนก็อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้าเช่นกัน
โม่ซินเจวี๋ยเงยหน้ามองใกล้ๆ และพบว่าระหว่างก้อนหินั์ทั้งสามก้อน มีขวดศิลาขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่กลางอากาศเหนือพื้นดินยี่สิบจั้ง
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของโม่ซินเจวี๋ย อวิ๋นอี้จึงกล่าวว่า “การวิเคราะห์ของข้าบอกว่ามีพลังลึกลับจากหินทั้งสามก้อนที่ยึดขวดศิลานี้ไว้ สนามพลังบริเวณนี้ค่อนข้างประหลาดราวกับมีทางแยกเป็พันๆ ทางอยู่้า ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ขวดศิลานี้ได้”
“แล้วเหตุใดไม่เริ่มจาก้าเล่า?”
“ไม่สามารถขึ้นไปได้”
ที่แห่งนี้มีสนามแรงโน้มถ่วงสูง อวิ๋นอี้และอีกสองคนพยายามกันแล้ว ทว่ากลับไม่อาจทนต่อความสูงเกินห้าจั้งได้
“นั่นเป็แนวทางที่ผิดแล้ว” หนิงเทียนในชุดขาวดุจหิมะมีรูปร่างสูงและหล่อเหลา เขามีบงกชสีมรกตอยู่เคียงข้างอยู่เสมอจึงมักถูกเข้าใจผิดว่ารากบ่มเพาะของเขาคือบงกชสีมรกต
จื๋อซิวแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ ภาพมายาข้างกายคือร่างที่แท้จริงของรากบ่มเพาะ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถระบุได้ว่าอีกฝ่ายคือผู้บำเพ็ญจากสำนักใด
“หนิงเทียน เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” โม่ซินเจวี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
เมื่ออวิ๋นอี้เห็นเช่นนั้นก็เลิกคิ้วกระบี่[1]ขึ้นเล็กน้อย เขาจ้องหนิงเทียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยวาจาเหยียดหยาม “เ้ามาที่นี่ทั้งที่อยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรก ช่างไม่รู้เลยว่ากำลังก้าวเข้าหาภัยพิบัติแบบใดอยู่”
เจี่ยงหยวนจากสำนักั์พฤกษาถามขึ้น “เ้าหนู เ้าบอกว่าวิธีการของเราผิด เช่นนั้นเ้ามีวิธีหรือ?”
โต้วเทียนมองหนิงเทียน “ศิษย์สำนักร้อยบุปผาหรือ? รีบบอกวิธีมาเร็วเข้า หากเ้าช่วยข้าคว้าขวดศิลาได้ ข้าจะช่วยปกป้องเ้ายามอยู่ในสำนักร้อยบุปผาเอง”
หนิงเทียนเดินมาที่ตีนหิน โดยมีอวี๋เฟยเยี่ยนตามมาด้วย
เจี่ยงหยวนและโต้วเทียนต่างก็เข้าหาหนิงเทียน ด้วยความอยากรู้ว่าจะสามารถขึ้นไปได้อย่างไร
“ข้าคือศิษย์พี่โต้วเทียนจากสำนักร้อยบุปผา บอกวิธีข้ามา แล้วอย่าบอกผู้ใดอีก” โต้วเทียนเปิดเผยตัวตน
เจี่ยงหยวนเองก็พยายามล่อลวงเขาด้วยสิ่งดึงดูดใจ “เ้าหนู แค่บอกวิธีให้ข้า แล้วข้าจะให้หินิญญาแก่เ้า”
อวิ๋นอี้หัวเราะแล้วกล่าวว่า “เ้าพวกโง่! เ้าเชื่อคำโกหกของเขาด้วยหรือ?”
---------------------------------------
[1] คิ้วกระบี่ (剑眉) หมายถึง คิ้วที่โค้งเรียวเหมือนกระบี่
