“ถูกต้อง ข้าคือเฟิงเฉี่ยน แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของชุมนุมหมากล้อมนั้นไม่ได้ถึงขั้นนั้น!” เฟิ่งเฉี่ยนตวัดสายตามองซือคงเซิ่งเจี๋ยปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างถ่อมตัว “ที่ข้าสามารถเอาชนะซือคงเซิ่งเจี๋ยได้ ที่จริงแล้วเป็เพราะโชคช่วยมากกว่า ซือคงเซิ่งเจี๋ยต่างหากที่จะเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของชุมนุมหมากล้อม!”
วินาทีถัดมา ถังเจิ้นอวี่สองพี่น้องหันไปมองซือคงเซิ่งเจี๋ย สายตานั้นยิ่งเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
์ ที่แท้บุรุษอาภรณ์สีขาวผมเงินผู้มีบุคลิกกระชากใจเบื้องหน้านี้ มิได้เลียนแบบการแต่งกายของเซียนหมากผมเงินซือคงเซิ่งเจี๋ย แต่เป็เซียนหมากผมเงินซือคงเซิ่งเจี๋ยตัวจริง!
เป็บุคคลในดวงใจที่พวกเขาเทิดทูนบูชามาเป็เวลาหลายปี!
เมื่อก่อนพวกเขาได้แต่ฟังจากปากของผู้อื่น ตอนนี้บุคคลในดวงใจของพวกเขานั่งอยู่เบื้องหน้า พวกเขาทั้งตื่นเต้น ตื้นตัน ยากที่จะบรรยายถึงความรู้สึกในใจขณะนี้ได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เมื่อสักครู่ที่เขาแสดงท่าที่เย่อหยิ่งจองหองล้วนเข้าใจได้ทั้งสิ้น เพราะทักษะระดับของพวกเขาเมื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้ว กระทั่งคุณสมบัติจะถือรองเท้าให้ผู้อื่นก็ยังไม่มี!
เซียนหมากผมเงินและแม่นางเฟิง...
เป็เซียนหมากผมเงินและแม่นางเฟิงจริงๆ ที่ขึ้นรถม้าของพวกเขา พวกเขาดีใจแทบจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา!
และถังไน่ไน่ทำเช่นนี้จริงๆ!
“์ ข้าถึงกับนั่งรถม้าคันเดียวกับนักเดินหมากที่ร้ายกาจที่สุดทั้งสองท่าน ช่างเป็เกียรติเหลือเกิน!”
มู่ชิงหว่านที่อยู่นอกรถม้าได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากด้านในโมโหจนจมูกแทบเบี้ยว นางตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ขอร้องให้พวกเขาช่วย พวกเขาไม่ถามก็ช่างเถิด ถึงกับสนทนากันว่าเฟิงเฉี่ยนใช่เฟิงเฉี่ยนหรือไม่
ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ช่างเป็โทสะที่ยากจะกล้ำกลืน!
ทันใดนั้นนางเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ที่สลักบนรถม้า นางจดจำได้ในปราดเดียว
นี่มิใช่ภาพสัญลักษณ์ของสกุลถังแห่งเมืองเทียนเซียงหรือ?
ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นภาพสัญลักษณ์พิเศษของสกุลหลันมาก่อน นางรู้สึกประหลาดใจจึงถามไถ่จากศิษย์พี่หญิงหลัน ศิษย์พี่หญิงหลันบอกกับนางว่า เมื่อพ่อค้าวาณิชย์ออกมาทำการค้าข้างนอก สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็การหาทรัพย์สินได้ด้วยวิธีการอันละมุนละม่อม โดยทั่วไปมักจะอาศัยถามไถ่จากสหายถึงฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมแล้วสลักตราประทับ เพื่อให้สหายทั้งสองฝ่ายจดจำได้โดยง่ายและรู้ว่านี่เป็ทรัพย์สินของสกุลหลันจะได้อำนวยความสะดวกให้
ศิษย์พี่หญิงหลันยังบอกอีกว่า ไม่เพียงแต่สกุลหลันเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ พ่อค้าวาณิชย์คนอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้ทั้งสิ้น ซ้ำยังนำตราประทับของสกุลถัง ฉิน ซู ทั้งสามสกุลมาให้นางดูด้วย นางจดจำได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นนางจึงจดจำได้ถึงตราประทับของสกุลถังในปราดเดียว ดวงตาของมู่ชิงหว่านเป็ประกายก่อนจะจงใจะโเสียงดังลั่น “รีบดูนั่น นั่นคือรถม้าของสกุลถังแห่งเมืองเทียนเซียง! พวกเ้ามิใช่้าปล้นทรัพย์สินหรือ? พวกเ้าไปปล้นพวกเขาสิ! พวกเขาร่ำรวยกว่าข้าตั้งมากมาย!”
เมื่อนางะโออกไปเช่นนี้ จึงทำให้กลุ่มโจรทั้งหมดพุ่งความสนใจไปที่รถม้าของสกุลถัง
ในรถม้า ถังเจิ้นอวี่แววตาเคร่งเครียด เขาเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นแล้วเดินออกมาจากรถม้า
ดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะของเขาถลึงตาใส่มู่ชิงหว่าน น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเ็า “แม่นาง สกุลถังของข้าไม่ได้มีความแค้นอันใดกับเ้า เหตุใดเ้าต้องทำร้ายสกุลถังอย่างไร้คุณธรรมเช่นนี้?”
มู่ชิงหว่านหน้าแดงเรื่อ นางร้อนตัวแต่ยังคงเถียงคอเป็เอ็น “ใครใช้ให้พวกเ้าเห็นผู้อื่นได้รับความทุกข์แล้วไม่ช่วยเหลือเล่า หากพวกเ้าช่วยข้า ข้าคงไม่ลากพวกเ้าลงน้ำ ในเมื่อพวกเ้าไม่ช่วย ก็อย่าหาว่าข้าลากพวกเ้ามารองหลัง”
ถังไน่ไน่ได้ยินเช่นนั้นจึงเดินออกมาจากรถม้าถลึงตาใส่นางพร้อมกับพูดด้วยโทสะ “เ้าช่างพูดจาข้างๆ คูๆ! พวกเรามิใช่รู้จักเ้า เหตุใดจะต้องช่วยเ้า?”
มู่ชิงหว่านพูดราวกับมีเหตุผลเต็มประดา “พวกเ้าไม่รู้จักข้า แต่เฟิงเฉี่ยนรู้จักข้า นางเห็นข้าได้รับความเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย หากพวกเ้าจะโทษก็โทษนาง”
เฟิ่งเฉี่ยนนั่งอยู่ในรถม้า ถูกความคิดและตรรกะของหญิงสาวคนนี้ทำให้ตื่นตะลึง!
หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้ามู่ชิงเซียวที่เป็พี่รองของนาง นางอยากจะโยนเงินให้กับโจรพวกนี้สักก้อนแล้วให้พวกเขารีบลากตัวนางไป
ได้ยินเสียงก้องกังวานของถังเจิ้นอวี่ดังขึ้นในตอนนี้เอง “นามของอาจารย์ข้า จะให้เ้ามาเรียกเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงัน อาจารย์?
มู่ชิงหว่านงงงันเล็กน้อย “อาจารย์ของเ้า? ใครเป็อาจารย์ของเ้า?”
ถังเจิ้นอวี่ตอบอย่างภาคภูมิใจ “อาจารย์ของข้าย่อมต้องเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของชุมนุมหมากล้อม แม่นางเฟิง เฟิงเฉี่ยน! นามเดิมของนาง เ้าซึ่งเป็คนต่ำช้าเช่นนี้จะเรียกได้อย่างไร?”
สีหน้าของมู่ชิงหว่านย่ำแย่ถึงขีดสุด “เฟิง เฟิงเฉี่ยนกลายเป็อาจารย์ของเ้าั้แ่เมื่อใดกัน?”
“เมื่อสักครู่นี้เอง!” ถังเจิ้นอวี่ยืดอกพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “แต่เื่นี้มิเกี่ยวข้องอันใดกับเ้า คนไม่แยกแยะถูกผิดขาวดำเช่นเ้า คนอื่นไม่ช่วยเ้า เ้าก็ทำร้ายผู้อื่น อย่าได้กล่าวว่าอาจารย์ของข้าไม่อยากช่วยเ้า ข้าที่เป็คนแปลกหน้าคนหนึ่งยังคร้านจะช่วยเ้าเลย!”
“พี่สามพูดได้ดีเหลือเกินเ้าค่ะ! คนเช่นนาง ไม่สมควรให้การช่วยเหลือเ้าค่ะ สมน้ำหน้าแล้วที่ถูกปล้น” ถังไน่ไน่หัวเราะ
ได้ยินถังเจิ้นอวี่พูดแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะ มิเสียแรงเปล่าที่นางรับศิษย์คนนี้ ได้ดั่งใจนางเหลือเกิน!
“เ้า พวกเ้า...” มู่ลชิงหว่านโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม
ถังเจิ้นอวี่ไม่แยแสนางสักนิด เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับโจรกลุ่มนั้น “ทุกท่านเป็สหายจากค่ายใด?”
ผู้เป็หัวหน้ากลุ่มโจรยกมือขึ้นประสานเป็หมัดแล้วตอบด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ “ข้าน้อยคือ พี่ใหญ่อูแห่งค่ายอูหลง วันนี้มีวาสนาได้พบกับคนของสกุลถัง เป็เกียรติอย่างที่สุด!”
มู่ชิงหว่านเห็นแล้วโง่งมไปเลยทีเดียว เมื่อสักครู่คนที่มีท่าทีข่มขู่และบีบคั้นนาง ไฉนจึงเปลี่ยนสีหน้าในชั่วพริบตา ถึงกับเกรงใจคนสกุลถังเช่นนี้
นี่จะต้องเป็ภาพในจินตนาการของนางแน่ๆ
ต่อมาได้ยินถังเจิ้นอวี่พูดอีกว่า “พี่ใหญ่อู ท่านแน่ใจหรือว่าจะพาสตรีใจคอโเี้คนนี้กลับไปที่รังของท่าน ถึงเวลานั้นอาจต้องไม่ได้ฮูหยินและสูญเสียกำลังทหาร”
มู่ชิงหว่านถลึงตาใส่เขา แต่เขาเลือกที่จะทำเป็มองไม่เห็น
พี่ใหญ่อูพยักหน้า “คุณชายถังกล่าวมามีเหตุผล ข้าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าสตรีนางนี้จะใจคอโเี้ปานนี้ หากพาตัวกลับไปที่รังโจร หากวันใดเกิดวางยาพิษในน้ำชาของข้า ทำให้ข้าต้องพิษตาย เช่นนั้นข้าคงต้องเสียใจจนตับไตกลายเป็สีดำ”
มู่ชิงหว่านรู้สึกยินดี นี่ตกลงเขาไม่คิดจะพานางกลับรังโจรแล้ว?
ดีเหลือเกิน!
วินาทีถัดมา ความหวังของนางดับวูบ
“ตามความเห็นของข้า สังหารนางเสียที่นี่เถิด เพื่อตัดความยุ่งยากในภายหน้า” พี่ใหญ่อูพูดแล้วก็ง้างดาบขึ้นหมายจะลงมือ
มู่ชิงหว่านใจนหน้าถอดสี ท่ามกลางความร้อนรน นางทำได้เพียงขอร้องอ้อนวอนเฟิ่งเฉี่ยนอีกครั้ง นางไม่อาจคาดหวังคนสกุลอีกแล้ว ตอนนี้ได้แต่ฝากความหวังไว้กับเฟิ่งเฉี่ยน
“เฟิงเฉี่ยน พี่หญิงเฟิง! ท่านรีบช่วยข้าเถิด ข้ายังไม่อยากตาย!” นางร่ำไห้ประหนึ่งดอกหลีต้องฝน “พี่หญิงเฟิง ท่านเห็นแก่หน้าพี่รองของข้า ท่านช่วยข้าเถิด! พี่รองของข้าดีต่อท่านเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงทนเห็นเขาสูญเสียน้องสาวได้เล่า”
เห็นเฟิ่งเฉี่ยนไม่เคลื่อนไหวใดๆ นางร่ำไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหล “พี่หญิงเฟิง ขอร้องท่าน ช่วยข้าเถิด!”
ตุบ นางคุกเข่าลงกับพื้น “หากพี่รองของข้า บิดามารดาของข้า ท่านปู่ของข้า...รู้ว่าข้าตายแล้ว พวกเขาจะต้องเป็ทุกข์มากแน่ๆ! ฮือๆ...”
ทั่วทั้งผืนป่าได้ยินเพียงเสียงร่ำไห้โอดครวญของนาง
เฟิ่งเฉี่ยนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นางไม่อาจนั่งอยู่ในรถม้าต่อไปได้อีก นางลุกขึ้นเดินออกมาจากรถม้า
ถังเจิ้นอวี่รีบหันมาคารวะนางอย่างเคารพนบนอบ “อาจารย์ คนๆ นี้จะช่วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำพูดของท่านประโยคเดียวขอรับ”
เขามั่นใจอย่างที่สุดว่าคนของค่ายอูหลงไม่กล้าล่วงเกินสกุลถังของพวกเขา ดังนั้นขอเพียงเขาเอ่ยแค่ประโยคเดียว อีกฝ่ายย่อมต้องไว้หน้าคนของสกุลถัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้