แต่เี๋เี่ากลับยังสั่งสอนเขาต่ออย่างคนที่ท่าทางปากร้ายใจดี
“พวกเราก็เป็เพื่อนบ้านกันมาั้แ่เล็กนะ ข้ารู้ว่าเ้าเมื่อก่อนน่ะมีแววมาก แล้วก็ช่วยเหลือข้าไว้ไม่น้อยด้วย ไม่ว่าเ้าจะเคยโดดเด่นเพียงไรนั่นมันก็แค่เื่ตอนเด็กๆ เท่านั้นแหละ ตอนนี้พวกเราก็โตๆ กันแล้วนะ ข้าก็ไม่ใช่เด็กที่จะะโโลดเต้นตอนที่เ้าขโมยไข่ไก่มาให้อีกต่อไปแล้ว เ้าก็อย่าเอาวิธีพรรค์นี้มาเรียกร้องความสนใจจากข้าเลย...จริงๆ นะ เ่ิู ถือว่าเราเคยเป็เพื่อนบ้านกัน ข้าชี้แนะเ้าไปแล้ว การรักษาตัวรอดเป็ยอดดี อย่าไปยั่วยุคนที่เ้าไม่ควรยุ!”
ข้า?
เรียกร้องความสนใจเ้าหรือ?
เ่ิูหัวเราะเฮอะๆ
แม่นาง เ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนกันหนอ
ด้วยี้เีจะเอ่ยอะไร เ่ิูจึงเดินผ่านเี๋เี่ามุ่งสู่จุดทดสอบ
เี๋เี่าสีหน้าเปลี่ยน นางคิดไปเองว่าเขาเขินจนโกรธ นางถอนใจด้วยความเวทนา “ข้ารู้ ว่าคำพูดข้าอาจตรงไปตรงมา แทงใจเ้าเกินไป แต่ข้าทำเพื่อเ้าจริงๆ นะ นับั้แ่วันที่เ้าไม่ผ่านการสอบ ฟ้าก็ขีดเส้นมาให้เราอยู่กันคนละโลกแล้ว...”
เ่ิูยังคงไม่หันหลังกลับมา
เขาย่างสามขุมไปหาอาจารย์เคราแพะคนนั้น แล้วเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “นี่ ตอนนี้ ข้าเข้าสอบได้แล้วหรือยัง?”
บุรุษเคราแพะเพียงยกถ้วยชาขึ้นกระดกดื่ม เขาหรี่ั์ตา ท่าทีราวกับพักผ่อนหย่อนใจเมื่อตอบกลับด้วยคำถาม “มองเห็นคนรุมล้อมสนามสอบนี่ไหม? เ้าคิดว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม?”
“บางทีอาจจะมาดูคนขายขี้หน้า” เ่ิูตอบไม่แยแส
“ข้ายังนึกว่าเ้าไม่รู้เื่เสียอีกนะ ที่แท้เ้าก็เข้าใจมาตลอด พวกเขามาดูเ้าขายขี้หน้า” อาจารย์ผู้าุโกว่าเหยียดยิ้มหยัน สายตาราวกับสำรวจตัวอัปลักษณ์ “ตอนนี้เ้าก็รู้แล้วนี่ ถ้างั้นแล้วทำไมถึงยังร่ำๆ จะหน้าแตกให้ได้อีก?”
“บางทีคนที่หน้าแหลกละเอียดอาจเป็คนอื่นล่ะมั้ง?” เ่ิูทั้งยิ้มทั้งไม่ยิ้ม
อาจารย์เครายาวยกกาน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนเอนกายสบายอารมณ์ “ดูเหมือนเ้าจะยังไม่ยอมแพ้นะ...งั้นก็รอต่อเถอะ”
“แต่ข้าไม่อยากรอแล้ว” เ่ิูโต้ตรงจุด
ชายกลางคนเพียงหัวเราะเสียงเย็น
ใบหน้าหยามเหยียดมองเ่ิู ราวกับได้ยินตลกเื่หนึ่ง กระทั่งจะพูดด้วยยังี้เีจะพูด แค่ไอ้เด็กยาจกยากจนเท่านั้น ตัวเล็กไร้ค่าเหมือนหนอนเหม็นๆ กล้ามาต่อต้านคนอย่างเขางั้นหรือ?
“ดูแค่ท่าทางชั้นเลวที่เ้าทำต่อหน้าอาจารย์ โดยพื้นฐานแล้วไม่เหมาะที่จะเข้าสำนักกวางขาวแม้แต่น้อย” หนุ่มผ้าไหมคนเดิมเดินผึ่งผายออกมาจากฝูงชน ใบหน้าย่ามใจที่แก้แค้นสำเร็จ
เ่ิูถลึงตามอง “เ้าอีกแล้วหรือ? อยากกินฝ่ามืออีกหรืออย่างไร? ไสหัวไปซะ”
เขาหน้าเสีย ปิดหน้าครึ่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ฟันยังเจ็บร้าวไม่หาย
ดวงตานั้นมีแววเกรงกลัว ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วพลันนึกได้ กล่าวอย่างโมโหว่า“ถุย! เ้าคิดว่าข้าจะกลัวเ้าหรืออย่างไร? สวะเอ๊ย เ้ายังไม่มีโอกาสได้ดูรายชื่อคนสอบเข้าผ่านล่ะซี่ ในรายชื่อนั่นข้านี่แหละลำดับที่หนึ่งพันสามร้อยเก้า หลิวเย่ ข้านี่ไง ฮ่าๆๆ ตอนนี้ข้าเป็ศิษย์สำนักกวางขาวอย่างเป็ทางการแล้ว แล้วเ้าล่ะ? เป็ตัวอะไร?”
“หลิวเย่ใช่ไหม?” เ่ิูยิ้มๆ “ดี ข้าจำได้แล้ว อีกไม่นานก็รู้ว่าข้าเป็ตัวอะไร จำใส่กะโหลกเ้าไว้ ไปล้างหน้าแล้วคุกเข่ารอข้าสั่งสอนได้เลย”
“พูดไม่รู้ที่ต่ำที่สูง กล้าโอหังได้ขนาดนี้ เ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? เ้าอายุครบกำหนดแล้ว ถ้าไม่ได้เข้าสำนักกวางขาว พอถึงเวลาเ้าเมืองก็จะยึดตรานั่นคืน ไอ้สวะ เดนคนสมควรตายอย่างเ้ายังไม่รีบบีบนวดให้ข้าอีก จะตายแบบไหนก็ไม่รู้ด้วยหรอกนะ...”
หลิวเย่หัวเราะเย็น สีหน้าที่เต็มไปด้วยการสาปแช่งและป่าเถื่อน
เ่ิูเดิมทีก็คร้านจะสนใจมันเต็มที
เด็กหนุ่มเบนหน้าไปหาอาจารย์กลางคนเคราแพะ เขาะเิหัวเราะอย่างไม่เห็นหัวออกมาเบาๆ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่แวดล้อม เ่ิูได้กล่าวชัดเจนทุกคำพูด “สำนักกวางขาวมีอาจารย์ชั้นสวะไม่รู้เหนือรู้ใต้พรรค์นี้อยู่ด้วยหรือ ช่างเป็เื่น่าอัปยศจริงๆ”
“เ้า...เ้าพูดอะไรนะ? เ้าคนโอหัง!” อาจารย์เคราแพะได้ฟังแล้วก็สะดุ้ง ไม่คิดเลยว่าเ่ิูจะกล้าด่าตัวเองจริงๆ เขาโกรธจัดในฉับพลัน ตบโต๊ะดังปังแล้วผุดลุกขึ้นยืน
“ข้ารออย่างใจเย็นมาสิบวันเต็มเพราะเคารพสำนักกวางขาวหรอกนะ เ้าคงไม่ไร้เดียงสาคิดไปเองว่าข้ากลัวเ้าจนหัวหดหรอกใช่ไหม?” เ่ิูว่าและหัวเราะเยียบเย็น “ไม่ให้ข้าเข้าสอบใช่ไหม? ดีมาก แล้วเ้าจะต้องเสียใจ อีกไม่นานก็ต้องวิ่งหางจุกตูดมาเลียแข้งเลียขาขอร้องให้ข้าเข้าสอบ”
เอ่ยจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
“เ้า...ไอ้หมาบ้า! ให้ข้าขอร้องเ้า? ข้าจะต้องเสียใจภายหลัง? ฮ่าๆๆ เ้ามันเป็บ้าไปแล้วจริงๆ...” อาจารย์เคราแพะโมโหจนตัวเนื้อสั่น
ตลอดชีวิตเขาไม่เคยพบเคยเห็นคนหนุ่มบ้าบอไม่รู้กาลเทศะขนาดนี้มาก่อน คนที่ตกรอบสี่ปีติดต่อกันต่อหน้าต่อตาเขา ตอนนี้อาจหาญท้าทายเขาจริงๆ น่ะหรือ?
และกลุ่มคนผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายก็ลุกฮือขึ้นมาเสียแล้ว
เ่ิูตั้งใจจะก่อเื่ใหญ่ขึ้นแล้วใช่ไหม?
คนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าสำนักกวางขาวไม่รับสมัครคนผู้มีอายุมากกว่าสิบห้าปี เพราะฉะนั้นปีนี้จึงเป็โอกาสสุดท้ายของเ่ิู เขาผู้ถูกคัดออกอย่างไร้หัวใจมาสี่ปีติด ตกลงแล้วเขาเพียงแค่อยากตะเกียกตะกายอย่างบ้าคลั่งเป็ครั้งสุดท้าย หรือจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมากันแน่?
เมื่อเก่าก่อน ทุกครั้งที่ตกรอบ เ่ิูจะจากไปอย่างเงียบสงบ
ทว่าครั้งนี้ ดูจะไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
“เ้าเด็กนั่นจะไปทำอะไรน่ะ?”
“ฮ่าๆ มีเื่ครื้นเครงให้ชมแล้ว ตามไปดูกันเถอะ”
“ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ข้าคิดว่าวันนี้ต้องเกิดเื่ใหญ่แน่เลยว่ะ”
ฝูงชนตามหลังเ่ิูไป อยากรู้ว่าเขาจะทำสิ่งใด นอกจากคนธรรมดาที่ชอบดูเื่สนุกแล้ว ยังมีหนุ่มสาวผู้สอบผ่านแล้วมาสมทบ ขนกันไปเป็โขยงเหมือนเกลียวคลื่นที่ไหลตามกันอย่างครึกโครม
“ฮึ หาเหาใส่หัว ข้ากลับอยากรู้นักว่าขยะอย่างเ้าจะก่อความวุ่นวายอะไรอีก”
เด็กหนุ่มเสื้อไหมสีหน้าเปลี่ยนไปร้อยแปดพันเก้าหน้า ลังเลอีกพักใหญ่ ท้ายสุดแล้วก็ตามกลุ่มคนไปจนได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด ใจถึงได้รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ ถึงเพียงนี้
ทว่าอาจารย์คนเดิมกลับยิ้มเย็นไม่แยแส เขาหย่อนกายนั่งลงที่เดิม
“ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้ ดูซิว่าใครจะขอร้องใคร!”
...
เี๋เี่าผู้รูปโฉมงามหยดย้อยนั่งเงียบงันอยู่บนพื้น
เวลานี้ ั์ตาของนางเห็นภาพเด็กชายที่เป็ดั่งวีรบุรุษผู้เก่งกล้ารอบด้านค่อยๆ เลือนหายไป
เ่ิู ณ ตอนนี้กลายเป็แค่ตัวตลกที่หลอกลวงตัวเอง และกำลังกระทำการอันบ้าบิ่นเหมือนเป็การดิ้นรนครั้งสุดท้ายอยู่ไม่มีผิด
นางเชื่อหมดใจ เพียงแค่รอคอยเวลาที่เขาพ่ายแพ้เป็ครั้งที่ห้าเท่านั้น หลังจากนั้นเห็นทีคงจะจมดิ่งไปตลอดกาล
“ทำไมเ้าไม่เข้าใจความเ็ปของข้าบ้างเลยนะ” ดวงหน้าเี๋เี่าหมองเศร้ายิ่งนัก นางถอนหายใจพลางส่ายหน้าพลาง
“ใครกันมิเข้าใจหัวอกเ้า ไม่เข้าใจถึงความเ็ปของน้องหญิงข้า” ชายหนุ่มท่าทางสง่างามมิอาจทราบได้ว่ามาเมื่อใด ย่างเข้ามาปรากฏกายข้างนางอย่างเงียบเชียบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง ยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ศิษย์พี่เซี่ยวเฟย ท่านมาได้อย่างไรกัน?” เี๋เี่าเพียงเห็นชายคนนี้ก็เกิดยิ้มขึ้นมา
หานเซี่ยวเฟยคลี่ยิ้มบาง
ศิษย์ปีสี่ของสำนักกวางขาว บุรุษที่ประหนึ่งสมบัติล้ำค่า เกิดในตระกูลชนชั้นสูง หล่อเหลาสง่างาม กิริยาไร้ที่ติ ไม่ว่าชาติตระกูล การอบรมเลี้ยงดูหรือพร์ ล้วนแล้วแต่สมบูรณ์แบบเพียบพร้อม
เขาเป็ที่หมายปองอย่างลับๆ ของศิษย์หญิงจำนวนนับไม่ถ้วน รอยยิ้มที่แต่งแต้มนั้นอบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ ละมุนละไมดุจสายลม เหล่าหญิงสาวในเมืองลู่ิมากมายต่างก็คลั่งไคล้เขา
กล่าวกันว่า อาจารย์สาวๆ ในสำนักยังเคยสารภาพความนัยกับเขา นี่คือหนึ่งในเพชรของสำนักไม่กี่คนที่ถูกจับตามอง
“วันนี้เป็วันรับสมัครวันสุดท้าย ข้าเลยลองไปเยี่ยมชมดู ได้ยินมาว่าสำนักของเราได้ยอดฝีมือวัยเยาว์มาไม่น้อยเลยนะ” หานเซี่ยวเฟยชำเลืองมองกลุ่มคนมากมายที่เดินไปราวกับเกลียวคลื่นอยู่ไกลลิบ แล้วเอื้อนเอ่ย “เ้าเ่ิูนั่นก่อเื่อีกแล้วหรือ? น่าเสียดายจริง...ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องข้าเสี่ยวหานเคยแอบรักเขาอย่างนั้นหรือ?”
เี๋เี่ายิ้มพลางส่ายหน้า “นั่นมันก็แค่เื่ของเด็กไม่รู้เดียงสา คิดว่าเขาเก่งกาจ จะว่าแอบรักก็ไม่ถูก...ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ข้าก็โตแล้วด้วย ข้ากับเขาอยู่ไกลกันคนละโลก...โลกของข้าเพิ่งจะเริ่มต้น เขาถูกฟ้ากำหนดมาให้จมปลักกับชีวิตธรรมดาๆ ทุกอย่างของเขามันจบสิ้นไปแล้ว!”
“อืม ศิษย์น้องเสี่ยวหานมองเื่นี้ได้ทะลุปรุโปร่งก็ดีแล้ว จอมยุทธ์ควรจะมีปณิธานและละซึ่งกิเลส อย่าถูกคนประเภทนี้ก่อกวนใจให้วุ่นวาย เ้าคือพญาหงส์ที่ทะยานบนห้วงนภา ส่วนเขานั้นสุดท้ายก็เป็ได้แค่ปลาไหลในตมที่ะโเข้าประตูัไม่ได้ก็เท่านั้น”
หานเซี่ยวเฟยเอ่ยบางเบา
...
จุดหมายของเ่ิู คือสนามสอบของบทที่สอง
การทดสอบระดับเส้นลมปราณ
เพราะนี่ก็ยามบ่ายของวันสุดท้ายแล้ว บนสนามสอบจึงวังเวงยิ่งนัก ผู้เข้าสอบแม้แต่คนเดียวก็ไร้เงาให้เห็น
อาจารย์คุมสอบและลูกศิษย์ที่รับผิดชอบการจดบันทึกผลการสอบไม่กี่คนนั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่หลังโต๊ะไม้หยาบตัวโต รอเพียงเวลาอาทิตย์ตก การสอบเข้าสำนักรุ่นนี้ก็จะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์
กลางลานนั้นมีรูปปั้นทองแดงน้อยใหญ่วางอยู่มากมาย
เป็รูปปั้นที่วิจิตรและประณีตยิ่งนัก ราวกับเป็ผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน ลวดลายแปลกประหลาดสลักเสลานูนเรียบไม่เท่ากันอยู่แน่นขนัด เส้นดิ่งเส้นขวางตัดกันเป็กากบาท ทุกเส้นจะต่อกับจุดสีแดง อาจจะมองดูเก่าคร่ำครึไปเสียหน่อย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสีสันลึกลับ สื่อความถึงเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองและเส้นลมปราณพิศวงอีกแปดเส้น
ของสิ่งนี้คือ รูปหล่อเส้นปราณในตำนาน
มันคือของขลังอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้ทดสอบระดับเส้นลมปราณในการสอบเข้าสำนักกวางขาว
ในการสอบนั้น ผู้เข้าสอบจะต้องดันด้านหลังของรูปปั้นด้วยสองมือ โดยอนุญาตให้พลังแฝงซึ่งมีอยู่ในรูปปั้นโลดแล่นเข้าสู่ร่าง ก็จะสามารถวัดระดับสูงต่ำของเส้นลมปราณได้
เ่ิูเดินมาถึงหน้าโต๊ะสอบ ส่งป้ายสลักนามตนเองให้
“หมายเลข 8888 เ่ิู?”
อาจารย์คุมสอบสนามทดสอบนี้เป็ชายชราผมขาวโพลนหน้าแดงฝาด
ชายชราชำเลืองมองเ่ิูอย่างตระหนกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเขามาบ้างแล้ว ั์ตามีแววแปลกใจ ทว่าเขากลับไม่พูดอันใด หลังให้คนด้านข้างตรวจสอบผลการแข่งบนหยกเจียนแล้วก็ขมวดคิ้ว “ไม่ถูกนี่ เ้ายังไม่ได้เข้าทดสอบเืลมเลยมิใช่หรือ?”
“ข้าอยากเข้าทดสอบวัดระดับเส้นลมปราณก่อน” เ่ิูตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้