“อะไร?”
เสียงที่ดูไม่อยากเชื่อดังขึ้นจากลานเล็กๆ ในเมืองเทียนโหมวชั้นใน
หลัวชิงเยว่มองบิดาของนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และถอนหายใจอยู่ภายในใจ ในตอนที่ได้ยินเื่นี้ ทำให้นางใจนไม่อาจจะประมาณได้ นางไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะมีความกล้ามากถึงเพียงนี้ กล้าจะวางแผนร้ายกับเหล่าอัจฉริยะกว่าเจ็ดส่วนของทั่วทั้งแดนต้าโหมวเทียน อีกอย่าง... เขายังกล้าหลอกล่อให้เหลยจั๋วเยว่และกลุ่มคนพิเศษส่วนหนึ่งยอมวางเดิมพันด้วยอาวุธชื่อเซียน หรือแม้แต่... อาวุธเซียน!
อาวุธชื่อเซียน อาวุธเซียน เ้าคนนี้มันช่างโลภมากไปหรือไม่?
แต่สิ่งที่ทำให้หลัวชิงเยว่ยิ่งไม่อยากเชื่อไปกว่านั้นคือ ผู้ชายคนนี้ได้เข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงในระยะสองจ้าง... ซึ่งนี่เป็เื่ที่ทำลายความเข้าใจทั้งหมดของหลัวชิงเยว่อย่างมาก มีชีวิตอยู่มานานถึงขนาดนี้ หลัวชิงเยว่ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนขั้นกุมารทิพย์จะสามารถเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงในระยะสองจ้างได้!
“ในระยะสองจ้าง? ขั้นกุมารทิพย์? เ้าแน่ใจหรือ?” ชายวัยกลางคนที่สง่างามเบื้องหน้าของหลัวชิงเยว่พูดขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ!” หลัวชิงเยว่พยักหน้าตอบกลับ
ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้สง่างามตรงหน้าของหลัวชิงเยว่คือบิดาของหลัวชิงเยว่ ซึ่งเป็เหลนของต้าหลัวเต้าจวิน มีนามว่า หลัวเฟิง
หลัวเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆ นั่งลงด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม สายตาของเขาเป็ประกายเล็กน้อย และพูดจาพึมพำ “เขาทำได้อย่างไรกัน? ในแดนต้าโหมวเทียนมีเพียงกี่คนกันที่สามารถเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงในระยะห่างสองจ้างได้? ชิงเยว่ เ้าแน่ใจนะ?”
หลัวชิงเยว่พยักหน้า และพูดออกไป “ยืนยันแน่นอน หลังจากได้ยินเื่นี้ข้าก็ส่งคนไปสืบดูทันที มีคนนับพันคนที่สามารถรับรองได้ว่าฉินอวี่เข้าไปในระยะสองจ้างได้จริงๆ หนึ่งในนั้นก็คือฉิงเทียนหวัง!”
สีหน้าของหลัวเฟิงยิ่งเคร่งขรึมขึ้นมากกว่าเก่า ในดวงตาส่วนลึกของเขาเริ่มเผยให้เห็นความหวาดกลัว และพึมพำกับตัวเอง “ระยะรัศมีสองจ้าง เขาทำได้อย่างไรกัน? ขั้นกุมารทิพย์ระดับกลาง เป็ไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็ไปได้เลย ถึงแม้จะเป็ผู้เฒ่าร้องไห้ก็ไม่มีทางเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงในระยะเพียงสองจ้างได้ แผ่นผนึกว่านเซี่ยงมีความเป็มาอันยาวนาน มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าถึงรัศมีสองจ้างได้ ต่อให้เป็ปู่ทวดของเ้า ก็ก้าวไปได้เพียงสิบจ้างเท่านั้น แต่ด้วยระดับการฝึกตนของเขา... ที่อยู่เพียงขั้นกุมารทิพย์ระดับกลาง เขาทำได้อย่างไรกัน?”
“แม้ว่าทุกคนที่เข้าทดสอบกับแผ่นผนึกว่านเซี่ยงก็มักจะได้รับโชคไปจากผนึกจอมอสูรต่างกันไป เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะมีวิธีอื่นที่ทำให้เข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงได้มากขึ้น?” หลัวชิงเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างช้าๆ นางลองพิจารณาดู ก็ยังไม่พบอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ หลัวชิงเยว่ไม่เชื่อว่าฉินอวี่จะอาศัยสิทธิ์ของตนเองเพื่อเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยง เพราะถึงเขาจะคิดทำเช่นนั้น ก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จ นับั้แ่ก่อตั้งแดนต้าโหมวเทียนมา ก็ยังไม่มีผู้ใดที่ทำได้!
“ไม่มีทางเป็ไปได้! แผ่นผนึกว่านเซี่ยงจะมีเพียงคนที่เข้าใจในผนึกจอมอสูรอย่างลึกซึ้งเท่านั้นจึงจะเข้าใกล้ได้!” หลัวชิงเยว่ครุ่นคิดอย่างหมกมุ่น
หลัวชิงเยว่ขมวดคิ้วแน่น และพยายามหาคำตอบอย่างจริงจัง
“พอจะมีความเป็ไปได้หรือไม่ว่า หลี่โหย่วฉายคนนั้น... คือจอมอสูรกลับชาติมาเกิด?” หลัวชิงเยว่คิดอยู่เป็เวลานาน ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ
หลัวเฟิงตกตะลึงอย่างมาก สายตาของเขาหดเล็กดั่งรูเข็ม
“ผ่านมาเนิ่นนานจนยากจะนับเวลา ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าผู้เฒ่าร้องไห้จะสนใจผู้ใด หลี่โหย่วฉายผู้นี้เป็แค่คนที่ดูธรรมดา ทำไมผู้เฒ่าร้องไห้จึงให้ความสำคัญเช่นนี้? อีกอย่าง... ดูเหมือนเด็กคนนี้จะมีความมั่นใจในการทดสอบของหอคอยเทียนกัง ไม่เช่นนั้น... เขาคงไม่กล้าท้าเดิมพันกับทุกคนเช่นนี้...” หลัวชิงเยว่ค่อยๆ กล่าว ยิ่งพูดเท่าไรยิ่งมั่นใจว่าตนเองคิดถูกต้อง เมื่อนึกกลับไปตอนที่พบกับเขา จนตอนนี้ที่เขาเดิมพันกับศิษย์อัจฉริยะจำนวนมากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงได้ในระยะสองจ้าง ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่จะเผยให้เห็นความพิเศษของหลี่โหย่วฉายได้อย่างชัดเจน
“เดิมพัน?” หลัวเฟิงเงยหน้าขึ้นช้าๆ และถามไปอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้ที่รับรู้เื่การเข้าใกล้ในระยะสองจ้างก็นับว่าใมากพอแล้ว จึงทำให้เขาไม่ทันได้ฟังให้ละเอียดในเื่ที่หลัวชิงเยว่กล่าวถึงการเดิมพัน
หลัวชิงเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเล่าเื่ของการเดิมพันทั้งหมดออกมา
หลังจากผ่านไปไม่นานนัก
หลัวเฟิงได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความใและความเหลือเชื่อ
“อาวุธเซียน... อาวุธชื่อเซียน... เ้าเด็กคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? หรือว่าเขาจะมีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะผ่านทดสอบในหอคอยเทียนกัง? แต่หลายปีมานี้ ไม่มีใครเลยที่จะกล้ามั่นใจเื่การผ่านทดสอบของหอคอยเทียนกัง... หรือว่า... เขาจะเป็จอมอสูรกลับชาติมาเกิดจริงๆ?” หลัวเฟิงพึมพำกับตนเอง ความคิดในใจประมวลขึ้นมามากมาย และพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก
“เหอ... เหอ... เขาทำเช่นนี้ไม่กลัวเป็การล่วงเกินเหล่าอัจฉริยะหรือ? หากพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมา หลี่โหย่วฉายจะไม่มีทางผ่านแม้แต่ด่านแรกในการประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณี บอกได้เลยว่าหลี่โหยวฉายผู้นี้ดูสุขุม แต่กลับทำอะไรบุ่มบ่าม แต่หากจะพูดว่าเขาบุ่มบ่าม ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเป็คนลึกลับที่คาดเดาได้ยาก...” หลัวชิงเยว่พูดเบาๆ ด้วยสีหน้ามึนงง หลายปีมานี้ ฉินอวี่ถือเป็คนแรกในรุ่นเดียวกันที่ทำให้นางรู้สึกได้ว่าเป็คนที่คาดเดาได้ยากยิ่ง
“หากเขาคือจอมอสูรกลับชาติมาเกิดจริงๆ เหล่าอัจฉริยะพวกนั้นจะไปมีค่าอะไรสำหรับเขา? บางทีอาจบอกได้ว่า เขาอาจมีอะไรบางอย่างเป็ที่พึ่งอยู่ก็ได้” หลัวเฟิงกล่าว
“แต่การเดิมพันอันใหญ่โตเช่นนี้ เหล่าอัจฉริยะพวกนั้นจะต้องขัดขวางอย่างสุดกำลังแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้หลี่โหย่วฉายจะเป็จอมอสูรกลับชาติมาเกิด แต่ก็ไม่สามารถรับมืออะไรได้จนกว่าพละกำลังจะกลับมาดังเก่า อีกอย่างทุกอย่างที่ทำมาก็อาจสูญเปล่า แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่เขามีต่อผู้เฒ่าร้องไห้... คนผู้นี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางตายแน่นอน เดี๋ยวก่อน!”
“หรือว่า... เขาก็รู้เื่นี้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีความกลัวใดๆ และเขา... ก็กำลังรอให้พวกเราเข้าแทรกแซง?” หลัวชิงเยว่เงยหน้าขึ้นมองหลัวเฟิงผู้เป็บิดา และพูดขึ้นพลางขมวดคิ้ว หากเป็จริงดังนี้ เช่นนั้นแล้ว เล่ห์เหลี่ยมของหลี่โหย่วฉายก็ดูจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
หลัวเฟิงไม่ได้ตอบอะไร ดวงตาของเขากะพริบเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากผ่านไปเป็เวลานาน
“ท่านพ่อ ท่านว่าพวกเราควรแทรกแซงเข้าไปหรือไม่? หรือว่า... จะลองทดสอบความลึกตื้นหนาบางของตัวเขาก่อน?” เมื่อหลัวชิงเยว่เห็นผู้เป็พ่อนิ่งไปนาน จึงถามขึ้นอีกครั้ง
“เื่ทั้งหมดรอให้ปู่ทวดของเ้าตัดสินใจก็แล้วกัน!” พูดจบ หลัวเฟิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือหลัวชิงเยว่ไว้เพียงลำพัง
“คนที่กลับชาติมาเกิด? เ้าคือจอมอสูรกลับมาเกิดจริงหรือ?” หลัวชิงเยว่ครุ่นคิดอย่างหนัก
และในเวลาเดียวกันนี้ ณ จวนแห่งหนึ่งของสกุลโหมว ในเมืองเทียนโหมวชั้นนอก
โหมวจิ่นซิ่วกำลังหรี่ตามองชายหนุ่มสองสามคนที่กำลังเดินจากไป และยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไม่ว่าใครมา ก็ให้บอกไปว่าข้ากำลังฝึกวรยุทธ์!”
“รับทราบ!” คนรับใช้แสดงความเคารพ ก่อนจะรีบเดินจากออกไป
เมื่อเห็นว่าคนรับใช้ได้พากันออกไปจนหมด โหมวจิ่นซิ่วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และมองไปบนท้องฟ้า เมืองเทียนโหมวชั้นในที่ตระหง่านโดดเด่น ในใจกลับมีเงาร่างของผู้ที่กล้ายั่วยุจอมอัจฉริยะเกินกว่าครึ่งของทั่วทั้งแดนต้าเทียนโหมวปรากฏขึ้น และพึมพำอยู่ในใจ “เ้า... ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำกันแน่? หวังว่าจะเป็ไปโดยไม่ตั้งใจ ไม่เช่นนั้น...”
ต้องบอกเลยว่า เดิมแล้วนางตั้งใจจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อได้รวมตัวศิษย์อัจฉริยะทั่วทั้งแดนต้าโหมวเทียน และให้ทุกคนได้รับบุญคุณที่ตระกูลโหมวของนางได้มอบให้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางสถานะของตระกูลโหมวในแดนต้าโหมวเทียน เดิมทีทุกอย่างก็อยู่ในความควบคุมดี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเป็เพราะหลี่โหย่วฉาย ทำให้ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงทุกคนต่างแอบตำหนิตนเองอยู่ในใจ แม้ว่าไม่มีผู้ใดกล้าพูดต่อหน้านาง แต่ทำไมโหมวจิ่นซิ่วจะดูไม่ออก?
“หากไม่ใช่เพราะตนเองเป็ผู้จัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นมา จะพบกับหลี่โหย่วฉายผู้นี้ได้อย่างไร หากไม่ได้พบกับหลี่โหย่วฉาย ก็จะไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเดิมพัน...” นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจของผู้เข้าร่วมงานทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งนี้ทำให้โหมวจิ่นซิ่วโกรธอย่างมาก โกรธแค้นจนอยากจะฆ่าหลี่โหย่วฉายให้ตาย แต่สิ่งที่ทำให้โหมวจิ่นซิ่วยังคงต่อต้านและลังเลคือ หากส่วนที่นางถืออยู่หายไปเกินกว่าครึ่ง เช่นนั้นแล้ว สัญญาเดิมพันก็จะเป็โมฆะ ซึ่งรวมถึงสิ่งวางเดิมพันก่อนหน้านี้ ทั้งอาวุธเต๋า อาวุธชื่อเซียน และอาวุธเซียนอีกด้วย!
มูลค่าของสิ่งเหล่านี้มีอาจจะนับได้
แต่หลี่โหย่วฉายกลับมอบให้ตนเองด้วยความไว้วางใจ... สิ่งนี้ทำให้ใจของโหมวจิ่นซิ่วสับสนอย่างยิ่ง
ทำไมเขาจึงเชื่อมั่นในตนเองขนาดนี้?
ทำไมเขาจึงเชื่อใจตนเองถึงเพียงนี้?
ดวงตาของโหมวจิ่นซิ่วเริ่มพร่ามัว ในใจของนางเริ่มปั่นป่วนเล็กน้อย ภาพของฉินอวี่ที่พูดจาอย่างครึกครื้นเมื่อต้องเผชิญกับอัจฉริยะจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นในใจ อารมณ์ของนางจึงเต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างหยุดไม่ได้...
