เพียงแต่ชีเหนียงกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนอื่นคือจ้าวกวงล่อลวงลั่วจิ่งซีให้กู้หนี้ยืมสินจากโรงพนันสือวาน ต่อมาก็ก่อเื่ยั่วยุแผงร้านค้าของตนใน่แรก ยิ่งกว่านั้นคือตอนนี้มาขโมยเงินที่บ้านของตน หากผูกแต่ละเื่รวมกัน ตนเองแน่ใจว่าไม่เคยมีความแค้นกับจ้าวกวงมาก่อน เกรงว่าคงต้องสงสัยจริงๆ แล้วว่ากำลังมีคนบงการอยู่เื้ั
เทียบกับความผิดปกติในใจของชีเหนียง หลิงชางไห่และคนอื่นกลับสนใจในตัวจ้าวจือชิงมากกว่า
“เ้าหนุ่มไม่ทึ่มแล้วหรือ?” หลิงชางไห่มองจ้าวจือชิงแล้วถาม เพราะการแสดงออกเมื่อครู่ในศาลาว่าการของเขาไม่เหมือนคนสติไม่ดีแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะเขาสติไม่ดี การจับคู่กับชีเหนียงก็ถือว่าไม่เลว
ขณะที่หลิงชางไห่คิดในใจ สายตาที่มองจ้าวจือชิงก็ยิ่งอบอุ่นเป็มิตร
จ้าวจือชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ชำเลืองดูคนสกุลจ้าวที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็ทำเมินคำพูดของหลิงชางไห่
สำหรับเื่ที่จ้าวจือชิงไม่ตาย จ้าวจือจุ่นไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากมาย กลับกันคือหลี่ชุนฮัวที่มีสีหน้าเสียดาย แทบอยากจะให้เขาตายให้ได้เสียตอนนี้
“ดูเหมือนว่าร่างกายของพี่ใหญ่จะพักฟื้นได้ไม่เลว วันนี้กลับบ้านพร้อมกันเถอะ” หากเป็สมัยก่อน จ้าวจือจุ่นไม่มีทางเหลียวมองจ้าวจือชิงแม้แต่แวบเดียว เพียงแต่ตอนนี้เขา้าสร้างภาพประทับใจที่ดีให้แก่หยางหนิงในศาลาว่าการ จึงจำใจต้องแสดงความเคารพรักต่อพี่ชายให้ถึงบทบาท
“ร่างกายข้ายังไม่แข็งแรงดี ต้องทำการรักษา อยู่ที่บ้านสกุลลั่วจะเป็การสะดวกกว่า”
จ้าวจือชิงปฏิเสธไปตรงๆ ไม่มีแม้น้ำเสียงที่ลังเลหรือเกรงใจ แต่คำพูดนี้กลับทำให้ลั่วจิ่งเฉินที่ตามออกมาด้วย มีแววตามืดมน
นับั้แ่แรก เขารู้สึกว่าการปรากฏตัวของจ้าวจือชิงคนนี้มีความน่าสงสัย ตอนนี้ชัดเจนว่าครอบครัวอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับเลือกที่จะกลับกับคนที่ไม่คุ้นเคยแทนการยอมกลับบ้านตนเอง
เขาชอบพอท่านแม่เข้าแล้วจริงๆ!
เมื่อย้อนนึกถึงท่าทางของจ้าวจือชิงที่ศาลเมื่อครู่ หรือว่าคนผู้นี้มิได้สติไม่ดีั้แ่แรก แค่แกล้งแสดงเพื่อปกปิดผู้อื่น? หากเป็เช่นนี้ ท่าทางใสซื่อของคนผู้นี้ไม่รู้ว่าภายในใจจะมีแผนการเท่าใด
“ท่านลุงจ้าว…” ลั่วจิ่งเฉินพินิจไปมาและตัดสินใจเอ่ย “ท่านลุงจ้าว มิใช่ว่าจิ่งเฉินไม่ยินดีให้ท่านลุงจ้าวพักฟื้นที่บ้าน เพียงแต่การตรวจอาการทุกวันมิใช่เื่ยุ่งยาก อีกอย่าง ระยะทางระหว่างสองหมู่บ้านก็ไม่ได้ไกลกันมาก ท่านหลิงเดินทางไปมาไม่กี่รอบก็ย่อมทำได้เช่นกัน”
จ้าวจือชิงมองดูเด็กหนุ่มที่พูดอย่างนอบน้อมตรงหน้า แม้ว่าจะมีรัศมีของผู้มีการศึกษาแผ่ออกจากตัว แต่แววตาที่แฝงด้วยความดื้อรั้นดันเหมือนถอดแบบมาจากลั่วชีเหนียง
เขาปรายตามองแวบหนึ่ง แล้วเอามือกุมหน้าอกและไอเบาๆ สองที นี่ทำให้เดิมทีหลิงชางไห่ที่คิดจะช่วยพูดได้แต่ยิ้มและหลบไปอีกทาง
เ้าตัวดี กล้าถลึงตาใส่ตนเอง ดูสิว่ากลับบ้านแล้ว เขาจะจัดการเ้าหนุ่มคนนี้อย่างไร
ฉับพลันเขาก็นึกขึ้นได้อีก ตนเองเป็ถึงหัวหน้าโรงแพทย์หลวง ว่าที่พ่อบุญธรรมของลั่วชีเหนียง ไยต้องเกรงกลัวเ้าทึ่มร่างโตหนึ่งคน
“ดูจากร่างกายที่ยังไม่ฟื้นดีของท่านลุงจ้าว รีบกลับไปพักที่บ้านดีกว่า”
น้ำเสียงของลั่วจิ่งเฉินแฝงด้วยความห่วงใย อันที่จริงกลับเป็การขับไล่ไสส่ง จ้าวจือชิงรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้หลักแหลมและตบตาไม่ง่าย เกรงว่าความคิดของตนคงถูกเขาดูออกบ้างแล้ว กล่าวกันว่าสตรีจะออกเรือนเป็หน้าที่บิดา บิดาสิ้นชีพเป็หน้าที่บุตรชาย ตอนนี้จี้ฉงเหวินไม่ต่างจากตายไปแล้ว หากตนเอง้าสานสัมพันธ์กับชีเหนียงมากกว่านี้ คงเลี่ยงไม่ได้ต้องให้เด็กหนุ่มคนนี้พยักหน้าเห็นด้วยก่อน
ชีเหนียงไม่รู้ว่าเหตุใดลั่วจิ่งเฉินจึงต้องระแวงจ้าวจือชิงเพียงนี้ นางแอบดูทั้งสองที่กำลังสบตากัน คนทั้งสองกลับไม่มีผู้ใดยอมถอยเลยสักก้าว
“ช้าก่อน! ช้าก่อน!” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของหยางหนิงดังขึ้นจากด้านหลัง
เมื่อครู่หยางหนิงกับกุนซือกำลังคำนวณเื่ลูกศิษย์ที่จะเข้าร่วมสอบปีนี้ จากนั้นเมื่อได้ยินกุนซือทอดถอนใจว่าห้าปีก่อน อำเภอเฉาได้มีซิ่วฉายอายุเพียงแค่สิบหนาว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มิเช่นนั้นจากความสามารถของคนผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็คนที่สอบได้อันดับต้นๆ และลองสอบจอหงวนสักตั้งก็เป็ได้
ระหว่างที่พูดคุยกัน กุนซือมองเห็นลั่วจิ่งเฉิน เพียงแวบเดียวเขาก็จำได้ว่าลั่วจิ่งเฉินก็คือซิ่วฉายอายุสิบหนาวเมื่อห้าปีก่อน เขาบอกกับหยางหนิง ทันใดนั้นหยางหนิงจึงวิ่งตามออกมา
ชีเหนียงกับคนที่เหลือเห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยของหยางหนิงเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเกิดความผิดพลาดเื่ของจ้าวกวงเมื่อครู่หรือไม่ ถึงทำให้ผู้ปกครองของอำเภอเสียอาการเช่นนี้
“ขอบังอาจเรียนถามใต้เท้า มีเื่ผิดปกติอันใดหรือไม่?” ชีเหนียงกลัวว่าเด็กๆ จะใกลัว จึงมายืนด้านหน้าบังเอาไว้ก่อนจะถาม
หยางหนิงโบกมือปัด “มิได้มิได้” ขณะพูด สายตาก็มองไปที่ลั่วจิ่งเฉินอย่างกระตือรือร้น โดยไม่ได้ละสายตาแม้แต่น้อย
“ผู้นี้คือลูกชายของเ้าสินะ ท่าทางสง่าโดดเด่น ดูเพียบพร้อมมีความสามารถ” หยางหนิงถามชีเหนียงแต่สายตากลับสำรวจบนตัวลั่วจิ่งเฉิน ตอนนี้ลั่วจิ่งเฉินได้รับการรักษาระยะสั้นจากหลิงชางไห่ การยืนจึงไม่ได้เป็เื่ยาก เพียงแต่เวลาเดินอาจจะยังมีกะเผลกอยู่บ้าง ซึ่งกำลังทำการรักษาขั้นตอนสุดท้ายอยู่ ทั้งหมดต้องรอเงินทองที่มากเพียงพอ จึงจะทำให้เป็จริงได้
ลั่วจิ่งเฉินคุ้นเคยกับสายตากระตือรือร้นของหยางหนิงอย่างมาก ตอนที่ตนสอบได้ซิ่วฉาย อาจารย์ของตนก็มองด้วยสายตากระตือรือร้นเช่นนี้เหมือนกัน เหมือนได้เห็นยอดคนในใต้หล้าและเกิดความหวังไม่มีที่สิ้นสุดต่อตนเอง น่าเสียดายที่ทั้งหมดเป็เพียงอดีต
“ใต้เท้าหยางชมเกินไปแล้ว ตอนนี้จิ่งเฉินไม่อาจเป็บุคคลที่เพียบพร้อมมีความสามารถแล้ว” พูดจบก็ไม่รอดูปฏิกิริยาของหยางหนิง จึงให้ลั่วจิ่งซีประคองขึ้นเกวียนไป
ท่าทางกะเผลกของเขาทำให้หยางหนิงเข้าใจเื่ราว ชั่วขณะนั้นรู้สึกว่าหัวใจของเด็กคนนี้ต่างจากคนทั่วไป เพียงชั่วครู่ก็สามารถรับรู้ถึงความคิดของตน กระทั่งบอกเป็นัยกับเขาว่าทุกสิ่งไม่อาจเป็ไปได้อีก อีกทั้งไม่ได้หักหน้าเขาและไม่ถึงกับทำให้ตนเองดูกระอักกระอ่วนเกินไป
สำหรับความหลักแหลมและมีไหวพริบของลั่วจิ่งเฉิน หัวใจแห่งความเทิดทูนผู้มีความสามารถของหยางหนิงถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง เพียงแต่คนที่พิการทางร่างกายมิอาจเข้าร่วมสอบเคอจวี่ ในใจเกิดความรู้สึกเสียดายและหมดหวังท้อแท้ สายตาที่จ้องมองลั่วชีเหนียงแฝงด้วยความโกรธเคือง
ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ เหตุใดจึงปล่อยให้เป็แบบนี้
ลั่วชีเหนียงสับสนมึนงงไม่รู้ว่าหยางหนิงเป็อะไรไป? แต่เนื่องด้วยไม่อยากเพิ่มปัญหาจึงไม่ได้ถามให้ชัดเจน ตรงกันข้ามหยางหนิงบอกกุนซือเพื่อให้เขาสืบเื่ราวที่เกี่ยวข้องกับลั่วจิ่งเฉินมาให้กระจ่าง
เนื่องจากการแทรกจังหวะของหยางหนิง จ้าวจือชิงจึงไปเกาะติดข้างกายหลิงชางไห่ไม่ยอมไปไหน ชายร่างสูงแปดฉื่อ [1] ที่มีแต่กล้ามเนื้อติดหนึบจนหลิงชางไห่ขยับไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว หลิงชางไห่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องประนีประนอม
“ข้ากลัวเ้าแล้ว พาเ้าไป พาเ้าไปก็ได้! เ้ารีบขยับออกจากตัวข้าเร็ว ขยับออกไป!”
เมื่อเห็นว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของตน จ้าวจือชิงจึงขยับร่างกายออกไปอย่างเชื่องช้า รอจนเขาเองก็ขึ้นเกวียน ลั่วจิ่งเฉินที่อยู่บนเกวียนจึงจับจ้องจ้าวจือชิงอย่างระแวง ส่วนจ้าวจือชิงกลับทำเหมือนไม่รับรู้ กุมหน้าอกตนเองพร้อมกับเอนลงนอนราบ
ลั่วจิ่งเฉินหัวเราะเยือกเย็นในใจ แล้วยังบอกว่าไม่มีจุดประสงค์อื่น! ทั้งที่าแอยู่ที่ศีรษะแต่กลับกุมหน้าอกไว้ตลอด! เขาไม่มีทางอนุญาตให้หมาป่าชั่วร้ายตัวนี้เข้าบ้านสกุลลั่วแน่
คนสกุลลั่วไม่มีผู้ใดอ่านความคิดของหยางหนิงออก แต่จ้าวจือจุ่นที่เป็บัณฑิตผู้เล่าเรียนกลับคาดเดาท่าทีของหยางหนิงได้บ้าง
“ลูกศิษย์จ้าวจือจุ่นคำนับใต้เท้า!” พอกลุ่มคนจากไป จ้าวจือจุ่นก็มาทักทายอย่างประจบประแจง
หยางหนิงคุ้นเคยกับชื่อนี้อยู่บ้าง เขาคือผู้ที่ทวงขอความเป็ธรรมให้แก่พี่ชายของตน พอเงยหน้าดู นับว่าเป็เด็กหนุ่มที่ดูสง่างาม เพียงแต่หน้าตากลับไม่มีความผ่าเผยเช่นลั่วจิ่งเฉิน กลับกันคือดูตั้งใจจนเกินงาม
-----
[1] 1 ฉื่อ = 10 นิ้วจีน = 22.7 - 23.1 เิเ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้