เฉินอี้เหอมองไปทางประตู เขาจะคิดอย่างไรน่ะหรือ เขายังจะคิดอะไรได้อีก?
เซี่ยยู่จางคิดจะพาเจียเอ๋อร์ของเขาไปอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อที่จะดึงจวนป๋อชางโหวไปสมาคม และกลายเป็พรรคพวกของไท่จื่อ
เดิมคำพูดของเฉินจิ้งเจียก็เพียงพอสร้างความสั่นคลอนได้ ทว่ายามนี้...บางทีคงประจำการในค่ายกองพันที่ชายแดนเสียนาน จนเขาแทบลืมสิ้นแล้วว่าการต่อสู้ในเมืองหลวงนั้นดุเดือดกว่าาชายแดนมากทีเดียว
“ท่านพ่อ เจียเอ๋อร์บอกว่านางมีคนในใจแล้ว มิสู้...” เฉินอี้เหอนึกถึงคุณชายเผยผู้นั้นขึ้นมา แม้นใจไม่อยากยอมรับ แต่ก็ยังดีกว่าโดนดึงมาร่วมาชิงบัลลังก์นี้
ยิ่งไปกว่านั้นเจียเอ๋อร์ของเขายังมีคนผู้นี้อยู่ในใจแล้ว จวนป๋อชางโหวเลี้ยงลูกเขยเพิ่มอีกสักคน ก็ยังถือว่าเลี้ยงไหว
“เผยฉางชิงอะไรนั่นหรือ?” ป๋อชางโหวเอ่ยปากถาม
เฉินอี้เหอพยักหน้า “คนนี้ขอรับ”
“คนผู้นี้เป็อย่างไรกันแน่ เ้าเล่าให้พ่อฟังอย่างละเอียดที”
เื่ราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ป๋อชางโหวจำต้องตั้งใจพิจารณาเสียแล้ว
เฉินจิ้งโหรวกลับเรือนตนด้วยโทสะสุมทรวง ครั้นเห็นจ้าวอี๋เหนียงก็เสมือนเห็นคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านแม่ เมื่อไรท่านจะได้เป็ฮูหยินเสียที?” เฉินจิ้งโหรวมองจ้าวอี๋เหนียง และถามด้วยความไม่พอใจเต็มประดา
เื่นี้จ้าวอี๋เหนียงก็ลำบากใจเช่นกัน เดิมทีนางคิดจะฉวยโอกาสสองสามวันนี้ในการทำให้ป๋อชางโหวยอมตอบรับนาง แต่ใครจะรู้ว่าดันเกิดเื่เฉินจิ้งเจียขึ้นมา จึงทำได้เพียงมายังวัดอันเหรินก่อน
นางมองเฉินจิ้งโหรว พลางเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็อะไรไป? เ้ามิได้เข้าเฝ้าไท่จื่อหรือ? เกิดเื่อันใดขึ้นหรือไม่?”
“ท่านแม่ท่านไม่รู้อะไร ไท่จื่อน่ะ...”
เฉินจิ้งโหรวเล่าเื่ราวใส่ฟืนใส่ไฟเมื่อครู่จนหมดเปลือก
“หากมิใช่เพราะเป็ลูกอนุ ไหนเลยไท่จื่อจะไม่สนใจไยดีข้าเช่นนี้?” เฉินจิ้งโหรวเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
ท่าทีจ้าวอี๋เหนียงอ่อนโยนนุ่มนวล หากแต่ั์ตากลับฉายแววเดือดดาลล้ำลึก
เหตุผลนี้อีกแล้ว! นอกจากฐานะต้นกำเนิดแล้ว ตรงไหนอีกที่เฉินจิ้งโหรวเทียบชั้นนางโง่เฉินจิ้งเจียไม่ได้!
ทว่าทุกคนกลับจับจ้องเพียงเฉินจิ้งเจีย ยามคนนอกเอ่ยถามถึงจวนป๋อชางโหว ก็พร่ำเอ่ยถึงสองแม่ลูกสารเลวซูเหยานั่นเสมอ ไม่แม้แต่จะจำคุณหนูรองผู้งดงามเปี่ยมเสน่ห์ของจวนป๋อชางโหวได้ด้วยซ้ำ
นางสะกดกลั้นความไม่ยอมจำนนเอาไว้ ยกมือขึ้นตบบ่าเฉินจิ้งโหรวเบาๆ “ไยเ้าต้องกังวลเื่นี้ด้วยเล่า? คุณหนูใหญ่มีคนในใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เอ่ยเื่การ่ชิงเกียรติยศอันสูงศักดิ์ของจวนป๋อชางโหวมิได้อยู่แล้ว เช่นนั้น ในจวนของเราจะยังมีใครอื่นอีก?”
“แน่นอนว่าน้องสาวเช่นข้าต้องผงาดขึ้นน่ะสิ!”
เฉินจิ้งโหรวเองก็อยากรู้ต้นสายปลายเหตุเื่ราวเช่นกัน ไท่จื่อก็มิได้โปรดปรานเฉินจิ้งเจียจริงๆ อยู่แล้ว เขาชื่นชอบแค่ฐานะทายาทสายตรงของคุณหนูแห่งจวนป๋อชางโหวเท่านั้น
หากเฉินจิ้งเจียหมั้นหมายไป ทั้งยังเป็บัณฑิตไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ก็มิรู้เช่นกันว่าไท่จื่อจะคิดเช่นไร!
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งดีใจ ประหนึ่งเห็นเฉินจิ้งเจียสวมเสื้อทำจากผ้าป่านตัวหยาบปะเย็บทั่วตัว กำลังง่วนทำงานบ้านในกระท่อมหญ้าคาซอมซ่อ ขณะที่นางใช้ชีวิตหรูหราโอ่อ่าอยู่ในจวนไท่จื่อ มีข้าราชบริพารเป็โขยง
“ท่านแม่ การแต่งงานของพี่หญิง คงต้องรบกวนท่านช่วยเป็ธุระแล้วเ้าค่ะ!” เฉินจิ้งโหรวเอ่ย ั์ตาฉายแววยิ้มเยาะ
จ้าวอี๋เหนียงยกยิ้มตามเช่นกัน “แน่นอนอยู่แล้ว เ้ายังต้องพูดอะไรอีกหรือ?”
เื่นี้ย่อมอยู่ในใจจ้าวอี๋เหนียงอยู่แล้ว คอยกระทั่ง่เข้านอนยามราตรี นางนอนข้างป๋อชางโหวก่อนเอ่ยเื่นี้ขึ้น
“ท่านโหว ข้าได้ยินโหรวเอ๋อร์บอกว่าเหมือนคุณหนูใหญ่จะมีคนในดวงใจแล้ว ท่านคิดว่าเราควรดูสถานการณ์ไปก่อนดีหรือไม่เ้าคะ?”
จ้าวอี๋เหนียงเอ่ยเสียงอ่อนโยน ไม่พูดถึงเผยฉางชิงแม้แต่คำเดียว บอกแค่ว่าเฉินจิ้งเจียมีคนในใจแล้วเท่านั้น
“ทำไม เ้าคิดจะเกลี้ยกล่อมข้าหรือ?” ป๋อชางโหวถาม มิได้มีแววกริ้วโกรธแต่อย่างใด
จ้าวอี๋เหนียงยกยิ้มส่งเสียง “ท่านโหว ข้าแค่คิดไว้เพื่อตัวคุณหนูใหญ่ โหรวเอ๋อร์บอกว่าเป็บัณฑิตที่เข้าเมืองมาสอบคนหนึ่ง คิดดูแล้วก็คงเป็คนมีฝีมืออยู่บ้าง เพียงแต่นิสัยเป็เช่นไรยังไม่รู้”
นางเอ่ยก่อนชะงักไปครู่หนึ่ง “หากท่านโหวมิได้มีความคิดที่จะหาบุตรชายบ้านใดเป็คู่ดูตัวละก็ ลองเจอหน้าคนผู้นี้ ทำความเข้าใจกันสักนิดก็มิใช่เื่เลวร้ายแต่อย่างใด เมื่อรู้จักแล้ว การแนะนำคุณหนูใหญ่ของจวนป๋อชางโหวก็มิใช่เื่ยากเย็นอีกต่อไปเ้าค่ะ”
ประโยคนี้เฉินอี้เหอเคยพูดกับเขาแล้วครั้งหนึ่ง แต่การจะให้เฉินจิ้งเจียแต่งงานกับคนไร้หัวนอนปลายเท้าไม่มีอะไรเลยเช่นนี้นั้น เขาก็ยังเสียใจมากอยู่ดี
“ดึกแล้ว รีบพักผ่อนเถิด” ป๋อชางโหวเอ่ยพลางพลิกตัว ไม่พูดอันใดต่อ
จ้าวอี๋เหนียงหุบปากตาม นางมิได้หวังอยู่แล้วว่าจะโน้มน้าวใจป๋อชางโหวได้ในครั้งเดียว เพราะถือว่าเป็เื่ใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องไปถึงทั้งชีวิตของเฉินจิ้งเจีย อนาคตยังอีกยาวไกล สักวันนางต้องโน้มน้าวใจเขาได้แน่นอน
หลับตาไม่ลงแทบทั้งคืน ยามป๋อชางโหวตื่นขึ้น จ้าวอี๋เหนียงก็ไปอารามใหญ่ฟังท่านเ้าอาวาสเทศนาธรรมแล้ว
แม้เป็เช่นนี้ อาหารเช้าที่ควรเตรียม เสื้อผ้าอาภรณ์รองเท้าที่ป๋อชางโหวต้องเปลี่ยน นางก็ตระเตรียมไว้บนเตียงเรียบร้อย
ป๋อชางโหวใจอ่อนยวบ แม้นสูญเสียสตรีผู้เป็ที่รักไป แต่กลับไม่ได้ขาดแคลนคนที่เอาใจใส่ตัวเองด้วยเช่นกัน
หลังจากอาบน้ำล้างหน้าเสร็จ เขานั่งลงหน้าโต๊ะ กินข้าวต้มและอาหารเครื่องเคียง ความอิ่มอกอิ่มใจผุดเต็มทรวง การแต่งตั้งจ้าวอี๋เหนียงเป็ฮูหยิน ก็นับว่าเป็ตัวเลือกที่ไม่เลวทีเดียว
ขณะกำลังครุ่นคิด นอกประตูพลันมีคนเรียกรายงานข่าว “นายท่านโหว พ่อบ้านใหญ่ในจวนส่งข้าน้อยมารายงานว่าไท่จื่อทรงส่งของมาขอรับ”
ไท่จื่อส่งของมา?
อารมณ์ดีของป๋อชางโหวเมื่อครู่อันตรธานหายไปในเสี้ยวพริบตา ใบหน้าบูดบึ้งคร่ำเคร่งทันตาเห็น
“ส่งอะไรมา?”
น้ำเสียงเปี่ยมความน่าเกรงขามของเขา ทำเอาเ้าหนูบ่าวรับใช้ตัวสั่นระริกอย่างอดไม่ได้ เงยหน้ามองเขาอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยปาก “ส่งโสมพันปีมาสองชิ้นขอรับ ทั้งยังตรัสว่า...”
“ทรงว่าอันใดอีก?”
“ยังตรัสว่ามอบให้คุณหนูใหญ่บำรุงร่างกาย ร่างกายคุณหนูใหญ่อ่อนแอ หาก้าละก็ พระองค์...จะเชิญหมอหลวงมาจับชีพจรผิงอัน[1]ให้คุณหนูใหญ่บ่อยๆ ขอรับ”
เด็กชายบ่าวรับใช้เอ่ยตะกุกตะกักจบ ก็ก้มหน้ายืนหลบด้านข้างทันใด กลัวว่านายท่านป๋อจะบันดาลโทสะใส่เขา
การที่ไท่จื่อกระทำการอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มิใช่ว่าเขามองว่าเฉินจิ้งเจียเป็คนของตนไปแล้วหรอกหรือ?
ต้องรู้ก่อนว่าการเชิญหมอหลวงมาจับชีพจรผิงอันนี้ จะปรนนิบัติเฉพาะคนในราชวงศ์เท่านั้น!
ป๋อชางโหวตบโต๊ะดังลั่น บุตรสาวของเขา ไหนเลยจะปล่อยให้กลายเป็เครื่องสังเวยในาชิงอำนาจนี้ได้!
“ไปเรียกตัวคุณชายใหญ่มา” เขาสั่งเสียงเคร่ง บ่าวรับใช้ตัวน้อยตอบรับเสร็จก็รับวิ่งออกไปทันที
แน่นอนว่าข่าวนี้ย่อมดังถึงหูเฉินจิ้งเจีย นางหัวเราะเสียงเยือกเย็น ไม่รู้ว่าเป็เพราะตนเกิดใหม่หรือไม่ วงโคจรหลายอย่างในชาตินี้ถึงได้หันเหแปรเปลี่ยนไปจากชาติก่อนมากทีเดียว
“คุณหนู นั่นคือไท่จื่อเชียวนะเ้าคะ! คุณหนูเอาจริงหรือ ไม่พิจารณาสักนิดหรือเ้าคะ?” หนานจือเอ่ยปากถาม
เฉินจิ้งเจียหัวเราะเสียงเย็น ต่อให้ชาตินี้บุรุษเพศตายสิ้นไม่เหลือ นางก็ไม่มีทางเลือกเดนมนุษย์อย่างเซี่ยยู่จางแน่นอน!
“เขามีอะไรดีหรือ นอกจากสถานะไท่จื่อแล้วยังมีอะไรอีก?” นางแลตามองหนานจือ
ปัญหานี้ดูเหมือนแก้ยากพอตัว หนานจือคิดแล้วคิดอีก นอกจากยศศักดิ์ไท่จื่อแล้ว เซี่ยยู่จางผู้นี้ก็ดูเหมือนไม่เหลืออะไรแล้วเช่นกัน
“แต่ตำแหน่งไท่จื่อ ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือเ้าคะ?”
------------------
[1] ชีพจรผิงอัน(平安脉)ในทางการแพทย์แผนจีนเชื่อว่าสุขภาพร่างกายของคนเราแตกต่างกัน บุคคลสำคัญในสมัยโบราณอย่างจักรพรรดิ เหล่าสนมและราชวงศ์ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายเป็อย่างยิ่ง แม้ยามร่างกายปกติสมบูรณ์ไร้โรคภัย ก็ยัง้าตรวจชีพจรวินิจฉัยอยู่เป็นิจ เพื่อให้หมอหลวงจ่ายยาและอาหารเสริมตามสภาพร่างกายและสุขภาพที่แตกต่างกันไป โดยจะเรียกว่าการขอจับชีพจรผิงอัน ซึ่งอาหารเสริมและยาที่จ่ายให้จักรพรรดิและผู้คนของราชวงศ์อาจมาในรูปแบบชาหรือสิ่งของที่ประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้