“เ้าสาม เ้าอย่ามัวแต่เล่าเรียนอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าแม่ตำหนิเ้าหรอกนะ ถึงอย่างไรเ้าก็เป็คนเล่าเรียน หากเมียเ้าสอนไม่ดี ก็สู้ส่งนางทั้งสองมาให้ข้าเลี้ยงดีกว่า”
หลิวเต้าเซียงเป็คนแรกที่ไม่ยอม หากให้หลิวฉีซื่อมาสอนนางกับพี่สาวจริงคงเหมือนการะโเข้ากองไฟ และกลายเป็ชีวิตของภรรยาน้อยแทน
หลิวซานกุ้ยไม่เห็นด้วยกับคําพูดของมารดา แต่ก็มิอาจพูดได้ว่าภรรยาของตนนั้นสอนบุตรสาวดียิ่งนัก จากนั้นจึงใช้ความคิด และคิดออกมาได้วิธีหนึ่ง
“การสั่งสอนของท่านแม่ดีกว่านางยิ่งนัก ดูหลันเอ๋อร์ของเราก็รู้”
ไม่รู้ว่าเขาจงใจหรือไม่ หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็นึกขำในใจ นี่กำลังประชดประชันท่านย่าเื่เลี้ยงบุตรสาวหรือ?
“ท่านแม่ ท่านก็อายุมากแล้ว ชิวเซียงกับเต้าเซียงนั้นแก่นแก้วจนเคยตัว มิกล้าให้ท่านแม่มาลำบากดีกว่า อีกอย่างชิวเซียงหมั้นหมายแล้ว ไม่สะดวกออกบ้านบ่อยๆ ส่วนเต้าเซียงก็เป็เด็กซน แล้วก็ยังเด็ก ท่านแม่เองก็ทราบ ลูกไม่กล้าปล่อยนางไว้ให้ท่านแม่หรอก”
ใบหน้าของหลิวฉีซื่อบ่งบอกว่าดีที่รู้ตัว แล้วจึงเอ่ยอีก “เหตุใดจึงหมั้นหมายเร็วนัก? เป็ัหรือแมลงก็ยังไม่รู้! อีกอย่างชิวเซียงของเราก็รูปร่างหน้าตาดี หากว่าไปยังบ้านผู้ดี ก็คงนำพาความเจริญมาสู่บ้านได้”
หากบอกว่าหลิวเต้าเซียงมีส่วนคล้ายมารดาห้าส่วน เช่นนั้นหลิวชิวเซียงคงคล้ายมารดาเก้าส่วน ทั้งอ่อนช้อย อ่อนโยนและทำให้ผู้คนหลงรักได้ง่ายดาย
การที่หลิวฉีซื่อเล็งนางไว้เพื่อที่จะส่งนางไปเป็ภรรยาน้อยก็ไม่แปลก
หญิงสาวเช่นนี้แต่งเข้าไปอยู่เรือนหลัก จำต้องได้รับความรักและเอ็นดูจากฝ่ายชายง่ายดายนัก
สิ่งที่นางคิดคือบุตรชายคนเล็กของฮูหยินใหญ่หวงเป็จวี่เหรินแล้ว อีกสามปีก็จะเข้าร่วมการสอบชุนเหวย ส่วนหลิวชิวเซียงอีกสามปีก็สามารถแต่งงานได้แล้ว ถึงตอนนั้น ขอเพียงส่งไปเป็ภรรยาน้อยของนายน้อยตระกูลหวง เื่งานของบุตรชายคนเล็กของนางก็จะได้มีบทสรุปด้วย
แผนในใจของหลิวฉีซื่อกำลังป่าวร้อง
หลิวซานกุ้ยขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม “ท่านแม่ บุตรสาวข้ายินดีที่จะเป็ภรรยาหลวงของคนยากจน แต่จะไม่มีทางเป็ภรรยาน้อยของคนรวยอย่างแน่นอน”
ภรรยาน้อยคืออะไร?
หลังจากฟังคําสอนของอาจารย์กัว เขาก็รู้แจ้งนานแล้ว ภรรยาน้อยเป็เพียงสิ่งของที่เ้านายสามารถยกให้ใครก็ได้!
“ท่านพ่อ อย่าโกรธ!” หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือเล็กๆ ออกมาดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้แขนเสื้อย่นลงมา เผยให้เห็นกำไลเงินที่ระบุอักษรอายุยืนร้อยปีบนข้อมือ
หลิวซานกุ้ยมองลงมาที่บุตรสาวคนรองที่แสนฉลาด สายตาจรดที่กำไลข้อมือ
เขาตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง
ใช่แล้ว ครอบครัวของเขาไม่ใช่ครอบครัวหลิวฝั่งสามที่มีแต่ทางตัน ครอบครัวของเขาคือครอบครัวเกษตรกรผู้มีการศึกษา
ส่วนเขา หลิวซานกุ้ย เป็ถงเซิงอย่างเป็ทางการแล้ว
“ฮึ่ม!” ดวงตาของหลิวฉีซื่อเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟโกรธ จางกุ้ยฮัวตัวดีมีเงินแล้ว ก็ล่อลวงให้จิตใจของบุตรชายไขว้เขว ไม่เชื่อฟังคำพูดของนางแล้ว!
“ซานกุ้ย แม้ว่าครอบครัวฝั่งแม่ของจางกุ้ยฮัวจะมีเงินสนับสนุนนางเล็กน้อย แล้วอย่างไร? ได้ยินว่านางตั้งครรภ์อีกแล้ว หากคลอดลูกชายได้ เ้าจะไม่คิดเพื่ออนาคตของเขาหน่อยหรือ? มีชิวเซียงเปิดหนทางให้ ต่อไปลูกชายเ้าก็จะได้มีอนาคตที่ดีหน่อย ไม่ใช่หรือ?”
“ท่านแม่ ข้าลืมบอกท่านไปหนึ่งเื่ ข้า ข้า ข้าสอบได้ถงเซิงแล้ว”
“อะไรนะ?”
“จริงหรือ?!”
เสียงแหลมสูงและปนด้วยความโกรธดังขึ้น นั่นคือเสียงของหลิวฉีซื่อ
ส่วนความดีใจที่ปนกับความกังวลอย่างแปลกประหลาด คือเสียงของหลิวต้าฟู่
“ซาน ซานกุ้ย เ้า... เ้าสอบผ่านจริงหรือ?” เดิมทีหลิวต้าฟู่ที่นั่งสูบยาสูบอยู่ตรงนั้นจู่ๆ ก็ราวกับฟื้นคืนชีวิต แล้วโยนยาสูบไว้อีกทาง ก่อนจะก้าวเท้ามาหาหลิวซานกุ้ย ใช้มือบีบไหล่ของเขาไว้พร้อมกับถามย้ำด้วยความร้อนใจ
หลิวซานกุ้ยไม่รู้ว่าเหตุใดบิดาถึงตื่นเต้นมาก จึงตอบว่า “ใช่ขอรับ”
“์ ฮ่าๆ บัญชา์จริงๆ...” หลิวต้าฟู่หลั่งน้ำตาทันใด ทั้งหัวเราะและร้องไห้ในคราวเดียว
ทำให้ทั้งห้องต่างก็งุนงงไปตามกัน
มีเพียงหลิวฉีซื่อที่ใบหน้าเขียวปั๊ด ก่อนจะตะคอก “หลิวต้าฟู่ พอได้แล้ว!”
จากนั้นนางก็ะโใส่หลิวเหรินกุ้ยที่ยืนอึ้งอยู่ “พ่อของเ้าคงอาการบ้ากำเริบ รีบพยุงเขาไปพักที่ห้องเร็ว”
หลิวเหรินกุ้ยส่งสายตาให้ชุ่ยหลิว จากนั้นก็หิ้วหลิวต้าฟู่คนละข้างและเดินไปห้องตะวันออก
สำหรับหลิวซุนซื่อ? ยังคงขลุกอยู่ในห้องเอ่อร์ฝางไม่ได้ออกมา
หลิวต้าฟู่ไม่ขัดขืน แต่ยังคงพึมพำอยู่อย่างนั้น บัญชา์ บัญชา์...
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าเื่ราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ มันมีกลิ่นแปลกๆ ชอบกล
หลิวฉีซื่อกวาดตามองหลิวซานกุ้ยกับลูกๆ อารมณ์ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ก็หายไปหมด
เื่ที่หลิวซานกุ้ยสอบผ่านถงเซิงนั้นกระทบกระเทือนจิตใจของนางอย่างใหญ่หลวง โมโหจนปวดไปถึงอวัยวะภายใน
เกรงว่าตอนนี้นางคงกลายเป็ที่หัวเราะเยาะของชาวบ้าน การกระทำของหลิวซานกุ้ยเป็การตบหน้านางอย่างแรง
เพียงแต่ การปล่อยไปเฉยๆ ก็ไม่ใช่วิถีของหลิวฉีซื่อ
“วันนี้ข้าเพิ่งกลับมา ได้ยินว่าเมียเ้าท้องโตแล้ว จะคลอดเมื่อใด?”
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “ท่านหมอในตำบลบอกว่าจะคลอดตอนท้ายปี”
อารมณ์ของเขาไม่มั่นคง เขาไม่ใช่คนโง่ ปฏิกิริยาของหลิวต้าฟู่นั้นอยู่เหนือความคาดหมาย
หลิวฉีซื่อพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าได้ยินมาว่าแม่ของนางเข้ามาอยู่ด้วย ซานกุ้ย กตัญญูก็ส่วนกตัญญู เมียน่ะ ไม่ควรตามใจ เื่ที่ควรทำก็ต้องทำ อย่าให้อยู่ว่างแต่ในบ้าน แล้วยังต้องเลี้ยงอยู่เฉยๆ ตอนนั้นที่นางตั้งครรภ์ลูกทั้งสาม ก็ไม่เห็นนางจะอ่อนแอบอบบางถึงเพียงนี้”
นี่เป็การพาดพิงถึงเฉินซื่อว่ามากินอยู่เปล่าๆ แล้วก็รังเกียจเฉินซื่อว่าเป็หญิงหม้าย อัปมงคล!
“ท่านหมอบอกว่าครรภ์นี้ของนางไม่ค่อยแข็งแรงนัก สามเดือนแรกห้ามทำงานหนัก ลูกเองก็ทำอะไรไม่ถูก จึงขอให้ท่านแม่ยายมาช่วยจัดการดูแล”
ขณะที่พูดก็มองดูหลิวฉีซื่อ เมื่อเห็นนางมีสีหน้าไม่ดีนักจึงเอ่ยต่อ “ถึงอย่างไรนางก็เป็แม่แท้ๆ ท่านแม่เองก็ไม่อยู่ ลูกสาวก็ยังเล็กกัน ลูกเองก็ทำอะไรไม่ได้ ดีที่ข้าเพิ่งสอบผ่านถงเซิง เห็นทีคงไม่เป็อุปสรรคต่อครอบครัว”
หลิวซานกุ้ยใช้การนี้โต้กลับหลิวฉีซื่อ ใครบอกว่าแม่ยายของเขาเป็ตัวอัปมงคลกัน?
ไม่เห็นหรือว่าเขาสอบผ่านถงเซิง?
นอกจากนี้ั้แ่แยกครอบครัว แล้วเขาได้รับเฉินซื่อมา ที่บ้านก็เก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย ทั้งยังช่วยดูแลภรรยากับลูกๆ เขาได้เป็อย่างดี ในใจของเขาซาบซึ้งจนไม่อาจบรรยายได้!
เนื่องจากไม่มีห่วง เขาจึงไปสอบที่อำเภอได้อย่างวางใจ!
อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านี้เขาไม่สามารถชี้แจงให้มารดาเข้าใจได้ เขาไม่้าไปสะกิดรังผึ้งอย่างนาง และไม่้าเสียแรงและเวลาไปซ่อมแซมรังผึ้งนี้ ฉะนั้นจึงไม่อยากพูดกับนางให้มากความ
หลิวฉีซื่อสำลักเพราะคำพูดของเขา จึงเอ่ยอย่างโมโห “อะไรกัน คำพูดของแม่ก็ไม่ฟังแล้วหรือ?”
“แน่นอนว่าคําพูดของแม่ก็ต้องฟัง” หลิวซานกุ้ยตอบอย่างเชื่อฟัง แต่จะทำหรือไม่นั้นก็เป็อีกเื่หนึ่ง
“ข้าได้ยินมาว่าเฉินซื่อมาที่บ้านเ้าได้สักพักใหญ่แล้ว ถึงแม้จะเป็ญาติที่สนิทกันเพียงใด แต่ก็ไม่มีสาเหตุที่ต้องให้พักยาวถึงเพียงนี้”
ความโกรธของหลิวฉีซื่อโยงไปที่ตัวเฉินซื่ออย่างชัดเจน
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างดูแคลน
ไม่รั้งให้ท่านยายแท้ๆ ของนางพักระยะยาว หรือจะให้อัญเชิญจอมมารชั่วร้ายอย่างเ้ามาอยู่ในบ้านหรือ?
“ท่านพ่อ ท่านหมอบอกว่าท่านไม่สามารถทำงานหนักได้ ข้ายังอยากมีน้องชายหรือไม่ก็น้องสาวอีก หรือไม่ ให้ท่านย่าไปช่วยดูแลไม่กี่เดือน รอแม่ข้าอยู่เดือนเสร็จแล้วค่อยให้ท่านย่ากลับมาบ้าน? ถึงอย่างไรท่านย่าก็ไม่ได้ทำอะไร ไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงพูดตรงกันข้าม!
ตอนแรกที่จางกุ้ยฮัวตั้งครรภ์ หลิวซานกุ้ยวานคนส่งจดหมายไปให้หลิวฉีซื่อ แต่ไม่เห็นนางกลับมาดูแลสะใภ้สาม นางบอกกับคนส่งจดหมายว่า ต้องดูแลลูกของสะใภ้ใหญ่ ไม่มีเวลากลับหมู่บ้านสามสิบลี้ แล้วยังบอกว่าจางกุ้ยฮัวบอบบางเกินไป แม้ว่าบ้านฐานะยากจนก็หัดทำตัวบอบบางแล้ว แล้วยังหัวเราะเยาะจางกุ้ยฮัวที่อิจฉาเพราะเห็นหลิวฉีซื่อดูแลหลิวหลี่ซื่อสะใภ้ใหญ่
หลิวฉีซื่อแทบอยากจะฉีกปากของหลิวเต้าเซียง ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน
หลิวเต้าเซียงเพียงแค่ยักไหล่ ปล่อยให้นางเกลียดไป!
ถึงอย่างไรเนื้อก็ไม่ได้แหว่ง
“นางเด็กผู้ใหญ่ไม่สั่งสอน ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กอย่างเ้ามาแส่อะไร!”
ในใจของหลิวซานกุ้ย บุตรสาวเป็ดั่งเสี่ยวเหมียนอ๋าวที่น่าทะนุถนอม
“ท่านแม่ เต้าเซียงก็นิสัยเหลวไหลเช่นนี้ เื่ที่นางดื้อก็ใช่ว่าเพิ่งจะเป็วันนี้”
หลิวฉีซื่ออ้าปาก อยากจะบอกว่าหลิวเต้าเซียงสมควรสั่งสอนให้ดี แต่หลิวเสี่ยวหลันที่อยู่ข้างหลังก็ดึงกระตุกแขนเสื้อของนาง
เพื่อเตือนว่า ไม่ควรเลี้ยงหลิวเต้าเซียงให้รู้มารยาทเกินไป
คราวที่แล้วที่หลิวซานกุ้ยจัดงานเลี้ยงบ้านใหม่ คุณชายซูท่านนั้นก็ไปถึงที่เอง
ลำพังข้อนี้ นางก็รู้ว่าต่อไปบุตรสาวครอบครัวนี้ต้องมีโอกาสแน่
“ที่กล่าวมาก็ถูก ใช่สิ หากไม่มีอะไรก็ให้นางหัดทำอาหารเยอะๆ แล้วก็ครั้งหน้าหากคุณชายซูท่านนั้นมา จำไว้ว่าต้องเชิญให้มาที่บ้านเดิม”
หลิวฉีซื่อเพิ่งนึกได้ว่า ห้องในบ้านเกือบเต็มแล้ว จึงหันไปะโทางห้องตะวันออก “เหรินกุ้ย เหรินกุ้ย รอห้องปีกตะวันตกทำเสร็จ เ้าก็ย้ายไปอยู่ห้องปีกตะวันตกกับวั่งกุ้ย เ้าอยู่ด้านทิศใต้ เขาอยู่ด้านทิศเหนือ ต้องมีห้องให้พี่ชายใหญ่เ้าพักตอนกลับมาด้วย”
หลิวเหรินกุ้ยถามอย่างมีวาทศิลป์ว่า “ท่านแม่ บอกว่าครอบครัวพี่ใหญ่พักที่เรือนหลักไม่ใช่หรือ?”
หลิวฉีซื่อตอบว่า “ไม่ได้หรอก ต้องเก็บห้องไว้ให้คุณชายซู น้องสาวเ้าเป็ผู้หญิง ยามปกติก็คงไม่เหมาะสมถ้าจะให้ไปพักที่ห้องวั่งกุ้ย ครอบครัวพี่ใหญ่ก็กลับมาแค่ตอนปีใหม่ ให้น้องสาวเ้าใช้ห้องปีกตะวันออกเถิด”
หลิวเหรินกุ้ยย้ายเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีทางย้ายออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีแผนการในใจ “ท่านแม่ เช่นนั้นคงไม่เหาะสม หลันเอ๋อร์จะออกเรือน ไม่สามารถพักห้องปีกตะวันออก”
ตอนนี้หลิวเหรินกุ้ยเดินออกมาจากห้องตะวันออก จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ท่านรักและเอ็นดูหลันเอ๋อร์มาตลอด ลูกสาวสุดท้ายก็ต้องออกเรือน หลันเอ๋อร์ก็คงอยู่บ้านเราไม่นาน สู้ท่านกั้นห้องจากห้องตะวันออกออกมาหนึ่งห้อง ให้นางนอนที่นั่นดีกว่า”
ห้องในสมัยโบราณแตกต่างจากในสมัยปัจจุบัน ห้องตะวันออก แท้จริงแล้วครองพื้นที่ของสองห้องนอน
หลิวฉีซื่อเงียบไป
หลิวเหรินกุ้ยกล่าวเสริมอีกว่า “ท่านแม่ พี่ใหญ่กลับมาน้อยครั้ง โดยปกติก็แค่่ปีใหม่ ส่วนคุณชายซูนั้นสนิทกับครอบครัวเรา คงไม่มา่ปีใหม่ สู้เราเก็บห้องตะวันตกไว้ให้พวกเขาดีกว่า”
“จะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน?”
“ท่านแม่ ห้องเราเล็กมาก หากต้องแบ่งห้องปีกตะวันตกให้พี่ใหญ่ครึ่งหนึ่ง ทั้งปีก็ปล่อยว่างไว้ ส่วนครอบครัวข้า นอกจากพวกข้าสามีภรรยา ก็ยังมีจื้อไฉ จื้อเป่า แล้วก็จูเอ๋อร์ อีกทั้งจื้อไฉกับจื้อเป่าสองพี่น้องก็ใช้ห้องเดียวกันได้ แต่จูเอ๋อร์เล่า นางเป็ผู้หญิง จะให้เบียดกับพวกข้าได้อย่างไร?”
หลิวฉีซื่อพินิจแล้วว่าเป็เช่นนั้นจริง จึงเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นให้จูเอ๋อร์แบ่งห้องอยู่เหมือนหลันเอ๋อร์สิ”
ในเมื่อบุตรสาวนางต้องกั้นห้องอยู่ แล้วจะให้คนาุโน้อยกว่าอยู่ห้องปกติได้อย่างไร
-----
