บทที่ 26 กลับบ้าน
หลินกู๋หยู่เบิกตาจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ดึงสติกลับมาได้
ในขณะที่นางเอื้อมมือ้าผลักเขาออกไป ริมฝีปากของฉือหางก็ผละออก
หน้าผากของเขากดลงบนหน้าผากของนางอย่างแ่เบา
"ไม่ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว" ฉือหางถอนหายใจด้วยความโล่งอก และค่อยๆ นั่งตัวตรง มองลงไปที่หลินกู๋หยู่ ความอบอุ่นในดวงตาของเขาไม่สามารถชัดเจนได้มากกว่านี้
"ข้าก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเช่นกัน" หลินกู๋หยู่กะพริบตาอย่างไม่สบายใจ นางเบือนหน้าไปมองทางอื่น ความรู้สึกบางอย่างไหลวนเวียนอยู่ในร่างกายของนาง หัวใจของนางเต้นเร็วมาก ทั้งยังไม่สามารถสงบลงได้เป็เวลานาน
ผลของการใช้ฝีดาษสู้ฝีดาษนั้นชัดเจนมาก วันรุ่งขึ้นอาการป่วยของหลินกู๋หยู่ก็ดีขึ้นมาก
ฟางซื่อยืนอยู่ด้านนอกประตูบ้านของฉือเย่ โน้มตัวเข้าไปด้านในเล็กน้อย มองดูสภาพที่กำลังจะสิ้นลมหายใจของฉือเย่พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
สาเหตุที่คนในครอบครัวของพวกนางอยู่อย่างอดออม ก็เพื่อให้รอให้ฉือเย่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง เพื่อที่พวกเขาจะได้พลอยมีชีวิตที่ดีไปด้วยไม่ใช่หรือ เพียงแต่ตอนนี้...
โจวซื่อออกมาจากห้องพร้อมอ่างไม้ในมือของนาง นางวางอ่างไม้ในมือของนางลงในมือของฟางซื่อด้วยใบหน้าที่มืดมน "ยังไม่รีบไปเปลี่ยนอ่างน้ำเย็นอีก มายืนขวางอยู่ตรงนี้ทำไม!"
"ท่านแม่" ฟางซื่อรับอ่างไม้ก่อนที่จะชำเลืองมองโจวซื่อ แล้วพูดอย่างลังเลว่า "ข้าได้ยินมาจากท่านพี่ของข้า บอกว่าอาการป่วยของน้องสะใภ้สามดีขึ้นมากแล้ว!"
สีหน้าของโจวซื่อเปลี่ยนไปราวกับฉีกหน้ากากออกจากใบหน้าด้วยความใ "เ้าพูดว่าอะไรนะ?"
ฟางซื่อเดินไปที่ด้านข้างโอ่งน้ำใบใหญ่ ตักน้ำใส่ในอ่างไม้พลางมองกลับมาที่โจวซื่อ นางพูดอย่างใจเย็นว่า "ข้าได้ยินมาว่าน้องสะใภ้ดูเหมือนจะรักษาโรคได้ นางรักษาโรคให้ลูกชายของแม่ม่ายสูได้แล้ว ตอนนี้นางรักษาอาการป่วยของนางเองได้แล้วด้วย”
ฟ้าผ่าในเวลากลางวันแสกๆ[1]!
โจวซื่อประหลาดใจอย่างมาก นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างงงงัน ใน่เวลาหลายวันนี้ นางยุ่งอยู่กับการดูแลฉือเย่ ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความเหนื่อยล้า รอยคล้ำใต้ตาที่ปรากฏนั้นไม่อาจจะปกปิดได้
“ท่านแม่” ฟางซื่อนำอ่างไม้มาวางตรงหน้าโจวซื่อ พลางลดเสียงเบาลง “หรือพวกเราจะขอให้น้องสะใภ้สามมาดูอาการให้น้องชายสี่ดีหรือไม่?”
"ไม่ได้!"
โจวซื่อปฏิเสธโดยไม่ลังเล นางไม่เชื่อว่าเด็กสาวหลินกู๋หยู่นั่นจะรักษาโรคไข้ทรพิษได้ หากนางเก็บความแค้นเพราะเหตุการณ์นั้นแล้วมาทำร้ายลูกคนที่สี่ของนางละ จะทำอย่างไร?
“ท่านแม่” ฟางซื่อมองโจวซื่ออย่างจนปัญญา พูดเบาๆ ว่า “ท่านไม่อยากให้อาการป่วยของน้องสี่ดีขึ้นหรือ?”
"พวกเราไปหาหมอคนอื่นเถอะ!" โจวซื่อพูดพลางวางอ่างไม้ในมือของนางลงบนพื้น จากนั้นหมุนตัวหันหลังกลับเดินออกไป
เมื่อเห็นการกระทำของโจวซื่อ ฟางซื่อก็รีบไปขวางทางไว้ทันที นางขวางทางโจวซื่อ ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยความจริงจังว่า "ตอนนี้หมอในหมู่บ้านของพวกเราไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน เขารักษาคนจนเสียชีวิตไปแล้วสองคน ข้าได้ยินมาว่าตัวเขาเองก็ดูเหมือนจะเป็ไข้ทรพิษด้วย!”
เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?
โจวซื่อร้อนรนกระวนกระวายใจ ในตอนแรกนางเชิญหมอในเมือง แต่ได้ยินมาว่าหมอเ่าั้ก็เป็ไข้ทรพิษแล้ว พวกเขาก็ปฏิเสธการรักษาอาการของลูกชายของนางโดยตรง
ซ่งซื่อเดินเข้ามาจากด้านนอกโดยแบกฟืนอยู่บนหลัง นางมองไปที่ฟางซื่อและโจวซื่อราวกับว่าสนใจพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกัน
"พี่สะใภ้!" เมื่อเห็นซ่งซื่อเดินเข้ามา ฟางซื่อก็รีบดึงซ่งซื่อ "ตอนนี้อาการป่วยของน้องสะใภ้ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่?"
ซ่งซื่อพยักหน้าเห็นด้วยและถอนหายใจ "น้องสะใภ้สามนี่เยี่ยมยอดจริงๆ น้องชายสามป่วยหนักถึงเพียงนั้น นางสามารถรักษาจนหายดีได้ ยามนี้นางป่วยเป็ไข้ทรพิษ นางก็สามารถรักษาตัวเองให้หายดีได้เช่นเดียวกัน!"
ไข้ทรพิษ
ในสายตาของทุกคน ตราบใดที่เป็ไข้ทรพิษ ก็จะไม่มีวันหายดี
มือของโจวซื่อจับที่เสื้อผ้าบนร่างกายของนางอย่างกระสับกระส่าย ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ท่านแม่” ซ่งซื่อเป็คนตรงไปตรงมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว นางพูดต่อว่า “ตอนนี้พวกเราไปหาน้องสะใภ้สามกันเถอะ บางทีน้องสะใภ้สามอาจจะสามารถรักษาอาการป่วยของน้องชายสี่ได้ด้วย”
เวลานี้ฉือเย่ดูเหมือนจะใกล้สิ้นลมหายใจแล้ว โจวซื่อกังวลมากว่าลูกชายของนางอาจจะเสียชีวิตด้วยเหตุนี้
เมื่อได้ยินซ่งซื่อพูดเช่นนั้น โจวซื่อก็ยิ่งสับสน
หลินกู๋หยู่นั่งอยู่บนพื้นโดยมีฉือหางนั่งอยู่ด้านหลัง ในมือถือผ้าขนหนู กำลังเช็ดผมให้ผู้เป็ภรรยา
“ข้าทำเองได้” หลินกู๋หยู่เอียงศีรษะเล็กน้อยอย่างเขินอาย และพูดเสียงเบาว่า “มันไม่ใช่เื่ยากเสียหน่อย”
"ร่างกายของเ้ายังไม่แข็งแรงดี" มือของเขาลูบไปบนเส้นผมสีดำสนิทของหลินกู๋หยู่ กลิ่นหอมเฉพาะตัวของนางลอยเข้ามาที่ปลายจมูกของเขา ดวงตาของฉือหางหรี่ลงเล็กน้อย เขาชอบหลินกู๋หยู่ที่เป็เช่นนี้อย่างมาก
แม่ม่ายสูนั่งอยู่ข้างๆ กำลังป้อนอาหารให้ลูกชายของนางด้วยช้อนในมือ มองคนสองคนจากหางตาเป็ครั้งคราว นางอดไม่ได้ที่จะอิจฉาคู่สามีภรรยาคู่นี้
“ข้าไม่ใช่คนบอบบางถึงเพียงนั้น!” หลินกู๋หยู่เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม จิตใจพะว้าพะวังไม่เป็สุข นางรู้สึกอึดอัด ก่อนจะค่อยๆ ลดสายตาลง
ในขณะที่ฉือหางกำลังจะพูด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากข้างนอกซึ่งดังมากเป็พิเศษ
ในขณะที่แม่ม่ายสูกำลังจะพูด นางก็ได้ยินเสียงจากด้านนอก "น้องสะใภ้สาม เ้าอยู่ด้านในหรือไม่?"
หลินกู๋หยู่หันศีรษะไปมองฉือหาง ลดสายตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างไม่มั่นใจ "นั่นเสียงของพี่สะใภ้รองหรือไม่?"
"ดูเหมือนว่าจะใช่" ฉือหางขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม่ม่ายสูไม่ได้ลุกขึ้น แต่ะโออกไปว่า "เข้ามาเถอะ!"
ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก หลินกู๋หยู่เห็นฟางซื่อหน้าแดงขณะก้าวเท้าเดินเข้ามาในบ้าน
ฟางซื่อเดินไปหาหลินกู๋หยู่อย่างร่าเริงสดใส นั่งลงข้างเตียงด้วยรอยยิ้ม "น้องสะใภ้สาม ข้าได้ยินมาว่าอาการป่วยของเ้าหายดีแล้ว ข้าเลยมาดู"
“พี่สะใภ้รอง” ฉือหางเรียกเสียงต่ำ จากนั้นช่วยหลินกู๋หยู่เช็ดผมต่อไป
"รบกวนพี่สะใภ้รองให้ต้องเป็ห่วงแล้ว" นางไม่รู้ว่าฟางซื่อมาทำอะไรที่นี่ หรือมาเพื่อดูว่านางอาการดีแล้วหรือไม่ นางไม่คิดว่าพวกนางจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนั้น "ขอบคุณ"
ฟางซื่อพยักหน้าให้หลินกู๋หยู่ ก่อนที่จะหันไปมองแม่ม่ายสูปราดหนึ่ง นางลุกขึ้นเดินไปหาแม่ม่ายสู แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ขอบคุณพี่สาว น้องสะใภ้สามของข้ารบกวนเ้านานแล้ว คราวนี้ท่านแม่ของข้าให้ข้ามารับตัวนางกลับบ้าน"
ในระหว่างที่พูด ฟางซื่อก็ยื่นตะกร้าให้แม่ม่ายสู "ในตะกร้ามีไข่อยู่หกฟอง พี่สาว อย่าคิดว่ามันน้อยไปเล่า!"
"เ้าพูดอะไรกัน!" แม่ม่ายสูผลักตะกร้ากลับไป พูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง "การดูแลน้องสาวนั้นเป็หน้าที่ของข้าอยู่แล้ว น้องกู๋หยู่ช่วยชีวิตของลูกชายของข้า พวกเราต้องขอบคุณครอบครัวของพวกเ้ามากกว่า พวกเราจะกล้ารับของพวกเ้าได้อย่างไรหรือ?”
“พี่หญิงก็พูดเล่นไป สิ่งที่น้องสะใภ้ของข้าทำนั้นเป็สิ่งที่สมควรอยู่แล้ว เด็กคนนี้เป็เด็กที่มีบุญวาสนา วันข้างหน้ามีความเป็ไปได้ว่าเด็กคนนี้จะมีอนาคตที่สดใส!” รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางซื่อสดใสยิ่งขึ้น
หลินกู๋หยู่มองไปที่ฟางซื่อด้วยใบหน้าที่มืดมน จากนั้นมองกลับไปที่ฉือหาง พูดด้วยเสียงเบา "เห็นๆ อยู่ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย"
"อืม"
เมื่อได้ยินเสียงของฉือหาง หลินกู๋หยู่ก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง นางแค่บ่นเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าฉือหางจะตอบกลับ
ได้ยินมาจากคนเล่าลือกันแต่ก่อนว่า ฉือหางเป็ลูกที่เชื่อฟังมาก หากพูดด้วยภาษาในยุคปัจจุบัน เขาคือผู้ชายติดแม่[2]
ตอนนี้หลินกู๋หยู่มองหน้าฉือหางขึ้นลง เมื่อนึกถึงตอนที่พวกนางจะ้าเข้าร่วมครอบครัว ฉือหางปฏิเสธไป เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายติดแม่จริงๆ งั้นหรือ?
ก่อนจะแยกครอบครัวกัน ฉือหางเดินตามโจวซื่อที่เป็ผู้นำของเขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาปฏิบัติตามคำสั่งของภรรยาเพียงผู้เดียว
หลังจากฟางซื่อและแม่ม่ายสูพูดคุยตามมารยาทเสร็จสิ้นแล้ว ก็มองไปที่หลินกู๋หยู่และฉือหาง เมื่อเห็นฉือหางยังคงเช็ดผมของหลินกู๋หยู่ ใบหน้าของนางก็มืดลง "พี่หญิง ข้าขอตัวน้องสะใภ้สามของข้ากลับบ้าน นางน่าจะหายงอนแล้ว"
แม่ม่ายสูเพียงแค่ยิ้ม
หลินกู๋หยู่อยู่ที่นี่ นางพูดอะไรไปก็ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
แม่ม่ายสูรอให้หลินกู๋หยู่พูด
เมื่อเห็นแม่ม่ายสูเช่นนี้ ฟางซื่อก็รู้ว่าเื่นี้จะต้องให้หลินกู๋หยู่เป็คนพูดด้วยตัวเองถึงจะถูก จึงเดินไปหาหลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้ม "น้องสะใภ้สาม เ้ากลับบ้านเถอะ อาการป่วยของน้องชายสี่แย่แล้ว ประจวบเหมาะเ้าจะได้ช่วยดูอาการได้พอดี!”
ฉือหางหยุดเช็ดผมของเด็กสาวตรงหน้าเงียบๆ จากนั้นจึงเริ่มแบ่งผม
ตอนนี้ดูเหมือนว่าน้องสามจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ คิ้วของฟางซื่อขมวดแน่น เมื่อก่อนน้องชายสามเ็ากับน้องสะใภ้สามคนก่อนราวน้ำแข็ง เขากลายเป็คนแสดงกิริยาใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ได้อย่างไร?
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางซื่อจางลง เมื่อไม่ได้ยินคำพูดของหลินกู๋หยู่ นางจึงพูดต่อว่า "น้องสะใภ้สาม ใน่หลายวันนี้โต้ซาน้ำหนักลดไปมาก ทั้งยังเรียกหาเ้าอยู่ทุกวัน!"
การแสดงออกบนใบหน้าของหลินกู๋หยู่แปรเปลี่ยนเล็กน้อย นางหันไปจับมือของฉือหาง
"เป็อะไรหรือ?" ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างสงสัย ขนตาของเขาตกลงเล็กน้อย สายตาของเขาจับจ้องที่มือของหลินกู๋หยู่ที่กำลังจับมือของเขา มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
“พวกเราจะกลับกันไหม?” หลินกู๋หยู่เอ่ยถามหลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ถ้ามีเพียงพวกเขาสามีภรรยาสองคน หลินกู๋หยู่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้พี่สาวสูและพี่สะใภ้รองอยู่ที่นี่ด้วย ผู้ชายก็ล้วนมีอีโก้สูงกันทั้งนั้น ดังนั้นแน่นอนว่านางจะต้องให้ผู้ชายคนนี้เป็คนตัดสินให้
“เ้าคิดถึงโต้ซาแล้วหรือ?” ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่ บนใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาเอ่ยถามอย่างลองเชิง
หลินกู๋หยู่พยักหน้าเบาๆ
หลินกู๋หยู่เก็บข้าวของและเตรียมตัวกลับบ้าน แม่ม่ายสูลุกขึ้นและส่งหลินกู๋หยู่ออกไป
“พี่หญิง ข้าขอยืมชามสองใบได้หรือไม่?”
เมื่อนางได้ยินสิ่งที่หลินกู๋หยู่พูด แม่ม่ายสูก็เข้าใจทันที นางรีบหันหลังกลับและเดินเข้าไปในบ้าน
หลินกู๋หยู่หยิบชาม ชามหนึ่งใส่นม ส่วนอีกชามหนึ่งใส่ตุ่มฝีดาษเล็กน้อย จากนั้นให้ฟางซื่อหยิบชามแล้วออกไป
ฉือหางประคองหลินกู๋หยู่ เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า "สิ่งนี้สามารถรักษาไข้ทรพิษได้หรือ?"
ฟางซื่อที่เดิมทีกำลังเดินอยู่ด้านหน้าพวกเขา แต่เมื่อได้ยินคำพูดของฉือหาง นางก็ก้าวถอยหลังเล็กน้อย เบิกหูฟังอย่างตั้งใจ
“สิ่งนี้” หลินกู๋หยู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “น่าจะใช่กระมัง”
อะไรนะ?
ฟางซื่อมองลงไปที่ชามสองใบที่นางกำลังถืออยู่ ในตอนแรกนางคิดว่าหลินกู๋หยู่แส่หาเื่ให้นางต้องลำบากคอยถือชามสองใบนี้กลับไป
แต่ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าสิ่งนี้เป็สิ่งที่สามารถช่วยชีวิตได้ ดวงตาของฟางซื่อเป็ประกายแวววาว ขณะถือชามทั้งสองใบด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
เมื่อถึงบ้านสกุลฉือ ฟางซื่อถือชามสองใบเดินเข้าไปข้างในด้วยความว่องไว
ฉือหางพยุงตัวหลินกู๋หยู่ยืนอยู่ที่ประตู เขาเอ่ยด้วยความไม่มั่นใจว่า "น้องสี่ป่วยมานานมากถึงเพียงนี้แล้ว สิ่งนี้ยังมีประโยชน์อยู่หรือไม่?"
โจวซื่อเดินออกมาจากบ้าน มองดูฟางซื่อถือชามสองใบ จากนั้นเหลือบมองไปที่ฉือหางและหลินกู๋หยู่ ซึ่งยืนอยู่ที่ประตู เมื่อคิดถึงหลินกู๋หยู่ที่ทำให้ลูกชายของนางไม่เชื่อฟังนางอีกต่อไปแล้ว โจวซื่อก็ขมวดคิ้ว นางรู้สึกอึดอัดอย่างมาก นางพูดอย่างโกรธๆ ว่า "อาศัยอยู่ในบ้านของเขามานานแล้ว กลับบ้านก็ยังมีหน้าเอาของๆ คนอื่นกลับมาบ้านอีก พลอยยากจนถึงบ้านนี้แล้วจริงๆ!"
ยิ่งโจวซื่อคิดเกี่ยวกับเื่นี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากเท่านั้น นางรีบเดินไปหาฟางซื่อ ยกมือขึ้นทำท่าจะทุบ
…………………………………………………………………
[1] ฟ้าผ่าในเวลากลางวันแสกๆ สำนวนนี้หมายถึงเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ใอย่างมาก
[2] ผู้ชายติดแม่ หมายถึง ผู้ชายที่โตเป็ผู้ใหญ่แล้ว แต่ยังต้องทำตามคำพูดของแม่โดยปราศจากเงื่อนไข
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้