จงกั๋วกงฮูหยินยิ้มบางพลางเอ่ยว่า “หยางซื่อถูกส่งตัวไปสำนักแม่ชี ทางนั้นไม่มีผู้นำครอบครัว ความคิดของน้องสะใภ้ผู้นั้นข้ากระจ่างแจ้งดี นางอยากได้เกียรติยศและหน้าตาของจวนโหว แต่หากหยางซื่อยังอยู่ นางย่อมไม่มีวันได้เสวยสุขบนเกียรติยศของจวนโหว หยางซื่อเป็คนหนักแน่น ทว่าสามีของนางไม่อยู่แล้ว ถึงคุณสมบัติของบุตรชายในเรือนจะไม่เลว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถแบกรับหน้าที่ในจวนโหวได้ เื่ของจวนจงหย่งโหวไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ที่ลั่วเกอเอ๋อร์ให้ซินหมัวมัวมาส่งผลอิงเถา ประการแรกคือ้าบอกให้พวกเรารู้ถึงความสัมพันธ์ของเขาและฉีอ๋อง ทว่าความสัมพันธ์ของฉีอ๋องกับเขาเป็เช่นใดนั้น ความจริงแล้วเกี่ยวข้องกับจวนจงกั๋วกงเราไม่มากนัก”
“เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้เล่า?”
“ดังนั้น ประการที่สอง เขา้าบอกพวกเราว่านี่เป็ความคิดของเขา ลั่วเกอเอ๋อร์” จงกั๋วกงฮูหยินเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่เลวเลยทีเดียว เด็กน้อยอายุห้าขวบ ความคิดความอ่านสติปัญญาล้วนมีพร้อม หลี่ซวี่นั้นตายเพื่อฝ่าา ทั้งยังเป็คนข้างกายของฝ่าา ขอเพียงลั่วเกอเอ๋อร์เป็คนเอาถ่านเพียงเล็กน้อย ฝ่าาย่อมไม่ทอดทิ้งดูดายเขา พูดอย่างถอยอีกก้าวหนึ่งคือ ต่อให้ลั่วเกอเอ๋อร์ไม่เอาถ่านเลย ขอเพียงแค่เขาไม่ทำเื่เลวร้าย ลาภยศสรรเสริญของจวนจงหย่งโหวนั้นย่อมไม่ขาดตกบกพร่อง”
“ดังนั้นเหล่าฮูหยินจึงต้องให้หน้าแก่เขาใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“จะมองเช่นนั้นก็ได้ ให้หรือไม่ให้หน้านั้นพูดยามนี้อาจจะเร็วเกินไปอยู่สักหน่อย เขาเป็เด็กน้อยอายุเพียงห้าขวบ ยังไม่คู่ควรที่จะให้ข้าจำต้องให้หน้าแก่เขา แต่ถ้าเป็เื่การช่วยเหลือแค่เพียงการยกฝ่ามือ[1]นั้นย่อมทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นิเจี๋ยเอ๋อร์ยังเป็หลานสาวแท้ๆ ของน้องสาวข้า เมื่อแต่งเข้าไปในจวนโหวยังต้องทนดูสีหน้าของน้องสะใภ้ผู้นั้นอีก เกรงว่าจะเป็เื่หงุดหงิดรำคาญใจ ข้าจะดูๆ ไปก่อนก็แล้วกัน” จงกั๋วกงฮูหยินยิ้มบางๆ ตลอดเวลาที่กล่าวออกมา
ณ เรือนโฉวงจี๋
เมื่อยามที่หลี่เหล่าไท่ไท่และหยวนเฉิงมาถึงนั้น หลี่ลั่วกำลังออกกำลังกายอยู่พอดี เพิ่งจะกินข้าวเสร็จเขาต้องออกกำลังกาย หลี่จงิกำลังสอนให้เขาฝึกนั่งท่าหม่าปู้[2] วิธีการออกหมัด หลี่ลั่วมีความตั้งใจในการฝึกยุทธ์อย่างแรงกล้า ท่านั่งม้านี้เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก แต่หลี่ลั่วอดทนได้ ระหว่างที่อยู่ในหมู่บ้านสิบกว่าวัน เขาไม่เคยเกียจคร้านเลยสักครั้ง
สภาพอากาศในปลายเดือนห้าย่างเข้าสู่สภาพอากาศแห้งแล้งของต้นฤดูร้อน ต่อให้ในลานบ้านจะมีร่มเงาช่วยบดบังแสงแดด มีสายลมพัดผ่าน แต่ทว่าก็ไม่สามารถบรรเทาอากาศร้อนเช่นนี้ได้เลย หลี่ลั่วฝึกฝนได้เพียงครู่เดียวร่างกายก็เริ่มรู้สึกร้อนแล้ว
ผิงอันและเหนียนหงทำซุปถั่วเขียวโดยนำไปแช่ในบ่อน้ำเพื่อให้เย็น จากนั้นสาวใช้ทั้งสองจึงมาปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลี่ลั่วที่ลานของเรือน เมื่อหลี่เหล่าไท่ไท่และหยวนเฉิงเข้ามาถึงก็ได้เห็นภาพเช่นนี้ สีหน้าจึงมืดครึ้มลงอย่างทนไม่ไหว นี่น่ะหรือ ที่บอกว่ากำลังทำธุระเื่ที่ฉีอ๋องสั่งมาก็คือเื่นี้หรอกหรือ? หลี่เหล่าไท่ไท่โกรธเสียจนเจ็บเสียดบริเวณหน้าอก
ผิงอันนำผ้าขนหนูบิดน้ำหมาดๆ มาช่วยซับหน้าให้กับหลี่ลั่ว จากนั้นก็เช็ดมือให้กับเขา เมื่อเช็ดเสร็จจึงถอยหลังไปด้านหนึ่ง หลี่ลั่วหัวเราะพลางเดินขึ้นไปข้างหน้า
หลี่เหล่าไท่ไท่เห็นเช่นนี้แล้ว แทบจะมองไม่ออกเลยว่าเด็กน้อยห้าขวบคนนี้จะมีความคิดเช่นนั้นได้ “ลั่วเกอเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเ้าสั่งให้โบยข่ายเกอเอ๋อร์แล้วโยนเขาออกไปนอกจวน นี่มันเกิดเื่อันใดขึ้น?”
หลี่ลั่วเลิกคิ้ว แล้วพูดอย่างโกรธขึ้งว่า “หากไม่ได้โบยเขาให้ตายความเคียดแค้นในใจข้าคงบรรเทาลงไม่ได้จริงๆ ขอรับ จวนจงหย่งโหวของข้า ไม่รู้ว่าคนสกปรกต่ำช้าพรรค์นั้นบุกเข้ามาได้อย่างไร ซ้ำยังกล้าบุกเข้าไปในเรือนของพี่หญิงใหญ่ ยังดีที่ไม่เกิดเื่อันใดขึ้น ไม่เช่นนั้นข้าต้องฆ่าเขาแน่นอน”
คำว่า ‘คนสกปรกต่ำช้า’ นั้นทำให้หลี่เหล่าไท่ไท่และหยวนเฉิงถึงกับความดันโลหิตพุ่งสูงปรี๊ดทันที
“เ้ามันกำเริบเสิบสาน” หยวนเฉิงกล่าว “ข่ายเกอเอ๋อร์เป็พี่ชายของเ้า อะไรคือคนสกปรกต่ำช้ากัน? นี่มันกฎเกณฑ์อันใดของเ้า? เ้ามันช่างเป็สิ่งที่มีชีวิตเกิดมาแต่ไม่มีผู้ใดสั่งสอนโดยแท้”
“ฉางเฉิง ตบปากเขาให้ข้า” หลี่ลั่วยังคงมีรอยยิ้ม ไม่โกรธและไม่หุนหันพลันแล่น
หลี่ฉางเฉิงก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้า ขณะที่พวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็ตบหยวนเฉิงไปหนึ่งฉาด
“หยุดนะ จับเขาเอาไว้ จับเขาเอาไว้เดี๋ยวนี้” หลี่เหล่าไท่ไท่ร้องะโ “สารเลว เ้าสารเลวนี่มาจากที่ใดกัน จับตัวเขาให้ข้า”
แต่ที่นี่คือเรือนโฉวงจี๋ของหลี่ลั่ว ผู้ที่ติดตามหลี่เหล่าไท่ไท่มามีเพียงหญิงรับใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหานินทา ผู้ใดเล่าจะกล้าไปฉุดกระชากลากดึงหลี่ฉางเฉิง? แล้วจะให้ไปกระชากผู้ที่ฝึกยุทธ์อย่างเขาได้เช่นใดกันเล่า? ส่วนบ่าวรับใช้ที่หยวนเฉิงพามาด้วยสองคนนั้น เมื่ออยากจะเข้าไปช่วยเหลือก็ถูกคนที่พ่อบ้านจี้พามาลากตัวออกไปเสียแล้ว หยวนเฉิงจึงถูกหลี่ฉางเฉิงจับตัวไว้อยู่อย่างนี้
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดลากตัวหลี่ฉางเฉิงออกไป หลี่เหล่าไท่ไท่จึงมองหลี่ลั่วด้วยความโกรธขึ้ง “ลั่วเกอเอ๋อร์ นี่เ้าทำอันใด? นี่คือท่านลุงของเ้า เ้ามันช่างไม่กตัญญู เ้ามันเด็กอกตัญญู”
“เหล่าไท่ไท่โปรดระวังคำพูดด้วย” หลี่ลั่วเก็บรอยยิ้มของเขา พร้อมกับทักท้วงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เปิ่นโหว[3]คือจงหย่งโหวที่ฝ่าาพระราชทานบรรดาศักดิ์ ทั้งฝ่าายังพระราชทานชื่อให้ เขานับเป็สิ่งของอันใดได้ กล้ามานับญาติกับข้า ซ้ำยังด่าว่าข้าเป็สิ่งที่มีชีวิตเกิดมาทว่าไม่มีผู้ใดสั่งสอน? เปิ่นโหวนั้นถูกเลี้ยงอยู่ข้างนอกด้วยพระประสงค์ของฝ่าา ลบหลู่ดูถูกเปิ่นโหว ก็คือการลบหลู่ดูถูกฝ่าา”
“เ้า...เ้า...”
“เปิ่นโหวรู้ว่าสุขภาพของเหล่าไท่ไท่ไม่ดี คนสกปรกต่ำช้าที่กล่าวอ้างคิดปีนป่ายเป็ญาติของจวนโหวนั้น เปิ่นโหวจะส่งตัวให้จวนว่าการตัดสิน” พูดแล้วก็หันไปทางหลี่จงิ “ท่านอาหลี่ จวนว่าการมาถึงแล้วหรือไม่?”
“รออยู่ด้านนอกขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปเรียกมาเสีย”
“ขอรับ”
“หยุดนะ” หลี่เหล่าไท่ไท่พูดได้เพียงคำเดียวก็รู้สึกเหมือนเืลมตีกลับ ไม่มีเสียงใดๆ ออกมา “ข้าปวดใจนัก...ข้ารู้สึกไม่สบาย รีบเชิญท่านหมอให้ข้า เร็วเข้า...” จากนั้นหลี่เหล่าไท่ก็สิ้นสติไป
หลี่ลั่วเลิกคิ้ว “พ่อบ้านจี้ไปเชิญท่านหมอก่อนเถิด ท่านอาหลี่ รีบเข้าวังไปส่งเทียบเชิญให้กับหมอหลวง ไปขอความช่วยเหลือจากไห่กงกงเสีย ไปเชิญหมอหลวงที่ว่างอยู่ทั้งหมดมาให้ข้า”
“ขอรับ”
“ไอโยว คุณชายใหญ่หยวนทำเหล่าไท่ไท่โมโหจนหมดสติแล้ว รีบไปเชิญหมอมาเร็วเข้า...คุณชายใหญ่หยวนทำเหล่าไท่ไท่โมโหจนหมดสติแล้ว ไปเชิญท่านหมอมาบัดเดี๋ยวนี้” พ่อบ้านจี้นั้นช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก
พอหลี่เหล่าไท่ไท่ที่หมดสติไปแล้วได้ยินคำพูดประโยคนี้ นางก็อยากจะหมดสติไปอีกครั้งเสียจริงๆ แต่ช่วยไม่ได้ที่นางหมดสติไปแล้วก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งคำพูดของพ่อบ้านจี้เอาไว้ได้ เพราะพ่อบ้านจี้ลงมือรวดเร็วยิ่งนัก พ่อบ้านจี้วิ่งออกไปจากจวนโหวอย่างรวดเร็วปานสายลมที่พัดผ่าน วิ่งไปด้วยร้องะโไปด้วยตลอดทาง “คุณชายใหญ่หยวนทำเหล่าไท่ไท่ของพวกเราโมโมจนหมดสติแล้ว ท่านหมออยู่ที่ไหน?”
มีคนได้ยินแล้วจึงถามว่า “เหล่าไท่ไท่ของพวกท่านคือผู้ใดกันเล่า?”
พ่อบ้านจี้ตอบ “เหล่าไท่ไท่ของพวกเราคือเหล่าไท่ไท่ของจวนจงหย่งโหว”
“เช่นนั้น คุณชายใหญ่หยวนคือผู้ใดเล่า?”
พ่อบ้านจี้ตอบอีกว่า “คุณชายใหญ่หยวนคือบุตรชายของเหล่าไท่ไท่ที่เกิดกับสามีคนก่อนของนาง”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง...
กลเม็ดนี้ของพ่อบ้านจี้ขนาดหลี่ลั่วก็ยังคาดไม่ถึง เขาวิ่งอย่างรวดราวกับสายลมก็ไม่ปาน ความเร็วขนาดนี้ หลี่ลั่วเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากที่หลี่ลั่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จึงกลั้นไม่ไหวหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง พ่อบ้านจี้เป็คนฉลาดคนหนึ่ง รู้ว่าเหล่าไท่ไท่นั้นแกล้งหมดสติ หากเหล่าไท่ไท่พูดขึ้นมาในภายหลังว่าถูกเสี่ยวโหวเหฺยทำให้โมโหจนหมดสติ เช่นนั้นก็จะทำให้เสี่ยวโหวเหฺยมีชื่อเสียงมัวหมอง ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตัดสินใจทำไปโดยพลการ
ในขณะเดียวกัน ซินหมัวมัวที่ถือป้ายิญญาของหลี่ซวี่และภรรยาเอกของหลี่เหล่าไท่เหฺยก็ได้กลับมาถึงแล้ว
หลี่ลั่วให้ซินหมัวหมัวนำป้ายิญญาไปยังเรือนของหลี่หลิน
หลี่หลินไม่ยอมออกมาจากเรือนของตน หลังจากที่หลี่ลั่วออกไปนางก็อยู่แต่ในห้องตลอดเวลา
“เสี่ยวโหวเหฺย” เสี่ยวฟางเป็สาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายของหลี่หลิน ถูกขายมาที่จวนั้แ่ยังเล็ก สาวใช้รุ่นใหญ่คนก่อนหน้าเสี่ยวฟางนั้นแต่งงานออกจากจวนไปแล้ว ทาสนั้นมีการทำหนังสือขายตัวสองชนิด ชนิดหนึ่งคือหนังสือขายตัว อีกชนิดคือสัญญาขายตัว ด้วยเหตุที่ทาสนั้นฐานะต่ำต้อย ดังนั้นหลายครอบครัวจึงไม่ยินยอมที่จะทำหนังสือขายตัว ล้วนชมชอบที่จะทำสัญญาขายตัว หลายปีผ่านไปเมื่อมีเงินเก็บเป็ก้อนก็จะออกจากจวนได้
หลี่ลั่วพยักหน้า มองเสี่ยวฟางอย่างพินิจหลายครั้ง “พี่ใหญ่เล่า?”
“คุณหนูใหญ่นอนอยู่บนเตียงเ้าค่ะ” เสี่ยวฟางตอบ “คุณหนูใหญ่นาง...”
“ข้างกายพี่ใหญ่มีเพียงเ้าเป็สาวใช้เพียงคนเดียวหรือไร?” หลี่ลั่วขัดจังหวะคำพูดของนาง
เสี่ยวฟางส่ายหน้า “ข้างกายคุณหนูใหญ่มีสาวใหญ่รุ่นใหญ่สองคน สาวใช้ขั้นสองจำนวนสองคน และสาวใช้ขั้นสามอีกจำนวนสองคนเ้าค่ะ” โดยปกติคนในคฤหาสน์ของครอบครัวระดับจวนโหวนั้นล้วนมีสาวใช้รุ่นใหญ่สี่คน แต่หลี่หยางซื่อเห็นว่าหลี่ซวี่จากไปแล้ว ในเรือนไม่ได้มีคนมากมายอันใด จึงตัดจำนวนคนออกเพื่อลดค่าใช้จ่ายลง
“แต่หลังจากที่ข้ามาแล้ว ข้าเห็นว่าข้างกายพี่ใหญ่มีเพียงเ้าเพียงคนเดียวที่เป็สาวใช้รุ่นใหญ่ แล้วสาวใช้รุ่นใหญ่อีกคนเล่า?” หลี่ลั่วถาม
เสี่ยวฟางตาแดงก่ำ “สาวใช้รุ่นใหญ่อีกคนชื่อว่าหลิวโม่เ้าค่ะ มารดาของนางเป็แม่นมของคุณหนูใหญ่ เติบโตมาด้วยกันกับพวกเราั้แ่ยังเล็ก ก่อนเสี่ยวโหวเหฺยกลับมาไม่กี่วันแม่นมล้มป่วยลงเ้าค่ะ หลิวโม่จึงขอลาหยุดกลับไปดูแลแม่นม”
หลี่ลั่วพยักหน้า
เสี่ยวฟางลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “บิดาของหลิวโม่เป็คนข้างกายเหล่าโหวเหฺยเ้าค่ะ ปีนั้นบิดาของหลิวโม่จากไปพร้อมกับเหล่าโหวเหฺย”
หลี่ลั่วตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึง แต่เขาพลันนึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ “ข้าถือกำเนิดอยู่ข้างนอก มารดาผู้ให้กำเนิดข้าไม่เคยปรากฏกายที่จวนโหวมาก่อนใช่หรือไม่?”
แม้เสี่ยวฟางจะไม่เข้าใจความหมายของหลี่ลั่ว แต่ก็ยังคงพยักหน้า “ก่อนหน้าที่เสี่ยวโหวเหฺยจะเกิดนั้น พวกเราต่างไม่รู้ว่าเหล่าโหวเหฺยมีอนุเ้าค่ะ อยู่มาวันหนึ่งเหล่าฮูหยินก็ได้รับจดหมายจากเหล่าโหวเหฺย บอกว่ามีเสี่ยวโหวเหฺยแล้วเ้าค่ะ”
“เื่นี้ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นแม่นมเป็แม่บ้านผู้ดูแลเรือนของพี่ใหญ่ด้วยใช่หรือไม่? เช่นเดียวกับซินหมัวมัว?” หลี่ลั่วถามอีก
“ใช่เ้าค่ะ” เสี่ยวฟางตอบ
“ดังนั้นบัดนี้เรือนของพี่ใหญ่จึงไม่มีแม่บ้านดูแลเช่นนั้นหรือ?”
“เ้าค่ะ”
ที่จริงแล้วสถานการณ์เช่นนี้หลี่ลั่วนั้นเข้าใจได้ อีกฝ่ายเป็แม่นมของหลี่หลิน หากเมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วในเรือนจัดแม่บ้านผู้ดูแลคนใหม่มาดูแลในเรือนแทน เช่นนั้นผู้อื่นจะคิดเช่นใดเล่า? และเช่นเดียวกันฐานะสาวใช้รุ่นใหญ่ของหลิวโม่ก็ต้องคงไว้ให้นาง
แต่ปัญหามาแล้ว ไม่มีแม่บ้านดูแลเรือน ภายในเรือนจึงเหมือนกับเม็ดทรายถาดหนึ่ง หลี่หลินเป็คุณหนูใหญ่ของจวนโหว วันนี้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น กลับไม่มีสาวใช้ก้าวขึ้นมาช่วยเหลือสักคน “เช่นนั้นสาวใช้ขั้นสองและสาวใช้ขั้นสามเล่า?”
“สาวใช้ขั้นสองคนหนึ่งไปห้องครัวรับอาหารเที่ยงของคุณหนูเ้าค่ะ ส่วนอีกคน...ข้าไม่รู้ว่าไปที่ไหน สาวใช้ขั้นสามใมากตอนนี้จึงไปอยู่กับสาวใช้แรงงานที่กวาดลานบ้านเ้าค่ะ” เสี่ยวฟางตอบ
“หลิวโม่และแม่นมจะกลับมาเมื่อใด?”
“เื่นี้บ่าวไม่ทราบเ้าค่ะ” เสี่ยวฟางส่ายหัว
“เ้าเฝ้าหน้าประตูไว้ ซินหมัวหมัวเข้าไปในเรือนกับข้า” หลังจากหลี่ลั่วสั่งการแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องของหลี่หลิน แม้จะมีธรรมเนียมชายหญิงแตกต่าง แต่พวกเขาเป็พี่น้องกัน เมื่อเดินเข้าไปก็ควรส่งเสียงทักทายเสียหน่อย แต่หลี่ลั่วอายุยังน้อย ย่อมไม่เป็อุปสรรคอันใด
หลังจากหลี่ลั่วเข้าไปก็เห็นหลี่หลินเอนกายอยู่บนเตียง ร่างกายสั่นสะท้านเบาๆ กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
[1] การยกฝ่ามือ หมายถึง การช่วยเหลือที่แทบจะไม่ต้องลงทุนลงแรงใดๆ ช่วยได้อย่างง่ายดาย
[2] ท่าหม่าปู้ (马步) หมายถึง ท่านั่งม้า เป็ท่าพื้นฐานในการฝึกยุทธ์เพื่อฝึกกำลังขาให้มั่นคง
[3] เปิ่นโหว (本侯) คือ คำที่ผู้มียศ โหว เรียกแทนตนเอง