"ท่านลุง ข้าช่วยท่านเอง ท่านดูนะ ปูน้อยต้องกินอย่างนี้" เฉียวเยว่วิ่งเข้าไปด้านข้างของฉีจือโจว บิดขาปู แล้วยกขึ้นมาดูดแรงๆ ดวงตากลมโตระยิบระยับวับวาวเต็มไปด้วยความจริงใจ
"ในกระดองมีไข่ปูเต็มไปหมด อร่อยเป็พิเศษ ยกให้ท่านกิน ข้ากินขาปูก็พอแล้ว ตรงนี้ก็มีเนื้อเยอะเหมือนกัน" ช่างเป็แม่หนูน้อยที่จิตใจดีจริงๆ เพื่อพิสูจน์วาจาของตน นางยิ่งดูดขาปูแรงขึ้น
แต่ไหนแต่ไรมาฉีจือโจวไม่เคยรู้สึกว่าตนเองจะมีความอ่อนโยนในหัวใจ แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยคนนี้ในครอบครัวของพวกเขาแล้ว ก็รู้สึกว่านางช่างน่าเอ็นดูจนแทบอดไม่ได้ อยากจับมาหอมแก้มสักฟอด
เขาอุ้มเฉียวเยว่ขึ้นมานั่งบนตักของตนเอง "ไม่ว่าส่วนไหนก็ยกให้เฉียวเยว่กินทั้งหมดเลย"
เฉียวเยว่ตาโตสว่างสดใสทันควัน ถามตะกุกตะกัก "ดะ...ได้หรือ? ข้ากินได้หรือ?"
"ย่อมได้สิ ค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่ง" ฉีจือโจวเช็ดปากให้เฉียวเยว่
ซูซานหลางเห็นความอ่อนโยนของฉีจือโจวแล้วก็รู้สึกเหมือนเห็นผี ลืมสิ้นว่าตนเองไม่อนุญาตให้บุตรสาวกินปูเยอะเกินไป
เขาลืมไปแล้ว แต่ฉีอันน้อยที่อยู่ด้านข้างยังไม่ลืม เขาเปิดโปงเฉียวเยว่ "ท่านลุงถูกหลอกแล้ว ท่านพ่อไม่ให้เฉียวเฉียวกินปูเยอะเกินไป"
รสชาติที่ถูกปากของสองพี่น้องไม่เหมือนกันเท่าใดนัก
เฉียวเยว่รีบยกมือแสดงความจริงใจเต็มเปี่ยม "ข้ามิได้หลอกท่านลุง ข้าให้ท่านลุงจริงๆ ส่วนตัวข้าเองแค่ดูดเอารสชาตินิดหน่อยก็พอแล้ว"
มือน้อยทั้งสองจับเสื้อของตนเองไว้แน่น แสดงให้เห็นว่าแม้จะอยากกินมากก็ต้องตัดใจ ทำให้คนปวดใจแทบตาย ฉีจือโจวแทบมิอาจสะกดกลั้นความปรารถนาที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้แก่นางได้
แต่ซูซานหลางเห็นคราบสกปรกจากมือของเฉียวเยว่บนเสื้อผ้าที่สะอาด มุมปากก็เริ่มกระตุก
"ข้าชอบท่านลุงมากจริงๆ นะ" นางประกาศเสียงดัง
เด็กอะไรช่างน่ารักยิ่ง ฉีจือโจวจูงมืออวบน้อยๆ ของเฉียวเยว่ "เนื้อปูมีฤทธิ์ค่อนข้างเย็น บิดาเ้ากลัวเ้าจะไม่สบาย หาใช่เสียดายของจึงมิให้เ้ากิน"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าทราบ แต่ข้าตะกละ"
นางชอบทุกสิ่งที่อยู่ในน้ำ.... แต่ต้องกินได้ด้วย
ความตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้ยิ่งทำให้ฉีจือโจวมีรอยยิ้มมากขึ้น เขาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง "โรงครัวในจวนของลุงทำซาลาเปาไข่ปูได้ นั่นกินได้เยอะหน่อยไม่เป็ไร"
ดวงตาของเฉียวเยว่พลันลุกวาว "ข้าอยากกิน ข้าอยากกิน"
"ได้ เย็นนี้ลุงกลับไปจะไปสั่งคนให้ทำ พรุ่งนี้เฉียวเยว่ก็จะได้กินซาลาเปาไข่ปูร้อนๆ แต่เช้าดีหรือไม่?" ฉีจือโจวยกยิ้มน้อยๆ
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างแรง นางยืดตัวขึ้นไปหอมแก้มของฉีจือโจว
ห้วงเวลาราวกับถูกตรึงอยู่กับที่
เฉียวเยว่ร้องอย่างดีใจ "ท่านลุงเก่งกล้าที่สุดในโลก ไม่ว่าสิ่งใดล้วนทำได้ทุกอย่าง"
ฉีจือโจวลูบศีรษะของนาง "เฉียวเยว่ก็เป็เด็กหญิงตัวน้อยที่น่ารักที่สุดในโลก"
ไท่ไท่สามยิ้มอย่างอ่อนโยน "สองคนมัวแต่ชมกันไปชมกันมา ไม่กลัวว่าผู้อื่นจะขบขันบ้างหรือ พี่ใหญ่ ท่านมีงานราชการรัดตัว อย่ามาเพียงเพราะเด็กคนนี้เขียนจดหมายไปตามดีกว่า แต่ละวันของนางมีแต่เื่เหลวไหลทั้งนั้น"
"งานราชการไม่มีที่สิ้นสุดหรอก" เสียงของฉีจือโจวเย็นชืดเล็กน้อย
"นั่นสิ นั่นสิ มักยุ่งไม่มีที่สิ้นสุด ท่านลุงต้องพักผ่อนให้มากถึงจะดีต่อสุขภาพ ควรพักก็พัก อย่าให้ตนเองต้องเหนื่อยเกินไปจนล้มป่วยเพียงเพื่อแผ่นดินของผู้อื่น"
"เฉียวเยว่!" ซูซานหลางสะดุ้งเฮือกกับคำพูดของนาง "ระวังคำพูด แผ่นดินของผู้อื่นอันใด ห้ามเอ่ยวาจาเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่"
เฉียวเยว่ตกตะลึง แต่ต่อมาก็เข้าใจว่าคำพูดของตนเองไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง จึงรับปากอย่างเชื่อฟัง "ท่านพ่อ ท่านอย่าโกรธเลย ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะระมัดระวัง ไม่พูดเหลวไหลพร่ำเพรื่ออีกแล้ว
เฉียวเยว่กาดอกจันเล็กๆ ในใจ จดจำครั้งนี้ไว้
"เข้าใจก็ดีแล้ว หากข้าได้ยินเ้าพูดเช่นนี้อีก จะถูกตีก้นร้อยที" ในที่สุดซูซานหลางก็ผ่อนคลายลง
เฉียวเยว่ชูนิ้วป้อมๆ ขึ้นมาสองนิ้วเป็การสาบาน "หากข้าเอ่ยวาจาเหลวไหลพร่ำเพรื่อเช่นนี้อีก แม้จะถูกตีพันครั้งข้าก็จะไม่ร้องไห้หรือขอกำลังเสริมมาช่วยเป็อันขาด"
ฉีจือโจวขบขันกับความขี้เล่นของนาง "บิดาเ้าตีเ้าบ่อยหรือ?"
น้ำเสียงเนิบเบา แต่ถึงแม้จะอ่อนโยนอย่างไรก็ยังแฝงไปด้วยไอเย็นะเื
ซูซานหลางรู้สึกเหมือนโดนยาที่วางไว้เองเสียแล้ว เดิมทีเขาอยากจะขยิบตาให้บุตรสาว แต่จนใจที่ฉีจือโจวอุ้มนางขึ้นมานั่งบนตัก ทำให้เฉียวเยว่หันหลังให้กับตนเอง
"เฉียวเยว่ซุกซนเป็ประจำเลยหรือ?" เขาถามเสียงเบา
เฉียวเยว่ตอบทันควัน "ใช่ที่ไหน ข้าว่าง่ายถึงเพียงนี้ จะซุกซนได้อย่างไร คนซุกซนต้องเป็ฉีอันน้องชายข้าแน่นอน"
ฉีอันหัวเราะเยาะ "ข้าเชื่อฟังมากกว่าเ้า เ้าต่างหากเด็กไม่ดี สามวันมิถูกตีก็ปีนขึ้นไปรื้อกระเื้ัคา"
ไมตรีระหว่างพี่สาวน้องชายก็เป็ดั่งเรือน้อยบทจะคว่ำก็พลิกคว่ำง่ายๆ
เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง "ข้ามิได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย อีกอย่างท่านพ่อก็เป็เพียงเสือกระดาษ เขาดีแต่พูดว่า ซูเฉียวเยว่ เ้าโก่งก้นน้อยๆ ขึ้นมาให้ข้าตีเสียโดยดี อุ๊ยโย๋ พูดเสียจนข้าดูเหมือนคนโง่งม รู้ว่าเขาจะตีแล้วยังต้องเชื่อฟัง ข้าเพียงแค่ตีโพยตีพายเสียงดังหน่อย พี่สาวหรือฉีอันต้องไปขอให้ท่านปู่หรือไม่ก็ท่านย่ามาช่วยอยู่แล้ว หลังจากนั้นคนที่จะถูกดุก็จะเปลี่ยนไปเป็ท่านพ่อของข้าแทน"
เฉียวเยว่พูดมาถึงตอนนี้ก็ทำสีหน้ายิ้มย่องลำพองใจ "ข้าฉลาดหรือไม่? ข้าไม่เหมือนท่านพ่อที่เอาแต่พูดเสียงดังว่าจะตี แต่ไม่เคยลงมือสักครั้ง ข้าฉลาดและมีไหวพริบมากกว่า"
ซูซานหลางมุมปากกระตุกตลอดเวลา
แม้ว่าเฉียวเยว่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการขัดแย้งกับพี่ชายภรรยาได้มาก แต่ความรู้สึกที่ถูกกระต่ายอ้วนตัวน้อยของตนเองแหนงหน่ายเป็อารมณ์ที่ซับซ้อนและอ่อนไหวมากจริงๆ
ฉีจือโจวชำเลืองมองซูซานหลาง เห็นสีหน้าของเขาแดงเหมือนตับหมูก็เอ่ยว่า "ประเดี๋ยวพวกเราไปห้องหนังสือ ข้าอยากจะคุยกับเ้าสองสามประโยค"
ซูซานหลางรู้สึกว่าในหัวใจของตนเองไม่มีทั้งความทุกข์และความยินดี แต่หากจะมีก็คงมีแต่ความรู้สึกอยากร้องไห้
นี่มันโศกนาฏกรรมชัดๆ
"ท่านลุง ยามตำหนิท่านพ่อต้องระมัดระวังด้วยเล่า เอาแค่หอมปากหอมคอ อย่ารุนแรงเกินไป มิเช่นนั้นเขาจะร้องไห้" จู่ๆ เฉียวเยว่ก็เอ่ยปาก
ฉีจือโจวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก "ไยข้าต้องตำหนิบิดาเ้า? จะว่าไป ข้าก็มิใช่ผู้าุโ"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ซูซานหลางกลับพยักหน้าอยู่เงียบๆ ในใจ
ใครบ้างไม่รู้ว่าพี่ชายภรรยาผู้นี้น่ากลัวแค่ไหน?
ปีนั้นหากมิใช่เขาไปเกลี้ยกล่อมฝ่าา ตนเองไหนเลยจะได้แต่งหญิงงามกลับมา ควรรู้ว่าตอนที่เขาขอพระราชทานสมรส ฝ่าาทรงลังเลพระทัยอย่างมาก แต่พอฉีจือโจวเข้าวังทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลับตาลปัตรไปหมด
ยามนั้นเขาถูกความยินดีครอบงำจนไม่ได้คิดเป็อย่างอื่น แต่พอมาตรองดูภายหลัง มารดาของแม่ทัพิ่เป็ทั้งจ่างกงจู่ และพระปิตุจฉา ฝ่าาไม่น่าจะเพียงแค่เห็นแก่มิตรภาพความเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้อง พระราชทานสมรสให้กับว่าที่สะใภ้ญาติผู้น้องซึ่งยังมิได้แต่งเข้าจวนของตนเองให้กับผู้อื่นกระมัง?
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์จะดีเพียงใด ก็ไม่น่าจะถึงขั้นสามารถทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยครั้งใหญ่ได้ ด้วยเหตุนี้ในใจเขาจึงยิ่งเคารพนับถือฉีจือโจวอย่างยิ่ง
หากไม่มีฉีจือโจว เขากับอาอิ่งก็ไม่มีทางได้แต่งงานกัน
"แต่ท่านพ่อกลัวท่านลุงมาก ท่านลุงอย่าตะคอกเสียงดังใส่เขาได้หรือไม่ มิเช่นนั้นท่านพ่อต้องไปแอบร้องไห้ตอนกลางคืนแน่ๆ เลย" เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง
"ข้าแอบร้องไห้เมื่อใด เ้ารู้ด้วยรึ?" ซูซานหลางเอ่ยขึ้น
บุตรสาวของเขาเป็ดาวพิฆาตบิดาใช่หรือไม่ ถึงคอยจ้องจะทำลายชื่อเสียงของตนเอง
"อย่าคิดเฉไฉ ข้าแอบได้ยินท่านพูดว่า อาอิ่ง พอนึกว่ามีคนในจวนสมคบกับคนนอกปองร้ายเ้า ข้าก็ทรมานใจยากจะทนได้ ข้ากลัวจริงๆ จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่..."
"ซูเฉียวเยว่!" ซูซานหลางลุกพรวดขึ้น เ้าเด็กแสบแอบฟังอยู่หลังกำแพงนี่เอง!
เฉียวเยว่หดคออยู่ในอ้อมแขนของฉีจือโจว เอ่ยเสียงเบา "ผู้อื่นพูดความจริงนี่นา"
ฉีจือโจวตบๆ หลังของนาง ยายหนูคนนี้แม้แต่แผ่นหลังก็ยังมีแต่เนื้อ
"มิต้องกลัว ท่านพ่อของเ้าไม่ตีเ้าหรอก แต่ต่อไปเ้าอย่าแอบฟังหลังกำแพงอีก เข้าใจหรือไม่?"
เฉียวเยว่ตอบอื้ม ดวงหน้าน้อยชะโงกออกมา "ข้าเป็เด็กดี วันหลังไม่ทำแล้วเ้าค่ะ"
ซูซานหลางเชื่อนางก็บ้าแล้ว
...
คืนนั้นเฉียวเยว่ถูกไท่ไท่สามบ่นอยู่นาน แต่นางกลับพูดออกไปตรงๆ "ท่านแม่ ข้าจงใจบอกท่านลุง"
รอบกายไม่มีใครแล้ว เฉียวเยว่ย่อมจะพูดความจริง
ไท่ไท่สามอึ้งงัน ก่อนถามว่า "เหตุใดเ้าถึงจงใจทำเยี่ยงนี้ รู้หรือไม่ท่านพ่อของเ้าเสียใจเพียงใด อีกอย่างเ้ากล่าวเช่นนี้ท่านลุงจะคิดเช่นไร หรือว่าเ้าอยากให้ท่านลุงมีปัญหากับจวนซู่เฉิงโหว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กดีพึงกระทำ"
เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่แม้ซานหลางจะมิได้มีหน้ามีตามากมาย แต่ก็ควรคำนึงถึงบ้างกระมัง? เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่พูดเหลวไหล ยังพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดด้วย
"ข้าย่อมทราบว่าไม่ควรยุแยงตะแคงรั่ว การกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง" เฉียวเยว่พูดอย่างฉาดฉาน แต่หลังจากนั้นก็บีบชายเสื้อ เอ่ยอย่างจริงจัง "แต่ความปลอดภัยของท่านแม่สำคัญยิ่งกว่า ข้ารู้ ท่านพ่อจะปกป้องคุ้มครองท่านแม่ แต่ท่านพ่อคือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ คนในมักมองไม่ออก แต่คนนอกมักเห็นแจ่มชัด ข้ากลัวท่านพ่อจะถูกใบไม้ใบเดียวบังตา บอกท่านลุงก็จะมีคนช่วยคิดวิเคราะห์เพิ่มขึ้นมาอีกคน ท่านลุงเก่งกาจมาก ข้าเองก็รู้ว่าท่านพ่อไม่พอใจที่ข้าทำเช่นนี้ แต่ข้าเป็บุตรสาวแท้ๆ ของท่านพ่อ ข้าทั้งน่ารักและแสนดี ท่านพ่อย่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองจริงจังอยู่แล้ว เขายังคงรักข้าเหมือนแต่ไหนแต่ไรมาอย่างแน่นอน อีกอย่างท่านเป็ฉลาดปราดเปรื่อง ย่อมตระหนักได้ว่าข้าเป็ห่วงความปลอดภัยของท่านแม่ ถึงพูดเช่นนี้ออกไปต่อหน้าท่านลุง"
ใครเล่าจะคิดว่านี่เป็วาจาของเด็กห้าขวบ แล้วใครเล่าจะคิดว่าเด็กน้อยห้าขวบจะมีความคิดลึกล้ำเยี่ยงนี้
ไท่ไท่สามถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ซูซานหลางยืนอยู่หน้าประตูยิ่งนิ่งงันไปนาน แต่พอตรองดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าเฉียวเยว่พูดมีเหตุผลมากจริงๆ
เขากระแอมกระไอเสียงเบา เฉียวเยว่รีบทำตัวน่ารักทันควัน "ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้วหรือ"
ขาสั้นๆ ปีนลงจากเตียง วิ่งไปที่หน้าประตู พริบตาเดียวก็พุ่งเข้ากอดต้นขาของซานหลาง พร้อมกับเอ่ยปากด้วยถ้อยคำอ่อนหวานปานมธุรสอันเป็ไม้ตายของตนเอง
"ท่านพ่อ ท่านไม่มาดูข้า ข้าคงนอนไม่หลับ"
ซูซานหลางแกล้งทำหน้าบึ้ง "เ้าชอบลุงของเ้ามากกว่ามิใช่หรือ?"
เฉียวเยว่ถูใบหน้าน้อยๆ กับขาของซานหลาง "ข้าต้องรักท่านพ่อมากกว่าอยู่แล้ว ข้าพบท่านพ่ออยู่ทุกวัน แต่พบกับท่านลุงเพียงครั้งคราว ย่อมต้องกระตือรือร้นสนิทชิดเชื้อกับท่านลุงมากหน่อย แต่มิได้หมายความว่าข้าไม่รักท่านพ่อ คนที่ข้ารักที่สุดในโลกก็คือท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาว และฉีอัน"
ซูซานหลางอุ้มบุตรน้อยขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า "เหตุใดเ้าหนักขึ้นกว่าเมื่อวันก่อนอีกแล้วเล่า?
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก "นั่นก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่เลี้ยงข้าอย่างดีไงเล่า"
ซูซานหลางกดจมูกน้อยๆ ของนาง
"เ้านี่นะ ไหนเล่าให้พ่อฟังซิ นอกจากเื่ที่พูดบนโต๊ะอาหารเ่าั้แล้ว เ้ายังบอกอะไรกับท่านลุงของเ้าอีก?"
ซูซานหลางถาม อย่านึกว่าเขาไม่เห็น นางลากพี่ชายภรรยาไปกระซิบกระซาบอยู่นาน
"ข้าเล่าความคิดของป้าสะใภ้รองให้ท่านลุงฟัง ตอนบ่ายที่ข้าออกไปเล่นกับพี่หญิงหรงเยว่ ได้ยินนางพูดว่าอีกสี่วันน้าหญิงเล็กของนางจะมาถึง ข้าบอกท่านลุงว่ามาครั้งหน้าต้องระวังหน่อย มิเช่นนั้นอาจถูกคนจับไปเป็สามี"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้