คุณยายถามต่ออย่างสงสัย “แล้วหลานถามอะไรเขา”
ในใจเซี่ยโม่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แววตาของคุณยายตอนนี้เป็ประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คุณยายถามจะไม่ตอบก็ไม่ได้ อย่างไรเสีย พอเธอนำผ้ากับฝ้ายกลับมาก็ต้องอธิบายอยู่ดี อธิบายตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
เธอเลยตอบออกไปว่า “พี่ซ่งบอกกับหนูว่าสามารถซื้อผ้ากับฝ้ายโดยไม่ต้องใช้คูปองจัดสรรอาหารได้ หนูเลยคิดว่าจะเอาสมุนไพรที่เก็บจากบนเขาไปขาย ได้เงินมาเมื่อไรจะวานเขาช่วยซื้อผ้ากับฝ้ายมาให้ค่ะ”
คุณยายพยักหน้า เด็กคนนี้คิดได้รอบคอบยิ่ง
พอฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไป ฤดูหนาวก็จะมาเยือน แต่หลานสาวหลานชายของเธอยังไม่มีเสื้อหนาวเลย
ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เด็กทั้งสองผ่านมันมาได้อย่างไร ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
จากนั้นคุณยายเอ่ยถามด้วยความกังวล “โม่โม่ หลานเก็บสมุนไพรไปขายได้เงินเท่าไร เดี๋ยวซื้ออาหาร เดี๋ยวซื้อธัญพืช นี่จะซื้อผ้ากับฝ้ายอีก”
“หากเจอสมุนไพรหายากก็จะขายได้เงินมากหน่อย มันขึ้นอยู่ที่ดวงด้วยค่ะ”
“โม่โม่ของเราดวงดีมาแต่ไหนแต่ไร อะไรที่หลานฝันไว้ต้องกลายเป็จริงแน่” คุณยายให้กำลังใจ
เซี่ยโม่ยิ้มรับ “แน่นอนค่ะ เพราะหนูคือเซเลอร์มูนผู้ไร้เทียมทานที่สุดในจักรวาล!”
เซี่ยเฉินเฟิงที่นั่งเล่นอยู่ด้านข้าง คงเพราะอยากมีส่วนร่วม จึงเอ่ยออกมาว่า “พี่ ถ้างั้นผมก็คืออุลตราแมนที่ไร้เทียมทานที่สุดในจักรวาลเหมือนกัน”
เธอมองน้องชายที่ตอนนี้สดใสร่าเริงขึ้นกว่าเดิมมาก นึกถึงก่อนหน้านี้ที่มักจะไปนั่งหลบมุมอย่างระแวงขลาดกลัว นึกแล้วก็ปวดใจเหลือเกิน
“เฉินเฟิง ต่อไปเราอยากพูดอะไรก็พูดได้เลยนะ น้องของพี่กล้าหาญที่สุดอยู่แล้ว” เธอกล่าวชม
เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้า หลายวันที่ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยาย เขามีความสุขมาก
ไม่เพียงมีคุณตาคุณยายรักใคร่ พี่สาวยังชอบนำขนมมาฝากเขาบ่อยๆ ทุกวันเขารู้สึกมีความสุขเหมือนมีฟองอากาศลอยอยู่รอบตัว
เห็นหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปเื่อื่น คุณยายจึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
คุณตาซึ่งนั่งเงียบด้านข้างอยู่นานเอ่ยออกมาว่า “โม่โม่ เรายังเด็ก ต้องเรียนหนังสือก่อน อย่าเพิ่งไปคิดเื่อื่นรู้ไหม”
ในสมองเซี่ยโม่ปรากฏเครื่องหมายคำถามอีกครั้ง คุณยายกลับมามีท่าทีปกติ แต่ไหงคุณตากลับมีท่าทีแปลกๆ แทน
“คุณตาคะ เปิดเทอมเมื่อไรหนูก็จะกลับไปเรียนเหมือนเดิม หนูจะเก็บสมุนไพรแค่่ปิดเทอมเท่านั้นค่ะ”
เห็นคุณตาคุณยายไม่พูดอะไรต่อ เธอส่งสัญญาณผ่านสายตาให้น้องชาย ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าบ้าน
น้องชายติดเธอมาแต่ไหนแต่ไรจึงเดินตามออกมา “พี่ครับ พี่อยากรู้ใช่ไหมว่าคุณตาคุณยายเป็อะไร”
ทำไมน้องชายของเธอถึงได้ฉลาดแบบนี้นะ!
เธอพยักหน้า “เรารู้เหรอ”
“พี่ครับ ผมจะบอกอะไรพี่ให้ ก่อนที่พี่จะกลับมา คุณยายพูดกับคุณตาว่า พี่ซ่งนิสัยไม่เลว…”
เธอทำหน้าตะลึง เธอเพิ่งจะอายุสิบห้า หากเปรียบกับต้นไม้ก็ยังเป็แค่ต้นอ่อนๆ พวกท่านทั้งสองคิดอะไรอยู่เนี่ย
ขณะกินข้าว คุณยายทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “โม่โม่ ปีนี้เราอายุสิบสี่ย่างสิบห้าแล้วใช่ไหม มู่ไป๋เด็กคนนี้ดูไม่เลว ครอบครัวก็ไม่ซับซ้อน หลานคุยกับเขาได้ แต่อย่าลืมรักษาระยะห่างละ”
คุณยายพูดเสียชัดเจนขนาดนี้ ใบหน้าเซี่ยโม่พลันขึ้นสีแดงในชั่วพริบตา
“คุณตาคุณยายพูดอะไรคะ หนูเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง อีกอย่างหนูเห็นเขาเป็แค่พี่ชายเท่านั้น”
เห็นหลานสาวหน้าแดง คุณยายจึงไม่พูดอะไรอีก เพราะไม่อยากให้หลานสาวรู้สึกอึดอัด
“จะเห็นเป็พี่ชายหรือเพื่อนหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนั้นก็ดูไม่เลว ดูเป็คนพึ่งพาได้”
เซี่ยโม่ได้แต่แอบคิดในใจ นี่พี่ซ่งไปพูดอะไรกับคุณตาคุณยายเนี่ย คุณตาคุณยายถึงได้ประเมินเขาเสียสูงขนาดนี้
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็แค่หลานห่างๆ ในขณะที่อีกฝ่ายต่างหากที่เป็หลานแท้ๆ
ด้านคุณตา เขาเพิ่งนึกได้ว่าหลานสาวของตัวเองทั้งฉลาดทั้งเรียนเก่ง ไหนเลยจะต้องกังวลเื่แต่งงาน
ด้วยเหตุนี้ท่านทั้งสองจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
“อย่างไรก็แล้วแต่ ตาแค่เห็นเด็กคนนั้นแล้วถูกชะตา เลยอยากให้คบกันไว้เท่านั้น”
เซี่ยโม่มีสีหน้างุนงงยิ่งกว่าเดิม ก่อนหน้านี้พวกท่านทั้งสองกลัวว่าเธอกับพี่ซ่งจะมีความสัมพันธ์เกินเลย บอกให้รักษาระยะห่าง มาตอนนี้กลับบอกให้คบเป็เพื่อนกันไว้
คิดดูอีกที ชาติที่แล้วมีคำกล่าวว่า คนแก่มักจะมีนิสัยเหมือนเด็ก ต้องคอยเอาอกเอาใจ เธอไม่ค่อยได้อยู่กับพวกท่านทั้งสอง นี่คงเป็นิสัยของพวกท่านกระมัง ที่ของยังไม่ได้ก็อยากจะได้ แต่พอได้มาก็กลัวจะมันเสียไป
คำนวณดูแล้ว นับจากวันที่เธอไปที่ตำบลก็ผ่านมาห้าวันแล้ว พรุ่งนี้เลยว่าจะเอาน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงไปแลกผ้ากับพี่ซ่ง
วันมะรืนคุณปู่จ้าวจะมาหาเธอ พรุ่งนี้เช้าเธอคิดจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์สักหน่อย หากได้มาก็ดีไป แต่หากล่าไม่ได้ ค่อยใช้ปลาจากในโกดังสินค้า แล้วบอกว่าจับมาได้จากแม่น้ำบนเขาแทน
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ใจจริงเธออยากกินเนื้อหมูมากกว่า
นับั้แ่กลับมาเกิดใหม่ เธอไม่ค่อยได้กินเนื้อหมูเลย พูดแล้วก็น้ำลายไหล
เนื้อหมูแดดเดียวหรือจะสู้เนื้อหมูสดๆ ได้
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เธอที่อยากกิน ร่างกายของเธอต่างหากที่้าเนื้อ
ตกเย็น ขณะที่เซี่ยโม่กำลังนอนอยู่บนเตียง เธอนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเข้าไปดูในโกดังสินค้า ในนั้นมีบุหรี่ยี่ห้อต้าเฉียนเหมินอยู่จริงๆ ด้วย
แต่รูปแบบของซองไม่เหมือนกับที่พี่ซ่งให้เพื่อนร่วมงานเมื่อครั้งนั้น ของเธอคงเป็รูปแบบใหม่กระมัง
เธอเกิดความลังเล แต่พอคิดอีกทีบุหรี่ยี่ห้อนี้มีประวัติความเป็มายาวนานกว่าร้อยปี ไม่รู้ว่ารูปแบบของซองเปลี่ยนไปกี่ครั้งแล้ว พี่ซ่งคงจะจำไม่ได้หรอก
เซี่ยโม่เพ่งมอง พบว่าบนซองไม่ได้ระบุวันเวลาที่ผลิตเอาไว้ เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก หากพี่ซ่งถามค่อยบอกไปว่าญาติให้มาก็แล้วกัน
ที่เธอหมายมาดจะมอบให้ เพราะ้าแสดงความขอบคุณ ชีวิตของน้องชายเธอมีค่ากว่าบุหรี่แถวหนึ่งตั้งเยอะ
เกรงจะดูไม่ดีหากบอกขอบคุณแค่ลมปาก แต่ไม่มีสิ่งของให้เพื่อแสดงถึงน้ำใจ แถมเธอกำลังจะไปขอความช่วยเหลือจากเขาอีก
คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า พรุ่งนี้เธอจะมอบบุหรี่แถวหนึ่งให้เขาเป็การขอบคุณ
เช้าวันต่อมาหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยโม่สะพายตะกร้าที่หลัง ก่อนจะเตรียมเดินออกจากบ้านไปตามความเคยชิน
คุณตาพลันเอ่ยออกมาว่า “โม่โม่ รอก่อน ตากับยายปรึกษากันเื่คนที่จะไปเป็เพื่อนหลานขึ้นเขาแล้ว เด็กหวางที่อยู่บ้านข้างๆ ขึ้นไปเก็บผักบนเขาบ่อยๆ หลานขึ้นไปกับเขาก็แล้วกัน”
โบราณกล่าวว่าใจของบิดามารดานั้นน่าสงสาร แม้ตอนนี้เธอจะอาศัยอยู่บ้านคุณตาคุณยาย ซึ่งตอนแรกเธอคิดว่าจะเป็คนดูแลพวกท่านเอง นึกไม่ถึงว่าจะมาทำให้พวกท่านต้องเป็ห่วง
หลายวันที่ผ่านมา เวลาเธอเข้าออกบ้านมีโอกาสได้เจอเด็กหวางบ้านข้างๆ อยู่บ่อยครั้ง
เด็กคนนี้อายุแปดถึงเก้าขวบ รูปร่างผอม แววตาหลุกหลิกเหมือนโจร เธอไม่ชอบเด็กคนนี้เลย
ด้วยเหตุนี้เธอเลยปฏิเสธโดยอ้อมไป “คุณตาคะ เขาขึ้นเขาไปเก็บผัก แต่หนูขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร พอขึ้นเขาไปแล้วก็ต้องแยกไปคนละทาง”
“เด็กนั่นบอกแล้วว่าจะไม่รบกวนตอนเก็บสมุนไพร หลานก็เก็บสมุนไพรของหลานไป ส่วนเด็กนั่นจะคอยเก็บผักอยู่ข้างๆ”
อย่างไรก็ให้เด็กหวางข้างบ้านไปด้วยไม่ได้ เธอยังต้องเก็บเื่โกดังสินค้าเป็ความลับ ตอนเธอขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เวลาเจอผักหรือผลไม้ที่สามารถรับประทานได้ก็จะเก็บติดไม้ติดมือกลับมาด้วย หากเด็กข้างบ้านไปด้วยก็เห็นหมดน่ะสิ
“คุณตา เอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ พวกผักจะขึ้นอยู่ตามเชิงเขา หนูกับเขาไปด้วยกันแค่ถึงเชิงเขาก็พอ แล้วจากนั้นหนูค่อยขึ้นเขาไปเองคนเดียว”
“นี่…” คุณตามีสีหน้าลำบากใจ
เด็กหวางนั่นบอกว่าอยากเรียนรู้เื่สมุนไพรเหมือนกัน แต่หากหลานสาวเขาสอนเื่สมุนไพรให้เด็กนั่นแล้วมีเื่อะไรเกิดขึ้นจะทำอย่างไร
สมุนไพรมีสรรพคุณช่วยรักษาโรค หากเด็กนั่นเอาไปรักษาใครแล้วเกิดอะไรขึ้น ใครจะรับผิดชอบ
ตอนนั้นเขาไม่ได้ตอบตกลงทันที บอกแค่ว่าจะกลับมาปรึกษากับหลานสาวก่อน
แค่เห็นสีหน้าของหลานสาวก็เข้าใจ เื่นี้จะตอบตกลงไม่ได้
“ได้ งั้นเดี๋ยวตาบอกแม่ของเด็กคนนั้นให้ แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็คงต้องช่างมัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้