Chapter 10
Don’t do that again
ท่ามกลางความมืดมิดและะเืในค่ำคืนที่เงียบสงัด ภายใต้บ้านหลังเล็กสีเทาหลังหนึ่ง หลอดไฟสีส้มเหลืองคือแสงสว่างเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น ใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาที่เหลือเพียงตัวเดียวในบ้าน ห้องรับแขกที่เคยโอ่อ่าเมื่อเกือบปีก่อนกลับกลายเป็อ้างว้างไม่ต่างจากจิตใจเ้าของ
มือเรียวกำบางสิ่งไว้ในมือ ดวงตาคมหลับปิด ริมฝีปากขยับเล็กน้อยพึมพำบางสิ่ง นิ้วเรียวเริ่มไล้จี้รูปไม้กางเขนของสร้อยเงินที่กำแน่นในมือ มันแวววาวหยอกล้อกับแสงไฟ บทสวดภาวนาท่ามกลางความมืดคล้ายกับจะควบคุมให้ชายหนุ่มสงบเงียบ ทว่าภายในจิตใจนั้นร้อนรนจนแทบจะทานทนไม่อยู่
กระทั่งลืมตาขึ้น หยุดพึมพำถ้อยคำที่หล่อเลี้ยงใจอันโสมมยามว้าวุ่น แววตาที่เคยอ่อนโยนต่อผู้พบเห็นกลับแข็งกร้าวจนปิดไม่มิด ไม้กางเขนแวววาวยังคงถูกลูบไล้โดยนิ้วเรียวดังเดิม ความเงียบปกคลุมและตีวงโอบล้อมจนแทบกลายเป็สุญญากาศ มีเพียงลมหายใจแ่เบาของร่างบนโซฟาที่ยังสานต่อ แผ่นหลังกว้างราบเอนบนพนักพิง ยกขาไขว่ห้างราวกับาาบนบัลลังก์ก็ไม่ปาน
ที่พื้นเบื้องหน้าห่างจากเท้าไปหนึ่งคืบมีบางสิ่งวางอยู่ เขาเพียงโน้มตัวปรายตามองเพียงครู่ ก่อนจะเชิ่ดหน้ากล้ำกลืนน้ำลายลงคอฆ่าความแห้งผาก ลำตัวชาวาบเมื่อย้อนนึกถึงบางอย่างที่หายวับไปในความทมิฬโดยฝีมือของสองสิ่งเบื้องหน้า ดวงตาคมทอดมองอย่างไร้จุดหมายไปยังเบื้องหน้าที่มีเพียงความสลัวโบกมือทักทาย
ผ้าขนหนูสีขาวที่เคยสะอาดบนพื้นถูกแต่งแต้มไปด้วยจุดแดงก่ำประปราย มันแห้งกรังจนซักไม่ออกหากแต่ไม่คิดจะซักเช่นเดียวกัน ขนผ้าอ่อนนุ่มถูกทับด้วยของสองสิ่ง อย่างแรกเงาวับไม่ต่างจากสร้อยในมือ ทว่าเปรอะเปื้อนบางสิ่งที่บดบังความวาววับ แต่ไม่อาจซุกซ่อนความคมกริบของมันได้เลย ยามเฉือนลงบนิัขาวละเอียดมันทิ้งรอยเรียบเนียนที่แลกมาด้วยหยดเือย่างงดงาม
ถัดจากมีดเล่มคมคือมัจจุราชที่ห่อหุ้มด้วยความแข็งแกร่ง ความวาววับนั้นเงางามไม่ต่างจากมีดเล่มข้างๆ Colt 1911 A1 คือชื่อของมัน รู้จักกันเป็อย่างดีในหมู่นักกีฬายิงปืนหรือแม้แต่คนที่ชอบสะสมปืน มันนอนแน่นิ่งราวกับบริสุทธิ์ไร้มลทิน แต่ใครเลยจะรู้ว่าลมหายใจสุดท้ายของใครบางคนได้ฝากฝังไว้ที่มันเสียแล้ว และแน่นอนว่าลูกตะกั่วที่บรรจุอยู่ภายในก็ไม่ใช่ใครที่ไหน .45 ACP นั่นเอง
เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้นหลังจากเขาเงียบเชียบราวกับไร้ชีวิต แต่ถ้าหากตายไปเป็ผีจนเหลือแต่โครงกระดูกก็ไม่มีวันถูกค้นพบอยู่ดี ช่างมันเถอะ เพราะเลือกให้มันเป็แบบนี้เอง ไม่แปลกที่รอบตัวจะไร้ซึ่งมิตรสหายหรือแม้กระทั่งญาติพี่น้อง เขาไม่้าให้ใครรู้ รู้ว่าภายใต้ใบหน้าและภายนอกที่ดูน่าไว้ใจนั้น ภายในซ่อนความบิดเบี้ยวและโหยหาความรักไว้มากแค่ไหน ไม่ต้องมีใครรับรู้จะดีที่สุดแล้ว
“ไปไหนกันมา”
ไม่เพียงแค่เอ่ยถามจนคนทั้งสองลุกลี้ลุกลนเท่านั้น มันลุกจากกองฟืนที่สุมกัน กอดอกยืนจังก้ามองจูเลียนและแฟรงค์สลับกันไปมาด้วยสีหน้าน่ากลัวที่สุดั้แ่จูเลียนเคยเห็นตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ดวงตาของมันแข็งกร้าวจนต้องหลบตา ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นแดงก่ำด้วยโทสะที่เต็มเปี่ยม
“แค่… แค่ไปตักน้ำที่ลำธารครับ” แฟรงค์ละล่ำละลักตอบออกไปอย่างโง่เขลา จูเลียนใจเต้นหนักกว่าเดิมเพราะรู้ดีว่านั่นเป็คำแก้ตัวที่แสนจะสิ้นคิดเหลือเกิน
“แล้วไหนถังน้ำของแก” มันสาวเท้าเข้ามาใกล้แฟรงค์ ห่างเด็กหนุ่มเพียงสองก้าว ดวงตาของมันจ้องเขม็ง มันรู้แกวหมดทุกอย่างและรู้ดีว่าลูกชายของตัวเองโกหก เพราะเอาเข้าจริงแม้แต่เด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาก็รู้ดีว่ามันคือคำแก้ตัวที่งี่เง่าสิ้นดี
มันไล่สายตาลงมาถึงกระเป๋ากางเกงที่พองออกมาของแฟรงค์ ของเหลวบางอย่างไหลซึมเป็ดวง มันคือน้ำจากเบอร์รี่ที่แฟรงค์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความเร่งรีบจนมันอัดและกดทับกัน มันกระตุกยิ้มชวนขนลุกมุมปาก ละสายตาไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง จูเลียนรีบซ่อนเบอร์รี่ในมือไว้ด้านหลังด้วยความใ หากแต่รู้ดีว่าคงไม่รอดพ้นสายตาชายวัยกลางคนที่กำลังโกรธสุดๆไปได้หรอก
“ให้ตอบอีกทีนะแฟรงค์ ไปไหนกันมา” เสียงเย็นะเืเอ่ยออกมาด้วยความทุ้มต่ำ มันกดเสียงพูดเล็ดลอดไรฟันด้วยความโกรธ จูเลียนเริ่มรู้สึกตัวชาไปทั้งร่าง อยู่ดีๆความกลัวก็แล่นจับขั้วหัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว มันกลัวจนรู้สึกขนลุกยิ่งกว่าตอนดูหนังผี เพราะจูเลียนไม่รู้เลยว่ามันจะทำอะไร เขาไม่เคยเห็นมันโกรธจัดแบบนี้มาก่อน
ความเงียบปกคลุมจนเสียงลมหายใจทั้งสามแว่วดังชัดเจน เสียงหวีดไหวของใบไม้บนลำต้นที่สูงใหญ่แข่งกับเสียงลมมันแจ่มแจ้งราวกับอยู่ในโรงหนัง แฟรงค์ไม่ตอบ จูเลียนเองก็เงียบเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาของแฟรงค์เป็แบบไหน ให้เดาเด็กหนุ่มคงกลัวไม่ต่างจากเขา เพราะสายตาของมันที่จูเลียนมองเห็นในตอนนี้นั้นชวนผวาเสียเหลือเกิน ขณะที่บรรยากาศมันเงียบเชียบราวกับสุญญากาศนั้น…
“คิดจะพามันหนีใช่มั้ย”
จูเลียนสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อประโยคเมื่อครู่เปล่งออกมาลั่นป่า เสียงนกแตกฮือพร้อมกับร่างของชายวัยกลางคนที่ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเด็กหนุ่มจนเขาเซแทบล้ม แววตาดุร้ายราวกับสัตว์ แฟรงค์ส่ายหน้าตัวสั่นด้วยความกลัว จูเลียนเผลอขยับเข้ามาใกล้ตามสัญชาตญาณ
“เปล่านะครับ ผมเปล่านะ…”
เพียะ!
ใบหน้าของเ้าของั์ตาสีมรกตถูกตบฉาดอย่างแรงจนหน้าหัน จูเลียนเบิกตาโพลงด้วยความใ ฝ่ามือหนาอีกข้างของมันปะทะเข้าหน้าของแฟรงค์อย่างจัง จูเลียนทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง เริ่มตัวสั่นด้วยความกลัวจนบรรยายไม่ถูก
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเพ่นพ่าน ฉันบอกทำไมแกไม่รู้จักฟัง!!” มันกระชากคอเสื้อแฟรงค์อีกครั้งให้หันมาเผชิญหน้า จูเลียนเห็นชัดเจนว่าของเหลวแดงก่ำเปรอะเปื้อนที่มุมปากของเด็กหนุ่มเสียแล้ว โทสะครอบงำมันจนใบหน้าแดงฉานคอขึ้นเส้นเืปูดโปนจากการะโจนเสียงดังสนั่น
“อยากซวยมากกว่าตอนนี้ใช่มั้ย” มันะโใส่หน้าแฟรงค์เสียงดังลั่น เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัว แววตาหวาดกลัวลนลานเต็มที่ จูเลียนแอบขยับเข้ามาใกล้ถ้าหากเกิดอะไรที่ลุกลามมากกว่านี้เขาหวังว่าจะช่วยแฟรงค์ได้
“ถ้ามีอีกครั้งที่สองละก็”
“ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”
น้ำเสียงเย็นะเืและใบหน้าที่ขยับเข้าใกล้จนห่างไม่ถึงคืบของมันทำให้คนเป็ลูกแววตาส่ายไปมาด้วยความหวาดกลัว จูเลียนคิดว่าคงจะจบทว่าไม่ใช่อย่างที่คิด มันละใบหน้าออก ก่อนจะยกมือระดมหมัดใส่ใบหน้าคนเป็ลูกไม่ยั้งจนเด็กหนุ่มล้มไปกองกับพื้น จูเลียนปรี่เข้ามาห้ามและร้องเสียงหลงด้วยความใ แฟรงค์ฟุบอยู่ที่พื้นเกือบจะแน่นิ่ง มันทำท่าจะยกขาขึ้นกระทืบลงมาที่ร่างของเด็กหนุ่ม แต่จูเลียนขวางเอาไว้
มันยกเท้าลงเมื่อเห็นว่าอีกคนขวาง ยืนนิ่งมองร่างที่กองอยู่กับพื้นเพียงครู่ก็หันสายตามาสบกับจูเลียนเนิ่นนาน จูเลียนจ้องตามันกลับอย่างไม่ยอมแพ้ แม้ในใจจะกลัวจนแทบอยากจะแทรกพื้นดินหนี แต่ยังไงเขาก็เพิกเฉยต่อความรุนแรงตรงหน้าไม่ลงแน่นอน เด็กนี่พึ่งจะสิบแปดด้วยซ้ำ มันหอบหายใจช้าๆ ก่อนจะส่ายหน้าและคว้าปืนที่วางอยู่บนกองฟืน เดินหนีหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
ร่างเล็กนั่งกอดอกไขว่ห้างที่โซฟาท่าทางหัวเสีย ข้างกันมีนายตำรวจคนเดิมนั่งอยู่ห่างไปเล็กน้อย เจย์ลีนอดที่จะหงุดหงิดและหน้าบูดไม่ได้เพราะตอนนี้ยกนาฬิกาดูก็พบว่าปาไปสี่โมงกว่าแล้ว เท่ากับว่าเขารออยู่บนชั้นแปดของตึกสิบชั้นไม่ห่างจากกรมตำรวจมาร่วมสามชั่วโมงกว่าแล้ว ดวงตากลมนั่งมองประตูไม้สีน้ำตาลเข้มจนตาแทบบอด แล้วไอ้ต้นไม้ในกระถางหน้าห้องนี่มันก็แทบจะงอกใบใหม่ได้แล้วมั้ง
เสียงจิ๊ปากจากคนข้างตัวทำเอาเดวิดส่ายหัวเบาๆ แอบขบขันในใจเล็กน้อย ร่างสูงลุกจากโซฟาเดินผ่านหน้าเจย์ลีนตรงไปยังตู้กดขนมที่ตั้งเด่นอยู่ไม่ไกล อันที่จริงเขาเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กันนั่นแหละที่ต้องมานั่งรอแบบนี้ หากแต่เขาก็พอเข้าใจว่าอีกคนที่นัดไว้นั้นงานยุ่งยิ่งกว่าเขาหลายเท่า ซ้ำร้ายการนัดหมายครั้งนี้ถือเป็การแทรกคิวซะด้วยซ้ำ เพราะงั้นการรอคอยเท่านี้ก็ไม่สามารถทำให้เดวิดมีปากมีเสียงอะไรได้
ดวงตาคมกวาดมองขนมภายในตู้ทีละชั้น เขาหันหน้าลอบมองอีกคนที่หัวเสียแทบะเิ ดูท่าวันนี้เด็กนั่นจะหงุดหงิดทั้งวัน ไหนจะโดนเขาแกล้ง ไหนจะต้องมานั่งรอแบบนี้อีก เดวิดหันกลับมาก่อนจะควักธนบัตรจากกระเป๋าเงินและสอดเข้าไปในเครื่อง กดปุ่มซื้อ กอดอกรอเครื่องนั่นส่งเสียงครางและขยับดันขนมจนหล่นลงมาทางช่องรับของ มือเรียวคว้าหยิบและเดินล้วงกระเป๋ากลับไปยังที่เดิม
“อะไร” ดวงตากลมที่เคยเป็ประกายในตอนนี้ขุ่นมัวเอาเื่ เจย์ลีนเอ่ยถามเสียงห้วนเมื่อคนโตกว่ายื่นช็อกโกแลตในมือให้ ร่างเล็กเงยหน้ามองคนสูงกว่าที่ยืนค้ำหัวอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เขาผิวปากอย่างสบายอารมณ์ขณะเคี้ยวช็อกโกแลตแบบเดียวกัน
“รับ” คนผิวแทนหน้าตายียวนเอ่ยเพียงสั้นๆ เจย์ลีนที่ใบหน้าเง้างอดรับช็อกโกแลตจากมือเดวิดมาอย่างไม่เต็มใจ วางมันลงบนตักและกอดอกถอนหายใจอย่างแรงตามเดิม
เดวิดไม่ได้สนใจกับท่าทีหงุดหงิดของอีกคนสักเท่าไหร่ เขาทิ้งตัวบนโซฟาที่เดิม คว้าช็อกโกแลตอีกชั้นในห่อเล็ก แกะมันและส่งเข้าปากเคี้ยวหน้าตาเฉย ทว่าที่บอกว่าไม่สนใจแต่ก็แอบหันไปมองร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตสีดำอีกจนได้
“กินซะสิ น้ำตาลอาจช่วยให้หายหน้าบูดนะ” เดวิดพูดกลั้วหัวเราะ อีกคนหันมามองช้าๆและถลึงตาใส่ คราวนี้กลายเป็ว่านายตำรวจหนุ่มหัวเราะออกมาจริงๆ เขาตลกเพราะท่าทางของเจย์ลีนที่โกรธจัดแต่ทำอะไรไม่ได้ มันดูแล้วชอบใจแปลกๆที่เด็กนั่นต้องมาติดแหงกนั่งรออยู่แบบนี้ เดาว่าคงไม่เคยรออะไรนานขนาดนี้หรอก พอได้รอหน่อยก็หัวเสียยกใหญ่
เดวิดยักไหล่และแกะช็อกโกแลตชิ้นสุดท้ายเข้าปาก จนกระทั่งประตูไม้ที่จ้องมานานจนปวดตามันถูกเปิดออก ปรากฏชายหนุ่มที่อายุใกล้เคียงกับเดวิดเดินออกมา นายตำรวจหนุ่มรีบปรี่ตรงเข้าไปหาทันที
“นานเป็บ้าเลยเจค มัวทำอะไรอยู่วะ” คนถูกทักยิ้มแหยเล็กน้อย เจย์ลีนที่มองอยู่พอจะเดาออกว่าคนที่เปิดประตูออกมาต้องเป็คนที่เขารอแน่ๆ ดูท่าทางเดวิดจะสนิทสนมมากเพราะชนหมัดกับชายคนนั้นไปหนึ่งที
“คุณ นี่เจค” เดวิดหันมาเอ่ยแนะนำชายคนนั้นกับเจย์ลีน ร่างเล็กลุกขึ้นและส่งยิ้มบางๆ ปั้นสีหน้ายากเป็บ้า เมื่อกี้หงุดหงิดจะตายจะให้ยิ้มแบบจริงใจคงต้องพักไปก่อนนะ
“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยคำทักทายเจย์ลีนก่อน ‘เจค’ ชายหนุ่มที่เดวิดแนะนำ เขาตัวสูงชะลูด สูงกว่าเดวิดด้วยซ้ำ ผิวขาวเหลือง เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนมาพร้อมกับั์ตาสีเดียวกัน เขาสวมเสื้อยืดสีดำสนิทและกางเกงยีนขากระบอก ห้อยบัตรพนักงานที่คอ เจย์ลีนเพ่งมองตัวหนังสือก็พบว่าดูเหมือนเขาจะมีตำแหน่งที่นี่พอควร
“เข้าข้างในดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้” เจคเอ่ยและเดินนำเข้าไปหลังประตูบานไม้ที่เจย์ลีนนั่งจ้องมาหลายชั่วโมง
เดวิดเล่าให้ฟังว่าเจคทำงานที่นี่มาั้แ่เรียนจบ ทั้งสองรู้จักกันเป็การส่วนตัวั้แ่ไฮสคูล เพราะงั้นบ่อยครั้งที่เดวิดมักจะเรียกใช้เจคเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ห้องนี่ที่เจย์ลีนยืนอยู่คือห้องทำงานของเจคโดยเฉพาะ แอร์เย็นฉ่ำจนต้องลูบต้นแขนเบาๆ เสียงคลิกเมาส์ดังเป็ระยะมาจากหน้าจอคอม เจย์ลีนยังอึ้งไม่หายที่บนโต๊ะทำงานของเจคมีหน้าจอคอมทั้งหมดสามหน้าจอเรียงเต็มไปหมด
เจย์ลีนจ้องหน้าจอตาไม่กะพริบหลังจากบอกข้อมูลเพียงไม่กี่อย่างแก่เจค เสียงกดคีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงคลิกเมาส์อย่างต่อเนื่อง หน้าจอปรากฏตัวเลขไหลมาไม่ยอมหยุด และอะไรอีกมากมายที่เจย์ลีนดูแล้วเริ่มจะมึนหัวขึ้นมา นายตำรวจหนุ่มลอบมองคนตัวเล็กที่มองหน้าจอตาแป๋ว คงจะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ผิดกับเดวิดที่เคยชินกับภาพนี้แล้ว
สักพักเจคก็หยุดนิ่งไป รวมถึงหน้าจอที่หยุดประมวลผลด้วย ชายหนุ่มหน้าจอคอมละมือจากคีย์บอร์ดและเมาส์ เดวิดเองขมวดคิ้วไม่ต่างจากเจย์ลีน นายตำรวจหนุ่มที่พิงกำแพงอยู่รีบปรี่เข้ามาทันที
“ทำไมหยุด ไม่เจอหรอ” เดวิดเอ่ยถาม
“เจอ แต่ตอนนี้เหมือนเครื่องจะแบตหมดไปนานแล้ว ก็ไม่แปลกตามที่คุณเจย์ลีนแจ้งวันที่น้องชายหายตัวไป”
“แล้วแบบนี้จะต้องทำยังไงต่อหรอครับ” เจย์ลีนเอ่ยถามเสียงอ่อน ใจดวงน้อยเริ่มเหี่ยวลงเพราะความหวังที่ฝากเอาไว้กับการแกะรอยนั้นมากเหลือเกิน พอเจคบอกมาแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกใจเสียเล็กน้อย
“มันจะได้ตำแหน่งใช่มั้ย” คนตัวเล็กจ้องที่หน้าจอด้วยความหวังริบหรี่ หางเสียงของประโยคเมื่อครู่นั้นดูสิ้นหวัง เจคหันมองเดวิดที่ยืนอยู่ คนผิวแทนพยักหน้าเป็เชิงบอกว่านี่คือเื่ปกติของเจย์ลีนที่จะหงอยทันทีเมื่อผิดหวังอะไรสักอย่าง
“ได้สิครับ แต่มันจะไม่ใช่ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ มันเป็แค่ตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่เครื่องจะดับไป”
“ถ้าอย่างนั้นมันคือที่ไหนหรอครับ” เจย์ลีนละล่ำละลักออกมา เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มันจะเริ่มสว่างขึ้นมาบางแล้ว เพราะอย่างน้อยมันก็อาจจะใกล้มากก็ได้ ยังไงซะการสืบต่อก็คงไม่ใช่เื่ยากสำหรับเดวิดสักเท่าไหร่
“รีบบอกมาเลยได้มั้ยครับ” เจย์ลีนหันมองเจค สีหน้าจริงจังและดวงตาลุกโชนความหวังจนเจคต้องหันไปยิ้มกับเดวิดอีกรอบ
“หนุ่มน้อยคนนี้เขาใจร้อนน่ะ นายก็รีบเข้าสิ” เดวิดเอ่ยกลั้วหัวเราะ มิวายได้สายตาไม่สบอารมณ์ของเจย์ลีนเข้าเต็มๆ เจคหัวเราะเบาๆและกด enter
บนหน้าจอแปรเปลี่ยนไม่ใช่ตัวเลขดังเดิม มันกลายเป็แผนที่นำทางแบบที่เจย์ลีนใช้เวลาขับรถแทน หมุดตัวจ้อยปักลงบนที่ที่หนึ่ง แผนที่บนหน้าจอมันดีกว่าในมือถือตรงที่ว่ามันมีรายละเอียดของพื้นที่ตรงนั้นชัดเจน และมันชัดเจนจนเจย์ลีนรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เพราะแทนที่มันจะเป็พื้นที่ในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องให้สืบเสาะและไปหาได้ง่าย มันกลับ…
“ป่าหรอ?” เจย์ลีนร้องเสียงหลงด้วยความใ เพราะหมุดตัวจ้อยมันปักลงบนพื้นที่สีเขียวขจีเต็มไปหมด ใจดวงน้อยภายใต้อกเต้นระส่ำไม่เป็จังหวะ หันมองเดวิดราวกับเด็กตัวน้อยที่้าที่พึ่งโดยด่วน
“ครับป่า ดูท่าจะป่าลึกซะด้วย” เจคตอบรับ เดวิดเดินเข้าใกล้มากขึ้นและโน้มตัวลงไปดูหน้าจอชัดๆ ป่าลึกแบบนี้มันช่างชวนใจหายเหลือเกิน มันทำเอาตัวเขาชาวาบไปทั้งร่าง นิ้วเรียวแตะลงบนหน้าจอ ลากมันเบาๆเพื่อดูพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบว่าพอจะมีสิ่งปลูกสร้างหรืออะไรที่เป็จุดสังเกตหรือไม่
“ถ้าเป็คนอื่นฉันคงว่าผิดพลาด แต่พอเป็นาย…” เดวิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูกลัดกลุ้ม ก็เพราะว่าเจคไม่เคยผิดพลาด มันเลยยิ่งทำให้เขาสับสนจนปวดหัว ป่าลึกที่ไม่มีอะไรเป็จุดให้สังเกตเลยสักที่ มีแต่ป่า ป่า และป่า
“จูลจะเข้าไปในป่าหรอ” เจย์ลีนเผลอพึมพำออกมากับตัวเอง เขาแปลกใจยิ่งกว่าเดวิดเสียอีกเมื่อหน้าจอมันฟ้องผลลัพธ์แบบนี้
“น้องคุณชอบเดินป่าหรือเปล่า” เดวิดเอ่ยถาม
“ไม่ ไม่เลย จูลไม่เคยชวนผมไปป่าหรือไปไหนที่เป็แหล่งธรรมชาติด้วยซ้ำ” เจย์ลีนยืนยันเสียงหนักแน่นเพราะมั่นใจแบบนั้นจริงๆ ั้แ่จำความได้และเกิดมาพร้อมกัน ไม่เคยมีสักครั้งที่จูเลียนจะเฉียดเข้าใกล้ที่แบบนั้นเลย ไม่มีทางแน่ๆ
“อาจจะมีสองทาง” เดวิดเอ่ยทำลายความเงียบท่ามกลางความคิดที่ตีกันเละเทะของคนทั้งสอง ส่วนเจคเองก็พยายามจะรีเช็กอีกรอบ แต่ยังไงซะผลลัพธ์มันก็คือแบบเดิมไม่มีผิด
“อะไรหรอ” เจย์ลีนหันมองหน้านายตำรวจหนุ่มความหวังใหญ่ของเขาในตอนนี้
“ถ้าไม่เข้าไปในป่าจริงๆก็ต้อง…”
“มีคนเอามือถือน้องชายคุณไปทิ้ง” เจคจบประโยคให้เดวิด และมันโป๊ะเชะแบบที่คนผิวแทนคิดไว้จนเขาต้องชี้นิ้วไปทางเพื่อนซี้ร่วมหลายสิบปีที่เดาใจเขาถูก
เจย์ลีนตาเบิกกว้างหนักกว่าเดิม ถ้างั้นแบบนี้มันต้องมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องแน่ๆ ถ้าเป็แบบนี้แสดงว่าจูเลียนถูกลักพาตัวหรอ หรืออะไรกันนะ เจย์ลีนปวดหัวจนต้องกุมขมับอย่างเสียไม่ได้ เดวิดเห็นท่าทางเครียดของอีกคนแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าจะพอแค่นี้ก่อนสำหรับวันนี้
“ถ้างั้นนายปริ้นข้อมูลทั้งหมดให้ฉันเหมือนเดิมทีเจค ขอตอนนี้เลย”
“ได้” เจคพยักหน้า เริ่มก้มหน้าพิมพ์และคลิกเมาส์ดังเดิม
“เร็วเลยเพราะฉันต้องพาลูกชายฉันกลับแล้ว ท่าทางเครียดน่าดู” เสียงกลั้วหัวเราะนั่นมาพร้อมกับตาเขียวปั๊ดค้อนขวับของคนเด็กกว่าทันที ทำไมวันนี้หมอนี่มันกวนประสาทเขานักนะ นี่ขนาดแก่กว่าเขาตั้งหลายปีแบบที่ชอบพูดยังจะยียวนไม่เลิก
หลังจากบอกลาเจคเรียบร้อย คนทั้งคู่ยืนอยู่ในลิฟต์เพื่อลงมาชั้นล่าง แน่นอนว่าเวลาออกมาข้างนอกทีไรไม่พ้นมัสแตงสีดำทุกที เดวิดว่าเขาไม่ชอบเป็คนนั่ง มันรู้สึกอึดอัด และถ้าหากคนขับที่เขานั่งเกิดขับไม่ดีขึ้นมาล่ะก็มีหวังเขาเม้งแตกแน่
“หิวอะไรหรือเปล่า” คนตัวสูงเอ่ยถามหลังจากเจย์ลีนปิดประตูฝั่งข้างคนขับเรียบร้อย
“ไม่” ดวงตากลมเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ดูท่าทางจะเหนื่อยอ่อน ท้องฟ้าตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มตกดินและแปรเปลี่ยนเป็สีชมพูอมส้มเรียบร้อย
“คุณว่า…” เป็เจย์ลีนที่พูดออกมาเอง เดิมทีเดวิดจะถามไถ่เื่คดีต่อ แต่กลัวว่าอีกคนจะเหนื่อยจนไม่อยากพูดถึงมันอีก เขาเลยปล่อยให้เจย์ลีนได้ใช้ความคิดของตัวเองไปก่อน
“หือ”
“คุณว่าจูลจะเข้าไปที่นั่นจริงๆ หรือยังไงกันแน่” เจย์ลีนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันตีกันไปหมดจนปวดหัวเหลือเกิน สมองประมวลผลอย่างหนักจนท้อ
“ผมเองก็ตอบไม่ได้นะ ผมไม่รู้จักน้องคุณเท่าที่คุณรู้จักเลย”
“รู้มั้ย บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนว่าผมเองก็รู้จักจูเลียนไม่ดีพอด้วยซ้ำ”
เดวิดหันมองคนข้างๆที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตากลมคงกำลังจ้องมองแผ่นฟ้าสีสวยอยู่ให้รู้สึกผ่อนคลายล่ะมั้ง เดวิดละสายตาจากคนตัวเล็กและกลับมามองทางข้างหน้าแทน หากแต่ความจริงแล้วเจย์ลีนไม่ได้มองท้องฟ้าหรืออะไรเลย ในหัวรู้สึกมืดมนอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่ายิ่งค้นอะไรมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกกันออกจากน้องชายตัวเองยังไงไม่รู้
หลายๆเื่ที่ได้รู้มา เจย์ลีนไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ เื่ที่จูเลียนเคยคบกับเคนโตะ นั่นมันชวนอึ้งยิ่งกว่าอะไร เพราะเขาคิดว่าน้องจะบอกเขาทุกเื่ด้วยซ้ำ ไม่นับรวมอะไรยิบๆย่อยๆอีกหลายอย่าง ไหนจะเื่สัญญาณมือถือนี่อีก เขาตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็ไปได้มั้ยที่จูเลียนจะเข้าป่าไป คล้ายกับว่าน้องชายคือใครที่เขาไม่รู้จักเลย
“เจ็บมั้ย” จูเลียนเอ่ยถามเสียงแ่หลังจากค่อยๆแตะสำลีแผ่นสุดท้ายลงบนแผลช้ำมุมปากบนใบหน้าของแฟรงค์
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ส่ายหน้าและยิ้มบางๆ จูเลียนยิ่งรู้สึกผิดจับใจ าแและรอยฟกช้ำบนใบหน้าของแฟรงค์มันไม่คุ้มเลยกับสิ่งที่เขาได้ จูเลียนไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำ
“ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่าเขาจะโกรธขนาดนี้” จูเลียนเอ่ย หางเสียงขาดหายและสั่นระรัว มือเรียวของเ้าของเรือนผมสีมะฮอกกานีเอื้อมจับมือของจูเลียนเบาๆ นิ้วเรียวไล้หลังมือแ่เบาราวกับจะปลอบประโลม แฟรงค์ส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่เป็ไรหรอก”
“แต่คุณชอบเบอร์รี่ใช่มั้ยครับ”
ดวงตาสีเขียวมรกตเป็ประกายอ่อนโยน ใจของจูเลียนอ่อนยวบด้วยความรู้สึกผิดที่เล่นงานเขาเต็มประตู เปลวไฟในตะเกียงตรงหน้าบนโต๊ะกินข้าวที่นั่งกันอยู่นี้วูบไหวไปมา แฟรงค์มองจ้องดวงตากลมเนิ่นนาน ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
“ผมไม่เจ็บ ไม่เจ็บจริงๆ”
มือเรียวเอื้อมลูบเรือนผมของจูเลียนเบาๆ มันสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น ทีแรกชะงักเล็กน้อยแต่ก็รวบรวมความกล้าทำมันจนสำเร็จ จูเลียนพยักหน้ารับช้าๆ
“นายไม่เจ็บก็ดีแล้ว ไปนอนกันเถอะ พักผ่อนเยอะๆแผลจะได้หายไวๆ” แฟรงค์ละมือออกจากเรือนผมอ่อนนุ่มของอีกคน จูเลียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าตะเกียงตรงหน้าและช่วยพยุงร่างสูงที่สะบักสะบอมไปยังห้องของเขา
“ขอบคุณนะจูเลียน” แฟรงค์แง้มประตูเพียงเล็กน้อยและแทรกตัวเข้าไป จูเลียนพยักหน้าและหันหลังกลับลงไปยังชั้นใต้ดินดังเดิมพร้อมกับตะเกียงในมือ เสียงเอียดอาดของบันไดดังเป็เพื่อนจนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย
ร่างเล็กวางตะเกียงที่บันไดขั้นสุดท้าย ดับมันช้าๆ ก่อนจะก้าวเท้าและทิ้งตัวลงนอนบนฟูกเก่ากึก ความมืดมิดฉาบเคลือบเกือบทั่วทั้งห้อง ดวงตากลมยังคงลืมท่ามกลางความมืด ในหัวคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อตอนที่ทะเลาะกับมัน มันมีบางอย่างที่เขายังคงเคลือบแคลงใจไม่หาย ตอนที่แฟรงค์ฟุบอยู่กับพื้นและเขาห้ามไม่ให้มันกระทืบแฟรงค์ซ้ำลงไปอีกนั้น แววตาและบางอย่างของมันช่างดูมีอะไรสักอย่างเหลือเกิน
มันส่ายหน้าให้จูเลียน หากแต่สายตาของมันไม่ได้มองเขาด้วยความโมโหแบบที่มันมองแฟรงค์เลยสักนิด ทั้งที่จูเลียนเชื่อเต็มอกว่ายังไงซะมันก็รู้ว่าเขานี่แหละรบเร้าให้แฟรงค์พาไป และอีกอย่างมันควรจะกระทืบหรือทำร้ายร่างกายเขาไม่ต่างจากแฟรงค์ด้วยซ้ำ แต่มันไม่ทำ
มันเพียงมองด้วยสายตาที่เดาไม่ออก และขยับปากแบบไม่มีเสียง จูเลียนอ่านปากใครไม่ค่อยออก แต่กับเมื่อตอนนั้นเขามั่นใจว่าเขารู้ว่ามันพูดอะไร มันเป็เพียงคำเดียวสั้นๆ คำเดียวแต่ทิ้งความข้องใจเอาไว้คนแทบนอนไม่หลับ
‘อย่า’