เสื้อเกราะเป็สิ่งจำเป็ของผู้ฝึกฝนิญญาขั้นสูงทว่าคนที่ฝึกมานานแต่ยังไม่มีเสื้อเกราะเผยออกมา แสดงว่าพลังป้องกันยังอ่อนแอมากต่างจากผู้ที่มีเสื้อเกราะประจำกายแม้จะยังไม่โจมตีแต่เสื้อเกราะจะทำหน้าที่ป้องกันและเอาชนะอีกฝ่ายได้โดยง่าย
เสื้อเกราะจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอล้วนขึ้นอยู่กับพลังิญญาภายในร่างกายโดยเฉพาะผู้ที่ฝึกฝนถึงขั้นผู้พิทักษ์ระดับดาวจะมีพลังที่แข็งแกร่งและทนทานจนน่าประหลาดใจแม้คู่ต่อสู้จะอยู่ในขั้นใดของระดับต้นทั้งห้ายังไม่อาจรองรับพลังโจมตีได้นานถึงหนึ่งก้านธูป เมื่อก้มมองลำตัวจึงเห็นแสงจากดวงพระจันทร์ตกกระทบและรวมตัวกันเป็เกราะเสี้ยวจันทราที่ไม่ชัดนัก อาจเพราะพลังยังอ่อนแอเกินไปอย่างมากก็แค่รับการโจมตีได้เพียงหนึ่งครั้งหรือแย่กว่านั้นคือไม่สามารถต้านทานพลังใดๆ ได้เลย
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆ รวบรวมพลังวิชาลมหายใจัขั้นที่ห้า เพื่อถ่ายทอดพลังไปยังเกราะเสี้ยวจันทราอย่างต่อเนื่องเพียงแค่เริ่มต้น เกราะจึงเริ่มคมชัดจนเห็นพื้นผิวและรูปทรงมากขึ้นทว่าคงสภาพได้ไม่ถึงสิบวินาที ภาพทุกอย่างก็สลายไปตามพลังิญญา
ข้าได้แต่ยืนถอนหายใจอย่างสิ้นหวังเพราะพลังของยังมีอานุภาพน้อยเกินกว่าจะคงสภาพเกราะเสี้ยวจันทราไว้ได้ตาม้า
การใช้เกราะสิ้นเปลืองพลังมากกว่าอาวุธิญญาเสียอีกข้าอาจรวบรวมพลังกระบี่คมจันทราแล้วยืนหยัดได้ถึงหนึ่งชั่วโมงแต่เกราะเสี้ยวจันทราแค่หนึ่งนาทีก็รับไม่ไหวแล้ว หากถึงคราวถูกโจมตีเกราะของข้าคงสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการฝึกพลังลมปราณและการบำเพ็ญทั้งนั้น
เมื่อจิตใจเริ่มฟุ้งซ่านข้าจึงเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกพักหนึ่ง ขณะนี้เวลาประมาณตีหนึ่งศิษย์ที่เคยฝึกซ้อมในสนามต่างกลับไปพักผ่อนแล้วบรรยากาศภายในสำนักหมื่นิญญาคงจะคล้ายกับัใหญ่ที่กำลังหลับใหล เหมือนการเรียนรู้ที่แฝงไปด้วยเนื้อหาและเื่ราวต่างๆก่อนจะส่งต่อสู่ผู้ฝึกฝนวิญาณรุ่นหลังต่อไป
ความขยันจะนำมาสู่ความสำเร็จ!
ข้ากลับมาที่ลานกว้างและตั้งใจฝึกพลังวิชาลมหายใจัด้วยความมุ่งมั่นต่อไป!
หลังจากตั้งท่าและเคลื่อนพลังไปแล้วหลายครั้งพลังในร่างกายจึงเพิ่มขึ้นและอดทนได้นานกว่าเดิมแม้แต่ลมปราณก็กลับมากล้าแกร่งเป็อย่างที่พี่เสวียนยินเขียนไว้ในตำราว่า‘ความสวยงามและลึกลับของพลังวิชาลมหายใจัขึ้นอยู่กับแข็งแกร่งทนทานและความบริสุทธิ์ที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อฝึกเคลื่อนพลังหนึ่งครั้ง อานุภาพของพลังก็จะเพิ่มทวีคูณ ฉะนั้นการฝึกเช่นนี้จะทำให้วรยุทธ์พื้นฐานของหลายสำนักไม่อาจเปรียบเทียบได้
ยังไม่ทันไรเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสี่ชั่วโมงและอีกไม่นานท้องฟ้าก็จะสว่างขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับพลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆราวกับสายน้ำที่ไหลรินตลอดเวลา
หลังจากฝึกจนถึงขั้นสูงสุด
หึ่ง!
จู่ๆร่างกายของข้าก็เริ่มสั่นขึ้นเบาๆ ก่อนจะมีัสีเขียวตัวใหญ่ส่งเสียงคำรามและขดตัวหมุนวนอยู่ท่ามกลางหมอกพลังิญญา ครั้งนี้มันชัดมากกว่าครั้งก่อนทั้งส่วนหัว ปลายหางที่ปัดป่ายไปมา และพลังอันมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมายิ่งทำให้ผู้พบเห็นอกสั่นขวัญหายอยู่ไม่น้อย
นั่นเท่ากับว่าพลังวิชาลมหายใจัของข้าบรรลุขั้นที่ห้าได้สำเร็จโดยไม่รู้ตัว
ปลอกแขนทองแดงที่ข้อมือขวาประกายแสงสลัวๆออกมา คล้ายกับกำลังดูดซับพลังิญญาของัเขียวมาไว้ที่ตัวของดียังไงก็เป็ของดีวันยังค่ำ นึกไม่ถึงเลยว่าจะช่วยเพิ่มพลังวิชาลมหายใจัได้แบบนี้สิ เรียกว่าลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ข้าได้แต่ดีใจอยู่ลึกๆหลังจากสลายัได้แล้ว ข้าจึงเริ่มฝึกพลังวิชาลมหายใจัต่อจนเข้าขั้นที่หกซึ่งเป็ขั้นที่พี่เสวียนยินย้ำเตือนอยู่เสมอว่าต้องฝึกให้บรรลุโดยเร็วที่สุด!
พลังวิชาลมหายใจัขั้นที่หกัเทพใต้ธารา!
หลังจากฝึกเคลื่อนพลังไปหนึ่งรอบความรุ่มร้อนในจิตใจซึ่งสืบเนื่องจากขั้นที่ห้าเริ่มทุเลาลง และกลับสงบนิ่งใสสะอาดดังเดิมนี่คือผลลัพธ์ที่แฝงอยู่ในการฝึกพลังวิชาลมหายใจัจากเร็วเป็ช้าจากร้อนเป็เย็น และจะเข้าสู่ภาวะปกติต่อเมื่อเริ่มฝึกฝนขั้นที่หกอย่างจริงจัง
กระทั่งถึงรอบที่สองร่างกายเริ่มเปลี่ยนเป็ร้อนขึ้นมาอีก และยากเกินกว่าจะควบคุมให้กลับมาสงบได้
การไหลเวียนของเืเริ่มปั่นป่วนเนื่องจากพลังในร่างกายไม่เพียงพอ
ข้ารีบกัดฟันกลืนโสมโลหิตเพื่อปรับสมดุลของอวัยวะภายในให้กลับมาปกติเพียงไม่กี่อึดใจ ทั้งพลังตาทิพย์และจิตใจก็กลับเข้าสู่ฌานอีกครั้ง
การฝึกยืดยาวจนฟ้าสว่างฝึกไปประมาณเจ็ดแปดรอบพลังในร่างกายก็เริ่มสงบลง เมื่อใช้พลังตาทิพย์ตรวจดูร่างกายจึงพบว่าภายในร่างกายของข้าราวกับมีบ่อน้ำพันปีที่ใสสะอาดและบริสุทธิ์ ข้าใช้พลังตาทิพย์สำรวจลึกลงไปและพบเข้ากับแสงสลัวบางอย่าง ซึ่งนั่นคือัขาวขดที่ตัวอยู่ก้นบ่อ!
เมื่อเจอัที่ใต้บ่อน้ำก็แสดงว่าข้าได้บรรลุมาถึงพลังวิชาลมหายใจัขั้นที่หกระดับต้นแล้ว!
แม้จะผ่านมาข้ามคืนทว่าพลังยังเต็มเปี่ยม ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อยถือเป็เื่ดีที่ข้าจะได้ทำงานโดยไม่ต้องพักผ่อน!
หลังเสร็จจากมื้อเช้าและเริ่มเกลากระบี่ไปได้ครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงขนกระบี่ไปส่งยังสนามฝึกเป็ชุดๆ
ดูเหมือนตอนนี้จะมีคนรู้จักข้ามากกว่าแต่ก่อนเพราะมีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่มองข้าด้วยท่าทีที่เคารพและเกรงกลัวหรือไม่ก็ยิ้มแย้มทักทาย “อรุณสวัสดิ์ ท่านหัวหน้าปู้”
ข้าได้แต่พยักหน้าและยิ้มรับตามมารยาท
ข้าเดินผ่านชั้นเรียนที่หลัวเหวินกำลังสอนอยู่อีกครั้งเขาถือกระบี่เล่มใหญ่และกำลังถ่ายทอดเคล็ดลับวิชากระบี่ลมร่างกายคล้ายมีเสียงคำราม จากนั้นกระแสลมหอบใหญ่ก็พัดพาเสาไม้ลมระเนนระนาดแม้แต่กระโปรงของศิษย์หญิงก็ไม่อาจต้านทานพลังลมนี้ได้แม้ว่าศักยภาพของหลัวเหวินจะไม่ได้มีพิษสงสักเท่าไรทว่าทักษะการควบคุมพลังของเขาดีกว่าข้าหลายเท่า
“อาจารย์กระบี่สำรองมาแล้วขอรับ”
ข้าจัดเตรียมกระบี่ยาวอย่างคล่องแคล่วหลัวเหวินพยักหน้าพลางพูดขึ้น “ดีมาก แค่เอาออกก็พอแล้ว”
ดูเหมือนว่าการสั่งสอนครั้งที่แล้วจะทำให้เขาประพฤติตัวดีขึ้นความจริงสำนักหมื่นิญญาก็เหมือนกับโลกภายนอกคนที่อ่อนแอย่อมเป็เหยื่อของคนที่แข็งแกร่งเสมอ ฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้ใครดูถูกจึงต้องสั่งสอนให้เขารู้สำนึกเสียบ้าง
ขณะกำลังส่งกระบี่รอบสุดท้ายและบังเอิญเดินผ่านสนามฝึกของสำนักจวี๋ฉีซึ่งมีไม่กี่คนที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างที่นี่คือห้องเรียนอันดับหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีเป็สำนักที่มีศิษย์เก่งกาจกว่าเจ็ดร้อยคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่รวมถึงสามนักปราชญ์จวี๋ฉีด้วย
“โอ้ นี่มันศิษย์คนเก่งของปรมาจารย์นักรบิญญาเฉิ่นปู้หยุนไม่ใช่เหรอ?”
จวงเหิงซิ่งหัวเราะร่าและเดินเข้ามา“นึกไม่ถึงว่าศิษย์ผู้สืบทอดวิชาจากปรมาจารย์นักรบิญญายังต้องทำงานต่ำๆแบบนี้อยู่ ปู้อี้เชวียนดูเหมือนว่าเฉิ่นปู้หยุนจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเ้าเท่าไรนะ!”
ข้าได้แต่ย่นคิ้วไม่พูดอะไรและก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป
“เมื่อวานหลังจบงานเ้าไม่ได้ออกไปกับซูเหยียน และตั้นไถเหยาเหรอ?...แล้วโรงแรมที่ไปเปิดห้องกันไว้อยู่ตรงหน้าสำนักหรือเปล่าล่ะ?”เฉิ่นลั้งพูดเย้ยหยัน
ข้าเงยหน้าตอบแบบนิ่งๆ“พูดให้มันดีๆ หน่อย”
เฉิ่นลั้งได้ทีพูดจายั่วโมโห“ข้ามันปากพล่อยอยู่แล้ว แล้วเ้าจะทำไม?”
จวงเหิงซิ่งแสยะยิ้ม“ทำไม เ้าอยากจะสู้กับข้าที่นี่เหรอ? ปู้อี้เชวียนอย่าคิดว่าเ้ามีพลังลมของกระบี่แล้วข้าจะกลัวนะจะบอกอะไรให้ว่าการฝึกวรยุทธ์จะต้องมีพร์มาั้แ่เกิด เ้าฝึกพลังวิชาลมหายใจัขั้นที่ห้าไปถึงไหนแล้วล่ะคนที่ไร้ปราณิญญาอย่างเ้า ต่อให้ฝึกถึงขั้นที่สิบก็ไร้ค่าอยู่ดีเอาเป็ว่าวันนี้ข้าจะใช้พลังวิชาลมหายใจัขั้นสี่เหมือนเดิมเพื่อจัดการเ้าก็แล้วกัน!”
ไม่ไกลนักมีอาจารย์ระดับสูงของห้องเรียนอันดับหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีนั่งสูบบุหรี่อย่างใจเย็นโดยไม่สนใจเื่วิวาทของศิษย์เลยสักนิด
“ไปออกไป อย่าริอ่านมาทำลายการเรียนของพวกข้า”
จวงเหิงซิ่งยกเท้าถีบรถลากจนพลิกคว่ำแล้วหัวเราะเยาะชอบใจ “รีบออกไปให้พ้นที่นี่คือจวี๋ฉีสนามฝึกของห้องเรียนอันดับหนึ่ง ไม่ใช่ที่ที่ศิษย์สำรองอย่างเ้าควรอยู่กลับไปที่ของเ้าซะไป!”
ข้ายกรถเข็นขึ้นแล้วมองเขาครั้งหนึ่งมีเื่ทะเลาะกับคนแบบนี้มันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ?
รอบตัวถูกห้อมล้อมด้วยสายตาที่เฉยชามีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่อยากออกมาช่วยจัดการเ้าจวงเหิงซิ่งให้สลบเหมือดลงตรงนั้น
แต่เื่กลับไม่จบเมื่อจวงเหิงซิ่งเบะปากพลางพูดดูถูกข้าอย่างเคย “เ้าคนไร้ประโยชน์อยู่ให้ห่างซูเหยียนไว้ด้วยล่ะ คนอย่างเ้าไม่เหมาะที่จะยืนข้างนางแต่แรกอยู่แล้วซูเหยียนเป็ถึงลูกเสนาบดีผู้สืบทอดของสหพันธ์แล้วเ้าล่ะมีอะไรที่คู่ควรกับนางบ้าง ทางที่ดี ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่ลงมือออกไปเสียดีกว่าและอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก จำไว้!”
ข้าหรี่ตามองแล้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน“เ้าทำได้แค่พูดเหรอ? เ้าคนไร้ประโยชน์ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งนัก วันนี้เที่ยงคืนเจอกันที่โรงเกลากระบี่เ้าจะพามาสักกี่คนก็ได้ กล้าไหมล่ะ?”
จวงเหิงซิ่งขมวดคิ้วโต้กลับทันควัน“นี่เ้ากำลังท้าข้าอยู่เหรอ?”
“กล้าหรือไม่กล้า พูดมา” ข้าเองก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้เสียเวลา
“จะไม่กล้าได้ไง เ้าคอยดู!”
“ได้ ข้าจะรอ”
ข้าเข็นรถออกมาโดยไม่สนใจเฉิ่นลั้งที่กำลังหัวเราะเยาะราวกับเป็เื่สนุกศิษย์ตัวสำรองต่างมีคุณสมบัติน้อยเกินกว่าจะเข้าเรียนที่นี่บางคนมาจากครอบครัวที่ยากจน บ้างก็มีพร์ผิดปกติจึงไม่แปลกที่ศิษย์ตัวสำรองจะถูกรังแกเป็ประจำแต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนแบบจวงเหิงซิ่งที่กล้าทำชั่วอย่างหน้าด้านๆโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดเลย
ในเมื่อพวกนั้นหาเื่เองข้าก็ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกสักหน่อย
...
หลังจากทำงานั้แ่เช้าจนเสร็จจึงฝึกพลังวิชาลมหายใจัใน่บ่ายอีกนิดหน่อยตกค่ำจึงเตรียมตัวไปเรียนเพลงขากับเฉิ่นปู้หยุนที่จริงข้าเรียนรู้เพลงขาได้เร็วกว่าคนปกติขอแค่เรียนไม่กี่ครั้งและถามเื่ใจความหลักอีกนิดหน่อยก็ทำได้แล้ว
ค่ำวันนี้ซูเหยียนและตั้นไถเหยาไม่ได้มาหาอย่างทุกที คงเพราะยุ่งอยู่กับธุระของตัวเอง
พอค่ำลงอีกสักหน่อยข้าจึงไปเขาลั่วเซี่ยเพื่อเรียนรู้เพลงขาต่อ