นางโพล่งถามเช่นนี้ ทำเอาป๋อชางโหวขมวดคิ้ว “มิได้ยินหรือ? เหล่าลูกสาวรักสวยรักงามข้าย่อมรู้ ทว่าหากแต่งหน้าจนกลายเป็ตูดลิงเช่นนี้ ยังดูสวยอยู่หรือ?”
ป๋อชางโหวบอก เสียงเคร่งขรึมขึ้นเช่นกัน “ไยถึงไม่เอาอย่างพี่สาวเ้าบ้าง สะอาดสะอ้านเข้าไว้ดีที่สุด!”
เฉินจิ้งเจีย เฉินจิ้งเจียอีกแล้ว!
เฉินจิ้งโหรวไม่เข้าใจ ตนด้อยกว่านางโง่นั่นตรงไหน? เหตุใดในสายตาป๋อชางโหวถึงไม่เคยมีตนอยู่ในนั้น หากมีแต่เฉินจิ้งเจียเสมอมากันแน่?
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่านี่คือชาดหรือเ้าคะ? ท่านดูให้ละเอียด นี่คือรอยฝ่ามือเ้าค่ะ รอยฝ่ามือจากการถูกตบเ้าค่ะ!” เฉินจิ้งโหรวน้อยเนื้อต่ำใจเต็มทน ชั่วเวลานั้นพลันปะทุโทสะขึ้นทันทีทันใด
นางชี้ที่หน้าซีกขวาของตน “นี่คือฝีมือของท่านพี่หญิงของข้า ที่ท่านบอกว่าแสนดีนักหนาอย่างไรเล่าเ้าคะ!”
ครั้นได้ยิน ป๋อชางโหวพลันขมวดคิ้วเคร่งในบัดดล เฉินจิ้งโหรวตีคนหรือ?
ใช่ว่าเขาไม่รู้เื่ที่ความสัมพันธ์ของเฉินจิ้งเจียและเฉินจิ้งโหรวไม่สู้ดีนัก ที่ผ่านมาล้วนเอาแต่น้องโหรวเอ๋อร์ดีอย่างนั้น น้องโหรวเอ๋อร์ดีอย่างนี้ ไหนเลยจะลงไม้ลงมือทำร้ายเฉินจิ้งโหรวได้
“โหรวเอ๋อร์! อย่าได้ปั้นเื่ใส่คุณหนูใหญ่!” จ้าวอี๋เหนียงสวมชุดคลุมไว้ พุ่งพรวดออกจากห้องนอน
เฉินจิ้งโหรวแสยะยิ้มเย็น “ปั้นเื่ใส่นาง? ไม่เชื่อพวกท่านก็ไปถามนางสิ? มาดูกันว่าหน้าข้าถูกนางตบจริงหรือไม่!”
“ท่านโหว อย่าได้โกรธกริ้วไปเลยเ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่คงมีเื่ไม่สบายใจ อารมณ์ไม่สู้ดีนัก จึงลงไม้ลงมือกับโหรวเอ๋อร์ไป”
จ้าวอี๋เหนียงปลอบป๋อชางโหวไปพลางมองเฉินจิ้งโหรว “พี่หญิงตีเ้า เ้าแค่ทนรับไว้ก็พอ เื่เล็กแค่นี้ไฉนถึงได้วุ่นวายใหญ่โตเล่า!”
ประโยคนี้จ้าวอี๋เหนียงชั่งใจอยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมา ด้านหนึ่งก็บอกเื่เฉินจิ้งเจียตีคนจริงๆ อีกด้านก็บอกว่านี่มิใช่เื่ใหญ่โต สร้างเื่ทิ้งไว้ให้คนรู้ว่าก่อนหน้านี้เฉินจิ้งเจียมักรังแกเฉินจิ้งโหรวไปพร้อมกัน
ความคิดนี้มิอาจพูดได้ว่าไร้มีพิษภัย หากเป็บ้านสกุลอื่น อาจมีคนเชื่อคำพูดนางจริงๆ ก็เป็ได้
หากแต่นี่เป็เื่ของจวนป๋อชางโหว ที่ผ่านมาทั้งงานราษฎร์งานหลวงป๋อชางโหวล้วนเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้นเสมอ หากแต่ยามเผชิญหน้ากับเื่ราวในบ้านตน สมองกลับไม่กระจ่างมีสติมากมายนัก เฉกเช่นเวลานี้...
“เ้าต้องพูดหรือทำอะไรไม่เหมาะสมเป็แน่ เจียเอ๋อร์ถึงได้ลงไม้ลงมือ” ป๋อชางโหวพูด มองเฉินจิ้งโหรวด้วยความเยือกเย็นยิ่งกว่าที่เคยหลายส่วน “พิจารณาตัวเองให้ดีพักหนึ่ง ดูว่าทำอะไรผิดกันแน่!”
ประโยคนี้ทำเอาจ้าวอี๋เหนียงที่ยืนด้านข้างตะลึงงันไป นางมองป๋อชางโหวที่นั่งสงบนิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา นี่หรือป๋อชางโหวผู้ได้รับขนานนามว่าเที่ยงธรรมยิ่ง?
นางคิดอยากเอ่ยขอร้องเพิ่ม ทันใดนั้นด้านนอกพลันมีเด็กรับใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหว ท่านแม่ทัพเชิญท่านไปหาขอรับ บอกว่ามีเื่อยากปรึกษา”
น้อยครั้งที่เฉินอี้เหอจะตามหาเขา หากไม่มีธุระก็มีเื่สำคัญ ท่าทีป๋อชางโหวเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน ไม่สนใจจ้าวอี๋เหนียงและเฉินจิ้งโหรวข้างกาย สาวเท้าออกไปโดยพลัน
ครั้นเห็นแผ่นหลังจากไปไกล เฉินจิ้งโหรวทรุดตัวนั่งเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง นางโดนเฉินจิ้งเจียตบไม่พอ บิดาของนางกลับไม่แม้แต่ถามสักคำ ก็ตัดสินไปแล้วว่าเป็ความผิดของนาง?
จ้าวอี๋เหนียงเห็นท่าทางเฉินจิ้งโหรวก็ร้อนรนใจขึ้นตาม “โหรวเอ๋อร์ เ้าฟังแม่ พ่อเ้าน่ะ...”
นางยังไม่ทันพูดจบ เฉินจิ้งโหรวพลันลุกพรวดปรี่ออกไปทันใด ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของจ้าวอี๋เหนียง
“ซีหร่าน เ้ารีบตามคุณหนูรองไปเร็วเข้า!”
ตัวจ้าวอี๋เหนียงมิอาจออกไปได้ จึงจำใจต้องสั่งสาวใช้ข้างกายไปแทน
ซีหร่านเองก็ไม่คิดว่าเฉินจิ้งโหรวจะบุ่มบ่ามออกไปเช่นนั้น ได้ยินจ้าวอี๋เหนียงบอกมาจึงพยักหน้ารับ เร่งฝีเท้าตามไปโดยเร็ว
เฉินจิ้งโหรวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกลับมาถึงเรือนพักได้อย่างไร คอยกระทั่งนางได้สติก็นั่งอยู่ในห้องนอนแล้ว
ในวันอันหนาวเหน็บ ภายในห้องจุดกระถางไฟไว้หลายอัน หากนางกลับยังรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกาย ไม่รู้ว่าเพราะลมข้างนอกพัดเข้ามา หรือถูกความไร้หัวใจของป๋อชางโหวแช่แข็งหัวใจเอาไว้
“ข้ากับนาง ไม่เหมือนกันอย่างนั้นหรือ?” เฉินจิ้งโหรวพึมพำกับตัว
ครั้นเอ่ยออกมา ก็ค้นพบว่าเป็ดั่งที่กล่าวไว้ไม่ผิด ที่ผ่านมาตนเอาแต่หลอกตัวเองมาโดยตลอด
สุดท้ายนางกับเฉินจิ้งเจียก็ต่างกัน ต่อให้บิดาของพวกนางคือป๋อชางโหวคนเดียวกันก็ตาม
“คุณหนูเ้าคะ ท่าน...ดื่มชาร้อนสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
ซีหร่านบอก จากนั้นเทชาร้อนใส่ถ้วยแล้ววางใส่กลางฝ่ามือเฉินจิ้งโหรว
เฉินจิ้งโหรวก้มหน้ามองชาในถ้วย อุณหภูมิอุ่นร้อนของถ้วยชาอุ่นวาบทั่วทั้งฝ่ามือ แต่กลับมิอาจอุ่นถึงหัวใจนางได้ “เ้าว่า ข้ากับเฉินจิ้งเจีย...ด้อยกว่ากันตรงไหนกันแน่? เหตุใดท่านพ่อถึงไม่เคยมองเห็นข้าเสียที?”
นางเงยหน้ามองซีหร่านอย่างเลื่อนลอย
นี่มัน...
ซีหร่านไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อน นางเป็เพียงเด็กรับใช้ เ้านายสั่งให้ทำอะไรนางก็ทำ เื่ราวทั้งหลายในบ้านท่านก็พอรู้บ้าง อันที่จริงนางไม่อยากรับรู้แม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ
“บางที บางทีอาจเป็เพราะ ท่านมิใช่ทายาทสายตรงหรือไม่เ้าคะ?”
ที่จริงซีหร่านไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด แค่ได้ยินจ้าวอี๋เหนียงและคุณหนูพูดถึงเื่เกิดเป็สายตรงและเกิดเป็ลูกอนุอยู่บ่อยครั้งเท่านั้น จึงบังเอิญจำคำเหล่านี้ได้โดยไม่ตั้งใจ
เมื่อได้ยินคำตอบของซีหร่าน เฉินจิ้งโหรวพลันแค่นหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “เพราะข้าเป็ลูกอนุ ส่วนนางเป็ลูกสายตรงอย่างนั้นหรือ? มีเพียงบุตรีทายาทสายตรงเท่านั้นหรือที่เป็บุตรได้ ลูกอนุหาใช่บุตรหรืออย่างไร?”
“คุณหนู ท่าน...” ซีหร่านกำลังจะเอ่ยปาก เฉินจิ้งโหรวพลันเขวี้ยงถ้วยชาในมือไปข้างเท้านาง สร้างความหวาดกลัวแก่นางจนมิกล้าส่งเสียงทันใด
“เฉินจิ้งเจีย ทายาทสายตรง หึหึ พวกเราถูกลิขิตไม่ให้อยู่กันอย่างสงบสุขแล้ว!”
ได้ยินเสียงหัวเราะชั่วร้าย ซีหร่านก้มหน้าก้มตาห่อตัวห่อไหล่ ไม่กล้าแม้แต่กระดิกตัว
…
พลาดไปตรงไหนกันแน่?
ไม่ง่ายกว่าซูชื่อจะตาย แผนขั้นแรกของนางสำเร็จไปแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเื่ราวควรไปได้ดี ไฉนยามนี้ถึงกลายเป็เช่นนี้ไปได้?
นางยังไม่ทันเข้าใจ แม่นมซุนก็ยกยาเดินเข้ามา
“ท่านอี๋เหนียง ท่านมาได้อย่างไรเ้าคะ? รีบกลับเตียงไปพักเถิดเ้าค่ะ ไม่ง่ายกว่าร่างกายท่านจะกลับมาแข็งแรงขึ้น หากต้องลมอีกแล้วอาการป่วยหนักขึ้นจะทำเช่นไรเ้าคะ?”
นางพูดไปพลางประคองจ้าวอี๋เหนียงไปทางเตียง
“แม่นม เ้าอยู่กับข้ามานานแล้ว เฉินจิ้งเจียเองก็เรียกได้ว่าเ้าเห็นมาั้แ่อ้อนแต่ออก เ้าว่าระยะนี้ชีวิตข้าไม่ราบรื่นเท่าไร เป็เพราะเหตุบังเอิญหรือเป็เพราะเฉินจิ้งเจีย?”
จ้าวอี๋เหนียงเริ่มไม่เชื่อมั่นในตัวเองเรื่อยๆ แล้ว เดิมทีเชื่อว่าตนต้องได้รับการแต่งตั้งเป็ฮูหยินแน่นอน หากแต่เื่ราวที่เกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้กลับกำลังบอกนางว่า นางมิอาจเป็ฮูหยินได้ในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว
ฝีเท้าแม่นมซุนหยุดชะงัก สายตากวาดมองรอบด้าน ยามมั่นใจแล้วว่าไม่มีคนถึงเอ่ยขึ้น
“ท่านอี๋เหนียง สองสามวันมานี้ท่านล้วนป่วยไข้ ไม่รู้เื่ราวภายนอกสักเท่าไร ในวัดอันเหรินมีข่าวออกมาว่า ท่านพระอาจารย์ใหญ่เจี้ยอู้กำลังจะเปิดเทศนาธรรม เหล่านายหญิงชั้นสูงในเมืองหลวงทั้งหลายต่างเตรียมตัวมาแล้วเ้าค่ะ”
จ้าวอี๋เหนียงใจสะท้านวูบ มองแม่นมซุนด้วยความสับสนร้อนรน “นี่มันบังเอิญเกินไปหรือไม่?”
