ท่วงทำนองของเพลงนี้ฟังดูอ่อนโยนราวกับสายน้ำไหล จิตใจของชายชุดคลุมสีม่วงตกอยู่ในภวังค์ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปยัง่เวลาที่ได้พบเจอคุณหนูซูเป็ครั้งแรกที่เมืองฉินโจว
นางดูไร้เดียงสาและมีรอยยิ้มที่สดใส
“ให้ข้ายืมกระบี่ของท่านได้หรือไม่?”
นางถามอย่างใสซื่อ
ถึงแม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธสาวน้อยที่ดูสดใสแบบนี้ได้
เขาดึงกระบี่ออกจากฝักแล้วยื่นให้นาง
เขาไม่ได้คาดคิดว่าสาวน้อยคนนี้จะเล่นซุกซน หลังจากรับกระบี่ไปนางก็หัวเราะคิกคักและวิ่งหนีไปพร้อมกับเด็กอีกสองคน
เขาทั้งโกรธและขำในเวลาเดียวกัน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไล่ตามเด็กสามคนไปจนกระทั่งเข้าไปในจวนของผู้ว่าการเมืองฉินโจวในเวลานั้น
สาวน้อยวิ่งไปหาบิดาของนาง จากนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านพ่อ วันนี้ข้าได้เรียนรู้วิชากระบี่จากอาจารย์ ท่านดูนี่สิ อาจารย์ของข้าก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวอะไร นางก็กำกระบี่ในมือแน่นแล้วมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับจะบอกว่า ‘หากท่านปฏิเสธ ข้าจะไม่คืนกระบี่ให้ท่านแน่’
การปฏิเสธนางจึงถือเป็เื่ยากมาก
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องรับศิษย์แล้ว
เพราะฉะนั้นเหตุใดไม่ลองรับนางเป็ศิษย์ล่ะ?
เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็พบว่ามีบทกวีหนึ่งที่เข้ากับเหตุการณ์ในครั้งนั้น นั่นคือ
“รั้วนั้นเตี้ยและสร้างขึ้นอย่างลวกๆ ส่วนต้นไม้และดอกไม้ก็ยังเติบโตไม่เต็มที่
เด็กๆ ไล่ตามผีเสื้อสีเหลือง แต่มันบินเข้าไปในดอกกะหล่ำ พวกเขาจึงหามันไม่พบ”
ชายในชุดคลุมสีม่วงจ้องมองอวิ๋นจื่ออยู่นาน เขารู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่เขามาถึงเมืองฉินโจวเป็ครั้งแรก ราวกับว่าเขาเห็นภาพของเด็กสาวคนนั้นซ้อนทับกับเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เขากระซิบว่า “เ้าชื่ออะไร?”
อวิ๋นจื่อตอบว่า “อวิ๋นจื่อ จื่อที่มาจากปี้จื่อ”
ชายในชุดคลุมสีม่วงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เป็เ้านี่เอง! พวกเขารักษาคำสาบานไว้ได้จริงๆ แล้วตอนนี้ตัวตนของเ้าคือผู้ใด?”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเป็คุณหนูใหญ่ตระกูลซู ก่อนหน้านี้ข้าเป็คณิกาในหอจุ้ยฮวน”
เสียงของนางเบาลงเรื่อยๆ
ทันใดนั้นชายในชุดคลุมสีม่วงก็กล่าวคำทำนายออกมา “ตำหนักในเกิดความเปลี่ยนแปลง วังหลวงตกอยู่ในความระส่ำระสาย หลีกหนีจากความวุ่นวายในโลก เก็บซ่อนปัญหาทั้งหมดไว้ในแขนเสื้อ กลายเป็คณิกาผู้มีชื่อเสียง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็เพียงความว่างเปล่า เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าประตูเก้าชั้นงดงามจนน่าอัศจรรย์”
จากนั้นเขาก็ถามว่า “นี่คือโชคชะตาของเ้าใช่หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและถามว่า “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
ชายในชุดคลุมสีม่วงยิ้มเ้าเล่ห์ “มารดาของเ้าบอกข้า นั่นเป็เหตุผลที่นางปลิดชีพตนเอง นางหวังว่าเ้าจะกลายเป็ผู้ใหญ่ได้เร็วขึ้น”
หลังจากที่ชายในชุดคลุมสีม่วงกล่าวจบ เขาก็เล่นเพลงอื่น
“เวลาและขนบธรรมเนียมช่างเป็สิ่งที่น่าเศร้านัก ข้ามุ่งมั่นที่จะเดินทางไกลอย่างไร้กังวล
ทรัพยากรน้อยนิดและไร้ผู้สนับสนุน ข้าจะบินขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างไร?
เมื่อพบเจอความทุกข์ ความขุ่นมัว ความโสโครก และความอ้างว้าง ข้าจะเล่าให้ผู้ใดฟัง?
กลางคืนนอนไม่หลับ ปกป้องิญญาอันอ้างว้างจนถึงรุ่งสาง
นึกถึง์และปฐีอันไร้ขอบเขต คร่ำครวญถึงความพากเพียรอันยาวนานของชีวิต
ตามอดีตไม่ทัน จึงยากจะหยั่งรู้อนาคต
ไม่รู้ผู้ใดเดินทางมาหรือจากไป
เอนกายนอนแต่จิตฟุ้งใจซ่าน รู้สึกเศร้าหมองโทมนัส
ทันใดนั้นดวงิญญาก็โบยบินจากไปไม่หวนกลับ เหลือเพียงร่างอันเหี่ยวเฉา
สิ่งเดียวที่ต้องทำคือใคร่ครวญ เพื่อแสวงหาแหล่งที่มาของความชอบธรรม
ความสุขความสำราญอยู่ที่ใด? การไม่ทำอะไรเลยย่อมก่อให้เกิดความพึงพอใจ
เคยได้ยินว่าต้นสนแดงดูสะอาด แต่วันนี้กลับเต็มไปด้วยฝุ่น
คุณธรรมของบุรุษผู้สูงศักดิ์เปรียบได้กับคุณงามความดีอันเป็ะ
การขึ้นสู่์ด้วยการขี่ดวงดาวช่างน่าอัศจรรย์ แม้กระทั่งสายลมก็ยังอิจฉาที่ได้เป็ะ
เปลี่ยนแปรหายไปมีผู้ใดพบเห็น นับวันชื่อเสียงยิ่งเลื่องลือ
ผู้คนกล่าวว่าปรมาจารย์คือบุคคลสูงส่งและไม่ธรรมดา ข้าหวังจะได้เรียนรู้จากเขา
มองเห็นคุณค่าของคนที่กล่าวความจริง ทั้งยังอิจฉาผู้คนยุคก่อนที่สามารถเป็ะและอยู่เหนือความตาย
แม้ร่างกายจะสูญสลายไป แต่ชื่อเสียงจะคงอยู่ตลอดกาล
เวลาดูเหมือนจะจับต้องได้ มันไหลผ่านไปด้วยความกระฉับกระเฉง
เวลาดูเหมือนจะมองเห็นได้ในหมอกควัน มันพลิกแพลงไปมาตาม้า
ปราศจากธุลีความดีและบรรพบุรุษ ไม่มีวันหวนคืนสู่บ้านเกิด
ปราศจากความกลัวและความทุกข์ ปราศจากร่องรอยใดๆ
ดวงอาทิตย์อันรุ่งโรจน์ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก
น้ำค้างก่อตัวเป็น้ำแข็ง ไว้ทุกข์ให้กับหญ้าหอมที่เหี่ยวเฉาอยู่ภายใต้หิมะ
แสร้งว่าตนเองเป็อิสระแต่กลับถูกผูกมัด
ใครจะกินหญ้าหอมและผ่อนคลายไปกับสายลมยามเช้ากับข้า
ยุคของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อยู่ห่างไกลออกไป ข้าจะเลียนแบบความสูงส่งของเขาได้อย่างไร?”
เมื่อเล่นจบ เขาก็เล่นอีกเพลงต่อทันที
“น้ำไม่ท่วมในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้นพำนักอยู่บ้านเกิดให้นานขึ้นดีหรือไม่?
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ตรัสว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่อบอุ่นเหมือนตอนเป็องค์ชาย
กลืนพลังแก่นแท้ทั้งหก ล้างด้วยพลังหยางของดวงอาทิตย์ โอบรับแสงอรุณยามเช้า
รักษาิญญาและจิตใจให้ใสสะอาด สูดเอาแก่นแท้และขจัดความขุ่นมัวออกไป
ล่องไปตามลมใต้อันแผ่นเบา หยุดพักผ่อนข้างรังนก
เมื่อข้าเห็นเขาอยู่ที่นี่ ข้าก็ถามถึงความกลมกลืนของชีวิตและคุณธรรม
เขากล่าวว่าเต๋าสามารถััได้ด้วยหัวใจ แต่ไม่สามารถส่งต่อผ่านปากเปล่า
จะว่าเล็กมันก็พบได้ทุกที่ จะว่าใหญ่มันก็ไร้ขอบเขต
ปรากฏขึ้นตามธรรมชาติและไม่รบกวนจิตใจ
ของเช่นนี้ต้องััด้วยจิติญญา
สิ่งแรกที่ต้องทำคือเฝ้ารอโดยไม่เร่งเร้า
คนธรรมดาย่อมประสบความสำเร็จได้ นี่คือหนทางแห่งการบรรลุเต๋า
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ข้าก็รีบเร่งออกเดินทาง
ิญญานกขมิ้นขึ้นสู่์ รังของมันอยู่ในดินแดนะ
สระผมในตอนเช้า ปล่อยให้ลมเป่าแห้งในตอนเย็น
อาบน้ำในน้ำพุและทะนุถนอมร่างกาย
ใบหน้าสดใสชุ่มชื้น ร่างกายแข็งแรงกระฉับกระเฉง
ความนุ่มนวลและความงดงาม ปราศจากความยับยั้งชั่งใจโดยธรรมชาติ
ชื่นชมข้อดีของอากาศร้อนในภาคใต้ ดอกหอมหมื่นลี้ส่งกลิ่นหอมในฤดูหนาว
ูเาแลดูรกร้าง อ้างว้าง และไร้ผู้คน
แบกิญญาตนขึ้นไปบนเมฆที่ลอยอยู่
สั่งให้คนเฝ้าประตูเปิดประตู์
ถามเทพแห่งท้องฟ้าว่าวังไท่เว่ยอยู่ที่ใด
สะสมพลังหยางเก้าชั้นเพื่อชมบัลลังก์ไท่ซาน
รถม้าออกเดินทางตอนเช้าและถึงที่หมายในตอนเย็น
รถม้าหลายพันคันวิ่งตามกัน
นี่ดูราวกับัที่คดเคี้ยว
ธงหลากสีแสดงถึงความยิ่งใหญ่
ธงโบกสะบัดไปมา รถม้าวิ่งไปด้วยความกระฉับกระเฉง
รถม้าวิ่งพร้อมกันดูแล้วสับสน รถม้าวิ่งตามกันเป็แถวยาว
จับบังเหียนแล้วฟาดแส้ให้ตรง ข้าจะไหว้เทพไม้แห่งทิศตะวันออก
เมื่อผ่านูเาให้เลี้ยวขวา
ดวงตะวันอันสุกใสยังไม่โผล่ขึ้นมาฉายแสง ฝูงนกโบยบินไปทั่วท้องฟ้าและแผ่นดิน
นกเฟิ่งหวงสยายปีกรับลม ท่องไปในพายุทะเลเมฆ
เส้นทางยาวไกล ฟาดแส้ใส่ม้า
แม่ทัพติดตามทางซ้าย กุนซือติดตามทางขวา
ก้ามข้าวโลกีย์วิสัย รู้สึกเบิกบานและสำราญจนหลงลืมบ้านเกิด
ค้นหาคู่สนทนา แสวงหาความสงบสุข
สัญจรไปทั่วทุกทิศ บ้านเดิมเต็มไปด้วยความเศร้าโศกคะนึงหา
แต่ข้าอยู่บนหลังอาชา ไม่อาจถอยกลับได้
หวนนึกถึงอดีต ข้าสูดหายใจและซับน้ำตา
ทบทวนตนเอง ระงับความทะเยอทะยาน และทำใจให้ผ่อนคลายไร้กังวล
ชี้ไปที่เทพเ้าแห่งไฟแล้วควบม้า ข้าจะเดินทางไปทิศใต้ตรงเข้าูเาจิ่วอี๋
เมื่อมองไปที่ความอ้างว้างและความเร่งรีบของโลกภายนอก ทุกอย่างย่อมคลี่คลายไปเอง
จูหรงรบเร้าให้ควบม้ากลับมารับพระสนม
จางเซียนฉือ เฉิงอวิ๋นซี และลูกสาวคนที่สองอวี้จิ่วเฉาเกอขับร้องเพลงและดีดกู่ฉิน
เทพเซียงสุ่ยดีดพิณ เทพธิดาแห่งท้องทะเลร่ายรำ
ัดำเหยียดร่างออก
สายรุ้งล้อมรอบด้วยแสงที่แลดูงดงาม นกศักดิ์สิทธิ์ชิงหลวนโบยบินขึ้นสูง
เสียงดนตรีดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับการพเนจร
ตลอดเส้นทางอันคดเคี้ยวของเทพเ้าแห่งลำน้ำทางเหนือ ข้ามองไปทั้ง์และปฐี
เรียกพระเ้าแห่งการสร้างมาพบและปูทางให้ข้า
เผชิญกับดินแดนรกร้าง ได้ท่องเที่ยวไปในสถานที่อันกว้างใหญ่ไพศาล
ขึ้นไปถึงความสูงของสายฟ้า มองลงมาเห็นความลึกของหุบเขา
อาณาจักรเบื้องล่างดูเหมือนจะปราศจากผู้คน ท้องฟ้าเบื้องบนดูเหมือนจะปราศจาก์
มองไม่เห็นสิ่งใดในภวังค์นอกเหนือจากความเฉื่อยชาและความเงียบสงบ
ััได้ถึงพลังแห่ง์และปฐี”
เพลงนี้ไม่ได้ฟังดูสดใสเหมือนเพลงก่อนหน้านี้ มันคล้ายกับเพลงา แต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง ดูเหมือนจะแสดงถึงความวิตกกังวลและความสับสน ในขณะเดียวกันก็มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่โลกกว้าง
น่าจะเป็เพลงที่ใครสักคนแต่งขึ้นจากใจ?
อวิ๋นจื่อคิดเช่นนั้น
นางมองเขาอย่างสงสัย
ชายในชุดคลุมสีม่วงยิ้มและกล่าวว่า “นี่คือเพลงที่บิดาของเ้าชอบเล่น ก่อนที่เขาจะตายเขามักต่อบทกวีเล่นกับข้า ดังนี้เพลงนี้ย่อมแสดงถึงความปรารถนาของเขา”
อวิ๋นจื่อถามด้วยน้ำเสียงแ่เบา “เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? เหตุใดบิดามารดาของข้าถึงต้องเผชิญกับความทุกข์ยากเช่นนี้?”
ชายในชุดคลุมสีม่วงส่ายหน้าก่อนจะเล่นเพลงอีกครั้ง
“ณ ชายแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ น้ำแข็งและหิมะละลาย
ทหารกลับจากการต้อนม้าในคืนจันทร์กระจ่าง
ทหารที่ด่านหน้าเป่าขลุ่ยเป็เสียงอันไพเราะ
เพลงเหมยฮวา[1]ที่เต็มไปด้วยความรักอยู่หนใด?
ดูเหมือนว่าจะร่วงหล่นไปตามสายลมและกระจายอยู่ทั่วูเา”
หลังจากเล่นจบ ชายในชุดคลุมสีม่วงก็กล่าวว่า “เนื้อหาของเพลงนี้เหมือนกับเื่ราวของบิดามารดาเ้า”
------------------------
[1] เหมยฮวา แปลว่า ดอกบ๊วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้