พวกเขาพูดถึงอาการป่วยของเฉินชุ่ยอวิ๋นกันสักพัก เฉินชุ่ยอวิ๋นกล่าวว่าโรคของเธอทำได้เพียงพักฟื้นจนกว่าจะดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังดีที่ไม่ได้ร้ายแรงเป็พิเศษ และไม่กำเริบบ่อย ที่กำเริบครานี้เป็เพราะห่วงและใที่เจิ้งเทียนิาเ็ จากนั้นก็คุยเื่ขาของเจิ้งเทียนิต่อ เฉินชุ่ยอวิ๋นโอดครวญว่าค่าผ่าตัดแพงมาก คนปกติคงไม่กล้าป่วยสุ่มสี่สุ่มห้า มิอย่างนั้นจะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาเอา โชคดีที่คุณหมอบอกว่าการผ่าตัดสำเร็จสมบูรณ์แบบมาก หากรอเวลาให้ผ่านไปสักระยะขาของเจิ้งเทียนิก็ฟื้นคืนกลับมาเหมือนคนปกติแล้ว
เฝิงชางหย่งกับหลี่จินจือสบสายตากัน
ก่อนที่หลี่จินจือจะเปรยว่า “น้องชุ่ยอวิ๋น ฉันอยากบอกเธอั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว หากครอบครัวเธอเงินไม่พอใช้ ฉันกับชางหย่ง พวกเรามี…”
“อุ๊ย ได้ยังไงกันคะ…” เฉินชุ่ยอวิ๋นรีบปฏิเสธเป็พัลวัน “เงินพอใช้อยู่ค่ะ”
ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่เฝิงชางหย่งกลับควักเงินสดปึกหนาเตอะออกมาจากกระเป๋าก้อนหนึ่ง เป็ธนบัตรสิบหยวนทุกใบ “เงินนี้ เจี้ยนเหวินโอนมาให้ บอกว่าเป็เงินสินสอดของหยวนหยวนน่ะ” เขาวางเงินปึกหนาลงบนโต๊ะข้างๆ “เดิมทีฉันกับแม่เขาตั้งใจจะรออีกสักพัก ค่อยเตรียมส่งมาให้พร้อมกับข้าวของอื่นๆ แต่เมื่อวานได้ยินเื่ของเทียนิกับน้องเข้า แม่กับฉันคิดว่าครอบครัวพวกเธอต้องขาดแคลนเงินแน่ เลยนำเงินสองร้อยหยวนมามอบให้ก่อน” พวกเขาสองผู้เฒ่าอาศัยอยู่กับลูกคนโต เฝิงเจี้ยนเหวินเป็ลูกคนที่สี่ อยู่กองทัพตลอดทั้งปี ทุกๆ เดือนจะส่งเงินเบี้ยเลี้ยงมาให้ไม่น้อย ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้เอง คราวนี้เขาแต่งภรรยา ตามหลักแล้วพวกเขาสองสามีภรรยาควรช่วยออกค่าสินสอด แต่ลูกชายกลับบอกว่าเขามีเงิน เป็ทหารมาหลายปี รวบรวมเงินได้มาก จึงจ่ายค่าสินสอดเองและเพิ่งส่งเงินห้าร้อยหยวนมาให้เมื่อสองวันก่อน
พระเ้า นั่นมันเงินตั้งห้าร้อยหยวน! ซื้อของสี่ชิ้นใหญ่ได้ครบหมดเลย!เ้าหน้าที่รัฐในอำเภอเมืองแต่งภรรยาอาจจะไม่ใช้เงินมากขนาดนี้เสียด้วยซ้ำ
คราแรก หลี่จินจือคิดว่าห้าร้อยหยวนเป็จำนวนเงินที่มากนัก
จึงตั้งใจจะหยิบเงินออกมาสองร้อยหยวน เธอกะว่าจะให้ไปตรงๆ หนึ่งร้อยหยวนก่อน
และค่อยใช้เงินที่เหลืออีกร้อยหยวนซื้อจักรเย็บผ้ากับจักรยานให้เจิ้งหยวนทีหลัง
เท่านี้ก็ถือเป็สินสอดที่มีค่ามากแล้ว ส่วนสองร้อยกว่าหยวนที่เหลืออยู่
หลี่จินจือว่าจะรอลูกชายกลับมาแล้วค่อยคืนเขา เธออยากให้ลูกเก็บเอาไว้เองมากกว่า
พอเธออธิบายความคิดนี้กับเฝิงชางหย่งผู้เป็สามี เฝิงชางหย่งก็เห็นด้วย อนิจจา
คาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันสองวันดีจะเกิดเื่กับสกุลเฝิงขึ้น
สิ่งที่ขาดแคลนที่สุดยามป่วยเข้าโรงพยาบาลก็คือเงิน เฝิงชางหย่งคิดเช่นนี้
เลยตัดสินใจมอบสินสอดสองร้อยหยวนให้สกุลเจิ้งไว้ก่อนเผื่อฉุกเฉิน พวกจักรยาน
จักรเย็บผ้าและนาฬิกา ถึงเวลาค่อยมาคุยกันอีกทีได้ หลี่จินจือเองก็ไม่ใช่พวกไร้สาระ
เข้าใจดีว่าไม่มีอะไรสำคัญเท่าชีวิตคนแล้ว จึงตอบตกลง จึงเป็ที่มาของวันนี้
เฉินชุ่ยอวิ๋นมองเงินก้อนนั้น หากเป็เงินสินสอดแน่นอนว่าครอบครัวเธอสามารถรับไว้ได้ ซึ่งปกติการมอบของกำนัลของคนในชนบทมีธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่าง จะไม่ให้สินสอดกันตามสะดวกเช่นนี้ แถมเจิ้งเฉวียนกังยังไม่อยู่ด้วย แต่เฉินชุ่ยอวิ๋นเข้าใจการกระทำของสกุลเฝิงดี พวกเขากำลังส่งถ่านท่ามกลางหิมะ [1] อยู่ เธอเหลือบมองเจิ้งหยวน ครั้นเห็นเจิ้งหยวนเม้มริมฝีปาก ไม่มีท่าทีต่อต้าน เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยอย่างโล่งอก ตามด้วยจับมือของหลี่จินจือยิ้มๆ ก่อนเอ่ยกับเฝิงชางหย่งและหลี่จินจือว่า “ชิ่งเจียช่างช่วยพวกเราได้มากจริงๆ” เธอถอนหายใจ “พวกคุณคงไม่ทราบ ฉันป่วยคราวนี้ไม่พอ เทียนิยังมาาเ็ด้วย ต้องใช้จ่ายเงินรักษาถึงสองเท่า หยวนหยวนและลูกสะใภ้ฉันคนนั้นลำบากมากกว่าจะรวบรวมเงินค่าผ่าตัดของเทียนิได้ครบ ค่ายาในอนาคตก็ไม่รู้ตั้งเท่าไร…” ในขณะที่พูด อยู่ๆ ขอบตาพลันร้อนผ่าวและแดงก่ำขึ้นปกติครอบครัวจะไม่พูดกับเธอเื่นี้ เพราะกลัวเธอคิดมากแล้วโรคเก่าจะกำเริบเอา แต่เธอเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลาที่จะเดาไม่ออก คิดไม่ได้เสียทีเดียว
พอเห็นท่าทีของมารดา เจิ้งหยวนจึงรีบเอ่ยปลอบประโลมทันที “แม่ แม่คะ แม่อย่าคิดมากเลย วางใจเถอะ จ่ายไม่เท่าไรหรอกค่ะ”
หลี่จินจือเองก็ช่วยพูดด้วย “น้องชุ่ยอวิ๋น ขาของเทียนิก็รักษาแล้วไม่ใช่เหรอ ผ่านอุปสรรคปีนี้ไปได้ ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอนะ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นออกแรงบีบมือที่จับเธออยู่เบาๆ ขยับยิ้มอย่างเก้อกระดาก“ดูฉันสิ ชอบคิดเลอะเทอะไปเรื่อย ทำชิ่งเจียใแล้ว”
จากนั้นก็คุยกันเื่แต่งงานปลายปีต่อ หลี่จินจือกล่าวว่า “บ้านเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เสร็จั้แ่ปีที่แล้ว รอให้เจี้ยนเหวินใช้สำหรับแต่งงานปีนี้ ห้องโถงหลักเชื่อมต่อกับห้องตะวันออกและห้องตะวันตก ห้องครัวสร้างไว้ทางตะวันตก ฉันกลัวหยวนหยวนจะหนาว ก็เลยก่อเตียงเตา [2] ไว้ให้ด้วย พอจุดไฟ่หน้าหนาวจะอุ่นใช้ได้เลยละ ถึงบ้านจะหลังไม่ใหญ่มาก แต่ก็สามารถขยายพื้นที่หนึ่งในห้าหมู่ไว้ปลูกผักและเลี้ยงไก่ได้ ส่วนกำแพงก่ออิฐค่อนข้างสูง ต่อไปหยวนหยวนต้องอยู่บ้านคนเดียว ก่อสูงหน่อยจะปลอดภัยกว่า แต่ไม่ต้องกลัวนะ บ้านของเจี้ยนเหวินอยู่ตรงข้ามบ้านพวกเรา หากอนาคตหยวนหยวนมีเื่อะไร แค่มาพูดกับฉันสักคำก็พอแล้ว”
เจิ้งหยวนพยายามทำตัวเหมือนเด็กสาวธรรมดา วางมือสองข้างซ้อนทับกันไว้บนเข่าและลูบเบาๆ เหมือนเขินอายอย่างยิ่ง แต่หากตั้งใจสังเกต ความจริงหูของิญญาเฒ่าไม่แดงเลยสักนิด แถมยังฟังด้วยความสนอกสนใจ
การจัดการของสกุลเฝิงถือว่าดีสำหรับเจิ้งหยวน มีครอบครัวสามีอยู่ตรงข้าม สะใภ้สาวที่สามีไม่อยู่บ้านจะได้ไม่มีใครกล้ามารังแก เพียงแค่ปิดประตูก็สามารถใช้ชีวิตน้อยๆ ของตัวเองได้แล้ว ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
หลังจากคุยเล่นกันสักพัก เฝิงชางหย่งก็เริ่มนั่งไม่ติด เขาไม่ชอบฟังเหล่าแม่บ้านซุบซิบคุยเื่เบ็ดเตล็ดหยุมหยิมพวกนี้ เลยแอบกระตุกปลายเสื้อของหลี่จินจือแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปเยี่ยมเทียนิกันเถอะ” เขาถามเจิ้งหยวน “พี่ชายเธออยู่ห้องไหนเหรอ? ทำไมไม่จัดให้พี่ชายกับแม่พักด้วยกันล่ะ?”
“พี่ชายฉันาเ็ที่ขา ส่วนคุณแม่เป็โรคหัวใจ แพทย์ที่รับผิดชอบคนละฝ่ายกัน เลยให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ค่ะ” เจิ้งหยวนอธิบายก่อนลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้น คุณลุง คุณป้าคะ ให้ฉันพาพวกคุณไปนะคะ? พี่ชายฉันอยู่ชั้นหนึ่งค่ะ”
เจิ้งหยวนพาหลี่จินจือกับเฝิงชางหย่งลงมาชั้นหนึ่ง พวกเขานั่งอยู่ในห้องผู้ป่วยรวมสักพัก พูดคุยตามมารยาทสองสามคำก็จากไป เมื่ออยู่เป็เพื่อนแขกเสร็จ เจิ้งหยวนจึงค่อยกลับห้องพักผู้ป่วยของเฉินชุ่ยอวิ๋น
เฉินชุ่ยอวิ๋นหยิบเงินสองร้อยหยวนออกมาจากใต้หมอนเมื่อเห็นเจิ้งหยวนกลับมา “ก่อนหน้านี้แกยืมเงินเ้าคนแซ่หลิน หลินอะไรนั่นสักอย่างเท่าไรนะ?”
เจิ้งหยวนอ้ำๆ อึ้งๆ “หนึ่ง... หนึ่งร้อย… มั้งคะ?”
“อะไรคือหนึ่งร้อยมั้ง? หนึ่งร้อยก็หนึ่งร้อยสิ มามั้งๆ ทำไม!” เฉินชุ่ยอวิ๋นนับธนบัตรใบใหญ่ออกมาสิบใบแล้วยื่นให้เจิ้งหยวน
“รีบเอาเงินไปคืนเขาเสีย”
เจิ้งหยวนรับเงินมาด้วยสีหน้างงงวย วินาทีต่อมา เธอก็ยัดเงินคืนไป “ไม่ได้ค่ะ คุณแม่ พวกเราเก็บเงินนี้ไว้ซื้อยาก่อนเถอะ หลินเสี่ยวหยางเขาไม่รีบ อีกสักพักค่อยคืนได้ค่ะ” ค่านอนโรงพยาบาล ค่ายารักษาของเฉินชุ่ยอวิ๋นกับเจิ้งเทียนิยังไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไร ที่บ้านไม่เงินเลยสักแดงเดียว เอาพวกนี้ไว้ใช้ยามฉุกเฉินได้
เฉินชุ่ยอวิ๋นหน้าตึงทันใด “แกไม่ฟังที่ฉันพูดแล้วใช่ไหม!”
เจิ้งหยวนหดคอตัวลีบ กะพริบตาปริบๆ ไม่กล้าปริปากแล้ว
เฉินชุ่ยอวิ๋นยัดเงินใส่มือเจิ้งหยวนอีกรอบ เธอพูดด้วยสีหน้าดำคล้ำและน้ำเสียงเฉียบขาด “แกรีบเอาเงินนี้ไปคืน ต่อไปก็อย่าไปขอยืมเงินจากเขาอีก หรือคนเขาให้ของอะไรมาก็ห้ามรับ ได้ยินหรือเปล่า!”
เจิ้งหยวนไม่อาจแก้ตัวได้เลยจริงๆ ปึกธนบัตรในมือคล้ายของร้อนแทบลวก
เฉินชุ่ยอวิ๋นยังคงอบรมสั่งสอนบุตรสาวไม่ยอมหยุด “เกิดเป็คนน่ะ จะมาเห็นแก่ตัว เอาทุกอย่างที่คนเขาให้มาไม่ได้หรอกนะ บ้านเราเองก็ใช่ว่าไม่มีอันจะกิน อีกอย่างเห็นเขารังแกง่ายก็ไม่ควรรังแกเอาๆ คนเราต้องมีมโนธรรม แกทำผิดต่อเด็กหนุ่มคนนั้น หลอกให้เขารักอยู่ก่อนแล้ว จะมองว่าเขาชอบแก เขาจิตใจดีงามก็อ้าแขนรับความดีของเขามาเปล่าๆ ไม่ได้… หยวนหยวน ฟังแม่นะ ต่อไปตัดขาดกับเ้าหนุ่มนั่นให้จบเสีย ไม่ว่าครอบครัวเราจะตกระกำลำบากแค่ไหน ก็ห้ามไปหาเขาอีก ติดเงินใช้คืนง่าย ติดค้างน้ำใจคนใช้คืนยากนะ”
ยามนี้เจิ้งหยวนกลายเป็คนที่เห็นแก่ตัวและไร้สำนึกเสียแล้ว เธอเถียงเฉินชุ่ยอวิ๋นไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เอาละ เอาละ เธอเก็บเงินไว้กับตัวก่อนชั่วคราวแล้วกัน พอที่บ้านรีบใช้ค่อยหยิบออกมาทีหลัง เจิ้งหยวนสาบาน หากเธอปัด ‘น้ำใจ’ ของหลินเสี่ยวหยางอีก เธอจะเขียนชื่อตัวเองกลับหัวเลย! มานึกย้อนดู ชาตินี้เธอกระตือรือร้นขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆ
แถมยังกระโจนลงไปอย่างไม่คิดชีวิตทุกครั้งเสียด้วย!
ช่าง... ‘อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา’ ขนานแท้เลยจริงๆ !
เชิงอรรถ
[1] ส่งถ่านท่ามกลางหิมะ หมายถึง ให้ความช่วยเหลือในยามที่คนคับขันได้อย่างทันท่วงที
[2] เตียงเตา หมายถึง เตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ้าจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง พบมากในบ้านเรือนของชาวจีนทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้