หมี่หลันเยว่รินน้ำให้พี่ชายพลางบอกให้ทำใจให้สงบ "พี่คะ ยังไงพี่ก็คงไม่ได้อยู่เฉยอยู่แล้ว ฉันมีสองเื่อยากให้พี่ช่วย อย่างแรกเลยคือ ฉัน้าเงิน"
หมี่หลันเยว่พูดเื่เงินกับหมี่หลันหยางอย่างจริงจังจนเขาอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาเอื้อมมือไปขยี้ผมอ่อนนุ่มของน้องสาวอย่างเอ็นดู หัวใจพลันอ่อนยวบตามไปด้วย แต่พอขยี้ไปสองสามทีก็ทำให้ผมหางม้าเล็กๆ ของน้องยุ่งเหยิง
"ยัยน้องบ้า จะเอาเงินก็บอกมาตรงๆ ก็ได้นี่นา ทำตัวลึกลับซะพี่ใจหายใจคว่ำ นึกว่าจะเป็งานยากเย็นอะไรที่พี่ทำไม่ได้เสียอีก พี่เป็พี่ชายนะ เื่แค่นี้ต้องมาพูดกันเป็ทางการขนาดนี้เลยเหรอ สมุดบัญชีนั่นมันชื่อพี่ก็จริง แต่เงินทั้งหมดนั่นน้องเป็คนหามา พี่ซึ้งน้ำใจเธอนะ แต่เธอก็ไม่ควรพูดจาเหมือนคนอื่นคนไกลแบบนี้"
หมี่หลันเยว่ดึงมือพี่ชายอย่างเขินอาย "พี่คะ จริงๆ แล้วฉันไม่อยากแตะต้องเงินของพี่เลยนะ ฉันอยากเก็บไว้ให้พี่แต่งงาน แต่ว่าเพิ่งซื้อบ้านไป แล้วยังสร้างบ้านต่ออีก ตอนนี้ฉันแทบไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย"
"ตั้งใจว่าจะรอถึงหลังปีใหม่ ค่อยปล่อยเสื้อผ้าที่ทำมาขายให้หมด จะได้มีเงินเหลือบ้าง แต่ดันมีงานใหญ่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วฉันก็ไม่กล้าไปขอเงินพ่อกับแม่อีก"
ร้านเสื้อผ้าเปิดมาขนาดนี้แล้วยังไม่กล้าบอกพ่อแม่อีก พอจะใช้เงินกลับนึกถึงท่าน หมี่หลันเยว่อับอายที่จะพูดออกไป
"พี่บอกแล้วไงว่าถ้าจะใช้เงินก็บอกมาได้เลย เธอจะพูดจาอ้อมค้อมให้มันมากความทำไม" เขาใช้มือลูบผมที่ยุ่งเหยิงของน้องสาวเบาๆ "เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปเบิกให้ เอาเป็เลขกลมๆ พอไหม? มากกว่านี้คงไม่มีแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่กี่สิบหยวนเอง"
หมี่หลันเยว่พยักหน้ารัวๆ "พอแล้วค่ะๆ ฉันจะเอาไปซื้อเครื่องจักร เงินซื้อผ้าน่ะฉันยังมีพอ เหลือสำรองไว้แล้ว พี่คะ ขอบคุณนะคะ พอจัดการงานนี้เสร็จแล้ว ฉันจะเอาเงินมาคืนพี่นะคะ"
หมี่หลันหยางตบมือน้องสาวเบาๆ ก่อนจะทำหน้าเคร่งขรึม "พูดแบบนี้พี่โกรธจริงๆ นะ เธอเป็น้องสาวแท้ๆ มีเื่เดือดร้อนพี่จะไม่ยื่นมือช่วยได้ยังไง ต้องขอบคุณกันไปขอบคุณกันมาด้วยเหรอ"
หลายปีต่อมา ตอนที่หมี่หลันหยางรู้ว่าบ้านหลังแรกที่น้องสาวซื้อนั้นเป็ชื่อของเขา เขาก็รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก นึกว่าตัวเองใจกว้างให้เงินน้องสาวไปมาก ที่ไหนได้ สุดท้ายถึงรู้ว่าที่น้องสาวไม่มีเงินใช้ ก็เพราะเอาเงินไปซื้อบ้านหลังใหญ่ให้เขานั่นเอง
"ก็ได้ค่ะ งั้นฉันไม่เกรงใจพี่แล้วนะ ทีนี้มาเื่ที่สอง พี่คะ พี่ช่วยออกแบบและตกแต่งร้านใหม่ได้ไหมคะ เอาให้ใครเห็นก็ต้องรู้สึกว้าว รู้สึกว่าถ้าไม่ได้สักชิ้นคงนอนไม่หลับ"
ร้านเปิดมาสักพัก หมี่หลันเยว่สังเกตว่าหมี่หลันหยางมีความละเอียดอ่อนในการจับคู่เสื้อผ้าและการจัดวางสินค้าที่ไม่เหมือนใคร นั่นเป็พร์ทางศิลปะที่น่าจะสืบทอดมาจากหมี่จิ้งเฉิง พ่อของพวกเขามีความสามารถด้านดนตรี กีฬา และศิลปะ ซึ่งหมี่หลันหยางก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
"เื่นี้ไว้ใจพี่ได้เลย พี่รับรองว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง เดี๋ยวพี่ไปปรึกษาหลิวลี่ว่าจะออกแบบจัดวางยังไงให้เสื้อผ้าดูสวยงามน่าซื้อมากขึ้นนะ"
เมื่อได้รับมอบหมายงานจากน้องสาวแล้ว หมี่หลันหยางก็รีบไปปรับปรุงหน้าร้านทันที
วันนี้เป็วันอาทิตย์ พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแล้ว ถึงแม้คนที่สั่งของจะมาไม่ได้ในวันพรุ่งนี้ แต่ทุกอย่างก็ต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้ทุกคนไม่มีเวลา นี่แหละคือความยุ่งยากของการเป็นักเรียน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การเรียนก็ต้องมาเป็อันดับแรก นี่คือกฎเหล็กของหมี่หลันเยว่
เมื่อแบ่งงานกันเรียบร้อยแล้ว หมี่หลันเยว่ก็เริ่มเขียนๆ ขีดๆ ลงในสมุด เธอต้องจดรายละเอียดที่ต้องใส่ใจให้ชัดเจนก่อนที่คนจะมาสั่งของ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเอาอะไรไปคุยกับเขาได้ แต่พอลงมือเขียนจริงๆ ก็มีรายละเอียดย่อยๆ มากมายเหลือเกิน
หมี่หลันเยว่บันทึกทุกอย่างที่คิดออกในขณะนี้ทีละข้อๆ รอให้พี่หย่งจิ้นกลับมาคุยรายละเอียดด้วยกันอีกที ถ้ามีอะไรตกหล่นก็ค่อยเพิ่มเข้าไป หรือมีอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ปรับปรุง และอะไรที่ไม่จำเป็ก็ขีดทิ้ง
"หลันเยว่ พี่กลับมาแล้ว"
ระหว่างที่หมี่หลันเยว่กำลังพิจารณารายละเอียดทีละข้อๆ เฉียนหย่งจิ้นก็พรวดพราดเข้ามาข้างใน ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนมาก
"พี่หย่งจิ้น จะรีบไปไหนคะ ดูสิ เหงื่อท่วมตัวเลย เช็ดเหงื่อก่อนค่ะ" หมี่หลันเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าจากด้านหลังส่งให้ เฉียนหย่งจิ้นรีบเช็ดเหงื่อลวกๆ แล้วโยนผ้าขนหนูทิ้งไว้ด้านข้าง
"หลันเยว่ พี่คุยกับเพื่อนเรียบร้อยแล้ว เขาจะแจ้งให้ทางนั้นทราบ ฟังจากที่เขาพูด ทางนั้นก็ร้อนใจอยากจะดูสินค้าเหมือนกัน เพราะตอนนี้ก็เข้า่กลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พวกเขาอยากจะคว้าโอกาสสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงไว้ แล้วก็อยากจะสั่งสินค้าสำหรับฤดูหนาวด้วย ถ้าไม่ได้เห็นเสื้อผ้าของเรา พวกเขาอาจจะลงไปทางใต้แล้ว"
ในยุคนี้ เสื้อผ้าที่ทันสมัยหน่อยมักจะมาจากทางกว่างโจว แต่การไปเอาของแต่ละครั้งไม่เพียงแต่เหนื่อยยากและเปลืองเงินเท่านั้น แต่ยังเสียเวลาอีกด้วย ไปกลับแต่ละทีต้องเสียเวลาไปเกือบครึ่งเดือน ถ้าสามารถสั่งสินค้าที่ถูกใจได้ในบริเวณใกล้เคียง ใครจะอยากเดินทางไกล
หมี่หลันเยว่ส่งรายละเอียดที่เขียนไว้ให้เฉียนหย่งจิ้น "พี่หย่งจิ้น ลองดูสิ่งที่ฉันเขียนหน่อยสิคะ มีอะไรที่ฉันนึกไม่ถึง หรือต้องปรับปรุงบ้างไหม พี่ช่วยแก้ไขเพิ่มเติมให้หน่อยนะ เราสองคนต้องคุยกันให้ดี พยายามทำให้ลูกค้าพอใจมากที่สุด แล้วเราก็ได้รับผลประโยชน์สูงสุดด้วย"
เฉียนหย่งจิ้นรีบอ่านสมุดในมืออย่างละเอียด ทีละบรรทัด ไม่กล้าพลาดแม้แต่ตัวเดียว นี่คือการสั่งซื้อครั้งใหญ่ครั้งแรกของห้องเสื้อหลันเยว่ ต้องทำให้รอบคอบที่สุด ถ้าประเดิมไม่ดี ก็จะเป็การทำลายกลุ่มเล็กๆ ของพวกเขาอย่างมาก
"หลันเยว่ สิ่งที่เธอเขียนละเอียดกว่าที่พี่คิดไว้อีก พี่ไม่รู้จะเสนออะไรเลย ติดแค่เื่ราคา เธอคิดว่าตั้งราคานี้เหมาะสมแล้วเหรอ ราคานี้มันไม่ถูกเลยนะ ในเมื่อเราจะทำขายส่ง ราคานี้มันจะสูงไปหน่อยรึเปล่า"
ตอนที่หมี่หลันเยว่ตั้งราคา เฉียนหย่งจิ้นก็เคยทักท้วงไปบ้าง แต่สุดท้ายพบว่าราคาไม่ได้เป็อุปสรรคต่อยอดขายเสื้อผ้า แสดงว่าราคาที่หมี่หลันเยว่ตั้งไว้ค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่ตอนนี้เป็ราคาขายส่งนี่นา ได้ยินมาว่าเสื้อผ้าทางใต้น่ะราคาถูกมาก ราคาก็เป็ปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน
"เื่นี้ฉันคิดมาแล้ว ถึงพี่จะบอกว่าพวกเขาจะไปเอาของทางใต้ แล้วเราก็รู้ว่าราคาทางนั้นถูก แต่พวกเขาต้องเสียเวลาไปวิ่งเต้นหาของมากกว่า แล้วยังมีค่าเดินทาง ค่าที่พัก ที่ต้องเอามาคำนวณด้วย ถ้าเอามารวมกับราคาสินค้าแล้ว ราคาก็ไม่ได้ถูกอย่างที่คิด"
"อีกอย่าง เสื้อผ้าของเราอยู่ใกล้แหล่งผลิต พวกเขาจึงไม่ต้องซื้อของเยอะๆ แถมถ้าของขาดก็สามารถสั่งเพิ่มได้ทันที สะดวกกว่าไปเอาของทางใต้มาก นี่คือข้อได้เปรียบของเรา เราต้องใช้มันให้เหมาะสมและสมเหตุสมผล เวลาต่อรอง นี่จะเป็แต้มต่อของเราค่ะ"
หมี่หลันเยว่เริ่มสื่อสารกับเฉียนหย่งจิ้นอย่างละเอียด ขั้นแรกคือทำความเข้าใจข้อได้เปรียบของฝ่ายเรา ขั้นที่สองคือทำความเข้าใจข้อเสียเปรียบของฝ่ายเรา และต้องพยายามทำความเข้าใจความ้าของอีกฝ่ายด้วย สองข้อแรกสามารถตกลงกันได้ในวันนี้ แต่ความ้าของอีกฝ่ายนั้นต้องรอให้พวกเขามาถึงก่อน ถึงจะรู้ได้จากการพูดคุย ซึ่งต้องอาศัยการปรับตัวตามสถานการณ์
"ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดของการที่พวกเขาออกไปเอาของเองก็คือ สินค้ามีหลากหลายชนิด มีตัวเลือกให้เลือกเยอะ อันนี้เราสู้ไม่ได้ แต่นอกจากเราจะมีเสื้อผ้าในร้านแล้ว เรายังสามารถวาดแบบเสื้อผ้าเพิ่มอีกภายในสองสามวันนี้ ให้เขาเลือกตามแบบ ถ้ามีแบบที่ถูกใจ เราก็สามารถผลิตให้เป็พิเศษได้ แบบนี้โอกาสในการเซ็นสัญญาก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก"
เฉียนหย่งจิ้นคิดว่านี่เป็วิธีที่ดี ในเมื่อไม่สามารถทำเสื้อผ้าตัวอย่างออกมาได้เยอะขนาดนั้น ก็ให้วาดแบบไปเลย แบบเสื้อผ้าที่หลันเยว่ออกแบบ ไม่ว่าจะความเร็วหรือรูปแบบ ก็เป็ที่น่าเชื่อถืออย่างมาก ในแต่ละรอบ ร้านของพวกเขาจะคัดเลือกแบบที่ดีที่สุดจากแบบของหลันเยว่
แต่ในเมื่อตอนนี้มีคนมาสั่งของ ก็เอาแบบทั้งหมดมาให้เขาเลือก ให้พวกเขาเลือกแบบที่ชอบจากแบบที่วาดไว้ แบบนี้ก็จะไม่จำกัดอยู่แค่เสื้อผ้าตัวอย่างในร้าน จะมีตัวเลือกให้เลือกเยอะมากขึ้น
"ถ้าเขากลัวว่าแบบที่วาดไว้ พอทำออกมาแล้วเสื้อผ้าจะไม่สวย เราก็สามารถทำตัวอย่างตามแบบที่เขาเลือกออกมาให้ดูก่อนได้ ถ้าเขาชอบตัวอย่างที่ทำมา เราค่อยผลิตเป็จำนวนมากก็ได้ หรือถ้าเขาไม่พอใจ แค่เสื้อผ้าตัวเดียว แขวนไว้ในร้านขายก็ไม่เสียเปล่าอะไรนี่"
ใช่แล้ว ในร้านมีเสื้อผ้าแบบใหม่ๆ แขวนอยู่บ้าง อาจจะสร้างความประหลาดใจให้ลูกค้าได้ด้วย "ฉันเห็นด้วยกับที่พี่หย่งจิ้นพูดนะคะ เพิ่มข้อนี้เข้าไป เราเอาแบบที่พวกเขาถูกใจมาผลิตเป็เสื้อผ้าสำเร็จรูปให้พวกเขาดูได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาจะไม่เลือกก็ตาม"
เหตุผลที่หมี่หลันเยว่เห็นด้วยที่จะทำแบบนี้ ก็เพราะเธอคิดถึงกฎข้อดีข้อด้อยของสินค้าในชาติที่แล้ว ตอนที่เธอเป็พนักงานขายของ เ้าของร้านเอาสินค้าที่ตัวเธอและเพื่อนร่วมงานอีกไม่กี่คนมองว่าไม่น่าสนใจเท่าไหร่กลับมา ปรากฏว่าขายดีมาก ในขณะที่สินค้าบางชิ้นที่หลายคนรู้สึกว่าน่าสนใจ กลับมียอดขายที่ไม่น่าพอใจ
นั่นก็หมายความว่าสายตาของลูกค้ากับสายตาของพวกเราไม่จำเป็ต้องตรงกันเสมอไป ในขั้นตอนการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป มักจะเป็ตัวเธอและพนักงานในโรงงานหรือในร้านที่เลือกกันเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตรงกับรสนิยมของลูกค้าเสมอไป บางทีในกระบวนการกำหนดตัวอย่างสำหรับลูกค้ารายใหญ่อาจจะค้นพบโอกาสทางธุรกิจที่แตกต่างออกไปก็ได้ ต้องลองดูถึงจะรู้
"เพิ่มข้อนี้เข้าไปแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องอะไรอีกไหม"
เฉียนหย่งจิ้นกำปากกาในมือแน่น เขาหวังว่าจะมีข้อกำหนดเยอะๆ จะได้เขียนรายละเอียดให้ชัดเจน ยิ่งมีรายละเอียดเยอะ ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าร้านของพวกเขามีมาตรฐาน ยิ่งมีข้อกำหนดเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่ามีข้อผิดพลาดน้อยลง
"ฉันลืมเขียนเื่เงินมัดจำในการสั่งซื้อ พี่หย่งจิ้น เื่นี้สำคัญมาก พี่ลองคำนวณต้นทุนดู ถ้าพวกเขา้าสั่งซื้อ เราต้องเก็บเงินมัดจำให้ครอบคลุมต้นทุนสินค้า เพราะถ้าเขายกเลิก เราก็จะไม่ขาดทุน"
เฉียนหย่งจิ้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อกำหนดนี้ "เงินมัดจำเยอะขนาดนั้น เขาจะยอมจ่ายเหรอ? ครอบคลุมต้นทุนเลยนะ นั่นก็คือครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าปลีก จากราคาขายส่งของพวกเขา มันเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะ"
"อันนี้ไม่ใช่เื่ที่เราต้องกังวล ในเมื่อต่างฝ่ายต่างยินยอม ถ้าเขาไม่เห็นด้วยกับข้อนี้ ก็อย่าเซ็นสัญญาเลยดีกว่า จะยอมลดข้อนี้ไม่ได้เด็ดขาด และถ้าเป็การซื้อสินค้าพร้อมส่ง ก็ต้องจ่ายเงินให้ครบ จะไม่ยอมให้มีการค้างชำระเด็ดขาด เพิ่มอีกข้อด้วยค่ะ ราคาขายปลีกต้องเท่ากับราคาของเรา"
เมื่อเห็นว่าหมี่หลันเยว่ยืนกราน เฉียนหย่งจิ้นก็รู้ว่าหมี่หลันเยว่ต้องมีสิ่งที่ต้องกังวลใจอยู่แน่ๆ จึงไม่ได้ยืนกรานต่อ แต่เขียนข้อนี้เข้าไปด้วย หมี่หลันเยว่เอื้อมมือไปแตะที่ข้อกำหนด
"เรียบร้อย งานที่เราทำได้ เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็แค่...รอเขามา!"
