อะไรกันเนี่ย ทำไมจู่ๆ ถึงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาได้
แต่เมื่อมองดูท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของหญิงสาวแล้วกลับดูไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลย อย่างมากก็แค่เป็การซุบซิบที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชวีเสี่ยวปอเองก็ตอบรับกลับไปอย่างอัตโนมัติ
คิดไม่ถึงเลยว่าคำตอบนี้จะทำให้หญิงสาวสะบัดผมขึ้นมาในทันที อีกทั้งสีหน้ายังสื่อออกมาว่า “ฉันรู้อยู่แหละ” ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น : “พี่เคยเป็วัยรุ่นมาก่อน หนุ่มๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่มาทำของพวกนี้ก็เอาไปให้แฟนกันทั้งนั้นแหละ”
“ตอนนี้พี่ก็ยังดูอายุไม่เยอะเลยนะครับ” ชวีเสี่ยวปอต่อบทสนทนาอย่างเป็ธรรมชาติ
“ปากหวานจริงๆ เลย” หญิงสาวยกนิ้วโป้งขึ้นมา “ครั้งหน้าพาแฟนสาวมาด้วยกันสิ เดี๋ยวพี่ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ !”
ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์น่ะได้อยู่หรอก แต่พาแฟนหนุ่มมาแทนได้ไหม?
ชวีเสี่ยวปอบ่นขึ้นมาในใจ จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเครื่องปั้นขึ้นรูปเครื่องหนึ่งออกมานั่งลง
“เฮ้ อย่าเพิ่งใจร้อนสิ” หญิงสาวหันหลังวิ่งกลับไปยังตู้เก็บของ ในตอนกลับมาก็ยื่นผ้ากันเปื้อนที่อยู่ในมือส่งให้ชวีเสี่ยวปอ “ใส่นี่ก่อน เสื้อจะได้ไม่เลอะ”
ถึงแม้ว่าเธอจะชอบเื่ซุบซิบไปหน่อย แต่การบริการถือว่าค่อนข้างดีใช้ได้เลยทีเดียว
ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ หญิงสาวก็ได้นำดินเหนียวออกมาวางให้เรียบร้อยแล้ว ชวีเสี่ยวปอมองดูก้อนดินเหนียวนั้น ครั้งสุดท้ายที่ได้เล่นดินโคลนคงจะเป็ตอนที่เขายังใส่กางเกงเปิดเป้าอยู่ อีกทั้งยังไม่ได้เป็แบบที่มีขั้นตอนพิถีพิถันอะไรเช่นนี้ เพียงแต่เป็การเล่นมั่วๆ ในตอนเด็กก็เท่านั้น
“วันนี้ไม่มีคน พี่ค่อยๆ สอนเธอได้” หญิงสาวเองก็เปิดเครื่องปั้นขึ้นรูปที่อยู่ด้านข้างขึ้น พลางนั่งลงมาเช่นกัน
“ได้ครับ” ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร ชวีเสี่ยวปอยืดหลังตั้งตรงขึ้นมาทันที ขณะที่มองดินเหนียวก้อนนั้น จู่ๆ ท่าทางของเขาก็ดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
ฉันไม่ได้กำลังเล่นดินโคลนอยู่ ฉันกำลังทำของขวัญวันเกิดให้เซี่ยเจิง !
“ผ่อนคลายลงหน่อย” หญิงสาวเหลือบมองเขา หลังจากที่ปัดเลื่อนโทรศัพท์มือถือไปมาสองสามครั้ง ลำโพงบลูทูธที่วางอยู่ตรงตู้เก็บของทางด้านนั้นก็บรรเลงเพลงเบาๆ ขึ้นมา “ก่อนอื่น ต้องตบดินให้เป็รูปทรงกรวยก่อน”
ชวีเสี่ยวปอรับดินเหนียวจากมือของหญิงสาวมา พร้อมทั้งจ้องมองการเคลื่อนไหวอันชำนาญของอีกฝ่าย จากนั้นจึงนวดปั้นตามเธออยู่สองสามครั้งจนเป็รูปเป็ร่างขึ้นมา
ความรู้สึกัันี้...
“ดีมาก ทำถูกแล้วละ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น “จากนั้นก็ทุบลงไปตรงนี้”
ชวีเสี่ยวปอทุบดินเหนียวที่ปั้นเสร็จดีแล้วลงไปตรงกลางถาดหมุด แล้วจึงชำเลืองมองหญิงสาวไปครั้งหนึ่ง เพื่อขอคำยืนยันจากอีกฝ่าย
“ต้องกดลงไปอีกหน่อย ทำให้ตรงกลางติดแน่นดี” ในขณะที่พูดหญิงสาวก็พลางทำไปด้วย “เปิดสวิตช์ถาดหมุนขึ้นมา ในตอนนี้ทำมือให้เปียกน้ำได้นะ หล่อลื่นให้มันสักหน่อย”
หญิงสาวอธิบายอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีความอดทนสูงมาก แต่สำหรับมือใหม่อย่างชวีเสี่ยวปอถือว่าค่อนข้างยากลำบากอยู่พอสมควร ทว่าหลังจากที่ผ่านการปรับแก้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดดินเหนียวก้อนนั้นก็มีรูปร่างของแก้วน้ำขึ้นมาแล้ว
“จิ๊” ชวีเสี่ยวปอเหยียดมือที่เต็มไปด้วยดินเหนียวขึ้นมา พร้อมทั้งชื่นชมผลงานที่แลกมาด้วยการปวดคอและปวดหลัง “ไม่เลวเลยนะเนี่ย แค่ปากกว้างไปหน่อย ไม่ค่อยเหมือนแก้วน้ำเลย แต่เหมือน...กระบอกน้ำมากกว่า”
กระบอกน้ำที่คุณปู่คุณตาหน้าปากซอยบ้านของเซี่ยเจิงชอบใช้ ซึ่งเป็แบบที่โดยปกติจะใส่น้ำชาเอาไว้จนเต็ม ตอนที่ไม่มีอะไรทำก็สามารถเอาออกมาจิบได้ตลอดเวลา
หญิงสาว : “...ยังอยากจะแก้อีกสักหน่อยไหม? ”
“เอาแบบนี้ละครับ” ชวีเสี่ยวปอยกแขนขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เขารู้สึกว่าแก้วชาใบใหญ่แบบนี้เหมาะกับเซี่ยเจิงมากเลยทีเดียว “แฟน...สาวของผมเป็คนง่ายๆ น่ะครับ ไม่ค่อยสนใจเื่แบบนี้สักเท่าไหร่”
“มือใหม่แต่ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่แย่แล้วค่ะ !” หญิงสาวพยักหน้า แล้วจึงสะบัดศีรษะไปมา เพื่อขยับต้นคอให้ผ่อนคลาย “วางใจเถอะ ที่เหลือยกให้เป็หน้าที่พี่เอง”
“ได้เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอเชื่อใจเธอเป็อย่างมาก “อาทิตย์หน้า...ผมมาเอาได้เลยไหมครับ? ”
“น่าจะได้นะ แต่ก็ไม่แน่อะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น “ยังมีของคิวก่อนหน้าอีกตั้งหลายคนยังทำไม่เสร็จเลย ทำไม? อาทิตย์หน้าวันเกิดแฟนแล้วเหรอ? ”
“พี่...” ชวีเสี่ยวปอขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “พี่น่าจะไปตั้งแผงข้างนอกนะ ตรงสะพานลอยตรงนั้นก็ได้ ผมรู้สึกว่าพี่เก่งกว่าพวกแก๊งหมอดูที่แกล้งตาบอดตั้งเยอะ”
“ขอบคุณสำหรับคำชม” หญิงสาวหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ “ถ้างั้นเดี๋ยวพี่อบให้ก่อนก็ได้ ลัดคิวหน่อยนึงก็ไม่ได้ถือเป็เื่ใหญ่อะไร พี่ตัดสินใจแทนเ้าของร้านได้”
“ขอบคุณครับพี่”
ในตอนที่กำลังจะกลับชวีเสี่ยวปอก็แอดวีแชทของหญิงสาวไป เธอบอกว่าถ้าแก้วอบเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้บอกเขาก่อนล่วงหน้า เมื่อเปิดประตูกระจกออกมา ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าลมด้านนอกพัดแรงกว่าเมื่อเช้าเสียอีก เขาจึงรูดซิปดึงขึ้นมาจนสุด พร้อมทั้งหดคอเข้าไปด้านใน ในขณะที่เดินต้านลมไปด้านหน้า ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็อยากรีบไปหาเซี่ยเจิง ไปทานหม้อไฟร้อนๆ กับเขาสักมื้อหนึ่ง
………………………….
หลังจากที่คบกับเซี่ยเจิงแล้ว ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเื่ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ เริ่มกลายมาเป็สิ่งที่เขาเฝ้าคอย
อย่างเช่นในตอนที่เขาออกจากบ้านมาคนเดียว หาร้านเล็กๆ เพื่อทานข้าวก็ประทังความหิวไปได้แล้ว แต่เมื่อได้คบกับเซี่ยเจิง เขาก็อยากที่จะหาสถานที่สักแห่งที่สามารถทำให้เขาสองคนได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกหน่อย แอบอิงกัน ยืดระยะเวลาให้นานออกไป ออกจากโลกความเป็จริง เติมเต็มซึ่งกันและกัน... สิ่งเหล่านี้คงจะเป็่เวลาที่ทำให้รู้สึกพิเศษละมั้ง?
โดยเฉพาะในตอนที่มั่นใจว่าคำร้องขอทุกข้อที่ตัวเขาเอ่ยออกมานั้นจะมีคนที่สามารถเติมเต็มมันได้
เื่เล็กๆ อันแสนธรรมดาเหล่านี้ ก็จะยิ่งกลายเป็สิ่งที่ควรค่าแก่การรอคอยมากขึ้นไปอีก
ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอโทรศัพท์มา เซี่ยเจิงกำลังดึงผ้าปูที่นอนที่ปั่นแห้งเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาจากเครื่องซักผ้า เขาสะบัดมือเล็กน้อย แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าโดยที่มือยังเปียกอยู่ก่อนที่จะกดรับสายไป : “เร็วกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”
เสียงลมพัดจากทางปลายสายดังเข้ามา จากนั้นถึงได้ยินเสียงหัวเราะของชวีเสี่ยวปอดังตามขึ้นมาทันที “นายรอโทรศัพท์ฉันอยู่เหรอ? ”
“ก็ใช่แหละ” เซี่ยเจิงยัดผ้าปูที่นอนที่ดึงออกมาได้แค่ครึ่งหนึ่งกลับเข้าไปในถังซักอีกครั้ง วางมือไว้บนเครื่องซักผ้า พลางพูดขึ้นว่า : “นึกว่าจะช้ากว่านี้สักหน่อย กินข้าวรึยัง? ”
“ยังเลย !” ชวีเสี่ยวปอสะดุ้งตัวขึ้นมาราวกับถูกใครมาจี้จุดเข้า “ออกมาเร็ว ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย หิวจะแย่อยู่แล้ว”
“บ่ายสองแล้วนะ” เซี่ยเจิงดึงผ้าปูที่นอนออกมาอีกครั้ง พลางขยับมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว “อะไรทำให้นายยุ่งกับมันถึงครึ่งค่อนวันขนาดนี้นะ? ”
“ทำเซ...” ชวีเสี่ยวปอเกือบจะกัดลิ้นตัวเองเข้าแล้ว “นายไม่ได้ต้องมาหลอกถามฉันเลยนะ !”
“คิดไปไหนต่อไหนแล้ว” เซี่ยเจิงเอาผ้าปูที่นอนเปียกๆ ขึ้นมาพาดไว้ที่แขนแล้วเดินไปยังลานบ้าน พร้อมทั้งพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า : “นายอยู่ไหน? เดี๋ยวฉันไปหานายเอง? ”
“หม้อไฟฉงชิ่งที่อยู่ตรงจัตุรัสรู้จักใช่ไหม” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ฉันนั่งรถแท็กซี่อยู่ พวกเราไปเจอกันที่นั่นเลย”
“ได้”
หลังจากวางสายไป เซี่ยเจิงก็เริ่มตากผ้าปูที่นอน ในลานบ้านลมแรงมาก ถ้าหากไม่ใช้ที่หนีบผ้าหนีบเอาไว้แล้วถูกลมพัดตกพื้นก็จะเท่ากับเปลืองแรงซักเปล่าๆ เซี่ยเจิงพาดผ้าปูที่นอนขึ้นไป แล้วกำลังจะกลับเข้าไปเอาที่หนีบผ้าในบ้าน แต่ทันทีที่หันกลับไปแม่ของเซี่ยเจิงก็ยื่นที่หนีบผ้าส่งมาให้เขาก่อนแล้ว
“ใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อยนะครับ ข้างนอกลมแรงมากเลย” เซี่ยเจิงเหลือมองเสื้อไหมพรมบางๆ ที่อยู่บนตัวแม่ของเขา ดูเหมือนว่าจะใส่มาสามปีได้แล้ว อีกทั้งแขนเสื้อก็เป็ขุยไปหมดแล้ว เซี่ยเจิงเม้มริมฝีปาก ละสายตาไปทางอื่น พร้อมทั้งรับที่หนีบผ้ามาหนีบเอาไว้บนผ้าปูที่นอน
“ระบบปั่นแห้งของเครื่องซักผ้าดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้วนะ” ในขณะที่พูดแม่ของเซี่ยเจิงก็ไอออกมาเล็กน้อย ขณะนั้นเธอก็เอามือลูบไปบนผ้าปูที่นอนด้วย “ปั่นไม่ค่อยแห้งเท่าไหร่เลย”
“ปัญหาเดิมแหละครับ ถ้าเงินสอนพิเศษของเดือนนี้ออกแล้วเดี๋ยวเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ครับ” เซี่ยเจิงโอบไหล่แม่ของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งดันให้เธอเข้าบ้านไป “เครื่องนี้ก็ใช้มาตั้งสิบกว่าปีแล้ว คุ้มมากแล้วละครับ”
“ถูๆ ไถๆ ไปก็ยังพอใช้ได้อยู่ อีกอย่างมันยังซักเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ได้อยู่เลย” แล้วจู่ๆ แม่ของเซี่ยเจิงก็ถามขึ้นมาว่า : “ลูก ตอนนี้ลูกทำอยู่กี่งาน? ”
“สอนพิเศษเหรอครับ รับเพิ่มได้ก็รับเพิ่มครับ” เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบออกไปตรงๆ “ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรมาก”
“เหนื่อยขนาดนี้” แม่ของเซี่ยเจิงถอนหายใจ แววตาของเธอดูหมองลง “แม่ขอโทษนะลูก”
“แม่คิดไปไหนต่อไหนแล้วครับเนี่ยถึงได้พูดประโยคนี้ออกมา” เซี่ยเจิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาเล็กน้อย “แม่ครับ ระหว่างเราสองคนยังต้องพูดคำว่าขอโทษสองคำนี้อีกเหรอ? ที่ผมทำงานก็ไม่ใช่เพราะทำเพื่อแม่คนเดียวสักหน่อยครับ เราสองคนต้องมีชีวิตต่อไปไม่ใช่เหรอครับ? ”
“แต่ถ้าไม่มีแม่ ลูกก็จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้” แม่ของเซี่ยเจิงเอ่ยขึ้น
หัวใจของเซี่ยเจิงกระตุกสั่นขึ้นมาทันที มือที่จับไหล่แม่ของเขาเอาไว้อยู่ก็กระชับแน่นขึ้นมาเช่นกัน “แม่พูดอะไรครับเนี่ย ไม่มีแม่ชีวิตผมดีไม่ได้หรอก !” ทันทีที่สิ้นเสียงพูด เซี่ยเจิงถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้เขาใจร้อนไปมากเพียงใด ซึ่งสำหรับแม่เขาแล้วมันสามารถกระตุ้นอารมณ์ของเธอได้เป็อย่างดี เซี่ยเจิงจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความกังวลขึ้นไปอีกเท่าตัว ขณะเดียวกันใบหน้าของแม่เขาก็ค่อยๆ แสดงสีหน้ารู้สึกผิดขึ้นมาอย่างช้าๆ
“แม่ขอโทษ ลูก”
มือที่จับไหล่เอาไว้แน่นเปลี่ยนมาเป็ตบเบาๆ ไปบนบ่าอย่างอ่อนโยน เซี่ยเจิงดึงแม่เข้ามากอดไว้ พลางพูดเสียงแ่เบาขึ้นมา :
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะครับ”
“แม่เห็นลูกผอมลงไปมาก คิดว่าลูกคงจะลำบากน่าดูเลย” เธออิงซบไปบนไหล่ของลูกชาย พร้อมทั้งอธิบายขึ้นมาเสียงเบา “แม่ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะ”
“ผมเข้าใจครับ” เซี่ยเจิงพูดไม่ถูกว่าความรู้สึกในตอนที่แม่ของเขาพูดคำว่าขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ แล้วมันเป็เช่นไรกันแน่