มู่ชิงมองมู่เฟิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยความรู้สึกหลากหลายภายในใจ หลังจากเส้นลมปราณของอีกฝ่ายถูกทำลาย เขาก็เผลอคิดไปว่าตนจะกลายเป็บุคคลที่กลุ่มคนรุ่นเยาว์ของตระกูลมู่ให้ความเคารพนับถือ
ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันคาดคิด จนกระทั่งถึงวันนี้ ในที่สุดแสงก็ตกกระทบลงมาบนตัวเขา ทำให้รัศมีของเขาเปล่งประกายมากขึ้นกว่าในอดีต แม้แต่ผู้คนรอบข้างยังเปลี่ยนคำเรียกขานเขาว่านายน้อย
นายน้อยมีความหมายอย่างไร นายน้อยของตระกูลมู่ นั่นไม่ได้หมายถึงผู้ที่จะได้เป็ผู้นำสูงสุดของตระกูลมู่ในอนาคตหรอกหรือ?
ทำไมกันนะ เขาเองก็พยายามเหมือนกัน แต่เหตุใดสุดท้ายแล้วตัวเขาก็ยังถูกกดหัว ถูกบดขยี้เหมือนเดิม มู่ชิงรู้สึกเสียใจเป็อย่างยิ่ง
ชายหนุ่มจ้องมองไปทางศิษย์ตระกูลมู่ที่กำลังโอบล้อมมู่เฟิง มู่ชิงแค่นยิ้มออกมาอย่างนึกสมเพชตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไปเพียงลำพัง
มู่เฟิงสังเกตเห็นการจากไปของมู่ชิง แต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรหรือกระทำสิ่งใด
หลังจากมู่ชิงเดินออกจากห้องโถงแล้ว เขาก็เดินเล่นไปรอบๆ สำนักศึกษา จนกระทั่งมาถึงทะเลสาบเทียนอวิ่น
เดือนสี่เป็่เวลาที่ใบบัวภายในทะเลสาบเทียนอวิ่นเริ่มผลิใบใหม่อีกครั้ง โดยจะมีแมลงปอโบยบินมาเกาะบนดอกบัวตูมอยู่ไม่ซ้ำ
มู่ชิงเหม่อมองทิวทัศน์ของทะเลสาบเทียนอวิ่นอันกว้างใหญ่ ก่อนจะแผดเสียงคำรามออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ
“ทำไม! เพราะเหตุใด? ั้แ่เล็กจนโตข้าก็ยังไม่เคยเทียบเขาได้ ทำไม? ทำไมกัน
“เป็เพราะบิดาของเขามีอำนาจสูงสุดในตระกูลอย่างนั้นหรือ? หรือเป็เพราะพร์ของเขาสูงกว่าข้า? ข้ามู่ชิงก็เพียรพยายามอย่างหนักเช่นกัน เหตุใดข้ายังด้อยกว่าเขาในทุกเื่อีก ข้าไม่ยอม ข้าไม่มีวันยอมรับ!”
มู่ชิงตะเบ็งเสียงอยู่ริมทะเลสาบเทียนอวิ่น เสียงที่เขาะโออกมานั้นดังสะท้อนไปทั่วทะเลสาบ ทำให้เหล่านกกระยางตื่นใจนรีบบินจากไปในทันที กระทั่งบัณฑิตและบรรดาคู่รักทั้งหลายที่ออกมาเดินเล่นรอบทะเลสาบยังต้องหันไปมองมู่ชิงเป็จุดเดียว
“ชายผู้นั้นเป็ใครกัน เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“ดูจากท่าทางที่น่าสมเพชนั่นแล้ว เกรงว่าคงได้รับแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจบางอย่างมากระมัง”
บัณฑิตที่เดินผ่านไปมาต่างพากันนินทามู่ชิงด้วยเสียงกระซิบกระซาบ สายตาที่พวกเขาจ้องมองชายหนุ่มก็ราวกับว่ากำลังมองดูคนโง่
“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม!”
มู่ชิงกัดฟันกรอด ก่อนจะต่อยหมัดไปยังรั้วเหล็กอย่างแรงจนมันบิดเบี้ยว
“เอ๊ะ! นี่ไม่ใช่มู่ชิงจากตระกูลมู่หรอกหรือ?"
ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
และพวกเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็ซั่งกวานเชียนจื้อที่เสียแขนไปข้างหนึ่งกับพวกหนานหลิงนั่นเอง
กลุ่มคนของหนานหลิงเดินเข้ามาอย่างใจเย็น ซั่งกวานเชียนจื้อกล่าวทักทายออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“หนานหลิง ซั่งกวานเชียนจื้อ!”
มู่ชิงเหลือบตามองไปยังกลุ่มคนเ่าั้ ในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นตระกูลมู่ของเขาและคนของจวนเป่ยอ๋องถือเป็ศัตรูกันมาโดยตลอด
มู่ชิงหันหลังกลับเตรียมจะจากไปโดยไม่สนใจคนเ่าั้ เพราะถึงอย่างไรคนของตระกูลมู่และคนของจวนเป่ยอ๋องล้วนจะไม่ข้องแวะกัน
“น้องมู่ชิง ช้าก่อน”
หนานหลิงพลันเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่ชิงก็ชะงักฝีเท้าก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็าโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปว่า “มีอะไร?”
หนานหลิงรีบเดินนำคนของเขาไปขวางหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้าออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะได้พบกับน้องมู่ชิง นับว่ามีวาสนาต่อกัน”
“หึ มีวาสนาต่อกัน ฝ่าาหนานหลิง วาสนาสามคำนี้ข้าคิดว่าเ้าไม่ควรใช้มันกับคนของตระกูลมู่หรอกนะพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงตวาดกลับอย่างเ็า จากนั้นเขาก็เตรียมจะจากไป
“ไอหยา! คำกล่าวของน้องมู่ชิงนั้นไม่ถูกต้อง”
หนานหลิงก้าวไปข้างหน้าและจับไหล่ของมู่ชิงเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ซั่งกวานเชียนจื้อและศิษย์จากจวนเป่ยอ๋องอีกสองคนต่างก็ยืนขวางไม่ให้มู่ชิงไปไหน
“เ้าคิดจะทำอะไร?"
มู่ชิงกวาดตามองคนทั้งสามที่ยืนขนาบข้างก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า ภายในใจของเขาเริ่มรู้สึกหวาดระแวง
“คนในตระกูลมู่ข้านึกชื่นชมน้องมู่ชิงมากที่สุด ในเมื่อเราได้พบหน้ากันแล้ว เหตุใดไม่ไปยังศาลาดอกบัวทางด้านนั้นแล้วนั่งคุยกันเสียหน่อยเล่า”
หนานหลิงยังคงกล่าวด้วยยิ้ม เขาชี้นิ้วไปทางศาลาดอกบัวที่อยู่ไกลออกไปขณะกล่าวขึ้น
“ไม่ไป ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเ้า”
มู่ชิงสะบัดตัว แต่เขาไม่สามารถสลัดมือของหนานหลิงออกไปได้
“มู่ชิง ฝ่าาทรงให้เกียรติเชิญเ้าด้วยตัวเอง ข้าคิดว่าเ้าไม่ควรบีบให้พวกเราต้องใช้กำลังบังคับกันหรอกนะ”
ทันใดนั้นซั่งกวานเชียนจื้อก็กล่าวออกมาดเวยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ศิษย์อีกสองคนของจวนเป่ยอ๋องต่างก็เตรียมพร้อมเช่นกัน ดวงตาของพวกเขาจ้องมองมู่ชิงอย่างมาดร้าย
เมื่อเห็นดังนั้นมู่ชิงก็หรี่ตาลงพลางครุ่นคิด จากนั้นก็ยอมพยักหน้าในที่สุด
“ฮ่าๆ ถูกต้องแล้วน้องมู่ชิง ข้าเชื่อว่าเ้าและข้าต้องมีบางอย่างที่เหมือนกันแน่!”
หนานหลิงหัวเราะก่อนจะโบกมือ จากนั้นเขาก็เดินนำไปยังศาลาดอกบัวกลางทะเลสาบเทียนอวิ่นพร้อมกับซั่งกวานเชียนจื้อและลูกสมุนอีกสองคน
เมื่อมาถึงศาลาดอกบัว มู่ชิง ซั่งกวานเชียนจื้อ หนานหลิงและลูกสมุนอีกสองคนก็พากันนั่งลง
หนานหลิงหยิบชุดน้ำชาออกมาจากแหวนเฉียนคุน ใช้พลังปราณเพลิงในการชงชา ก่อนจะมอบให้มู่ชิง ซั่งกวานเชียนจื้อและคนของเขาอีกสองคน ทุกคนล้วนได้รับชาที่ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งคนละถ้วย
มู่ชิงขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าาหนานหลิง ท่านเชิญข้ามาที่นี่เพื่อดื่มชาอย่างนั้นหรือ”
“หึๆ น้องมู่ชิง เ้าอย่าได้รีบร้อนไป ดื่มชานี่ก่อน เื่อื่นอีกประเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
หนานหลิงยกถ้อยชาขึ้นจ่อไว้ที่ปลายจมูกสูดกลิ่นหอม และเริ่มจิบชาพลางพึมพำกับตัวเองว่าชาดี จากนั้นเขาก็จิบชาต่อด้วยความละเมียดละไม
มู่ชิงไม่ได้ดื่มชานั้นเข้าไป ซั่งกวานเชียนจื้อจึงกล่าวขึ้นว่า “ชานี้เป็ชาหลงจิ่งก่อนฝน* หากน้องมู่ชิงไม่ดื่มคงน่าเสียดาย”
(*ชาหลงจิ่งก่อนฝนถือว่าเป็ชาชั้นเลิศที่ไม่อาจหาชาอื่นมาเทียบเคียงได้)
“เหอะ พังพอนมอบไก่อวยพรปีใหม่* วางแผนสิ่งใดไว้ในใจตนย่อมรู้ดี”
(*ต่อหน้าทำเป็รักใคร่ แต่ใจจริงคิดมุ่งร้าย)
มู่ชิงกล่าวอย่างเ็า
“เ้า…”
ซั่งกวานเชียนจื้อเดือดดาล แต่ขณะที่เขากำลังจะหยัดกายลุกขึ้น หนานหลิงกลับโบกมือให้เขานั่งลง ก่อนที่ชายหนุ่มจะวางถ้วยชาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ดูเหมือนว่าน้องมู่ชิงจะมีอคติต่อข้าอย่างลึกซึ้ง ไม่ขอปิดบังน้องมู่ชิง ความจริงแล้วข้านึกชื่นชมคนตระกูลมู่อยู่ไม่น้อย ทั้งในแง่ของความภักดี ความชอบธรรมและความสามารถในการต่อสู้ ตระกูลมู่ล้วนมีชื่อในอาณาจักรหนานหลิง
“ในบรรดารุ่นเยาว์ของตระกูลมู่ข้าชื่นชมน้องมู่ชิงมากที่สุด ในใจข้านั้นคิดว่าคนที่ควรจะเป็นายน้อยของตระกูลมู่ก็คือน้องมู่ชิง แต่น่าเสียดาย...”
หนานหลิงกล่าวเพียงเท่านั้นก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบต่อพลางถอนหายใจยาว หางตาของเขาเหลือบมองมู่ชิงเพื่อเฝ้าสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย
“เ้าคิดจะพูดอะไร น่าเสียดายอะไร?”
มู่ชิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่น่ามอง
“น่าเสียดายที่เ้ามีพร์ถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีใครรู้จักหยกเนื้อดีชิ้นนี้เลย ปล่อยให้เ้าเด็กอายุสิบเจ็ดปีนั่นขึ้นมาเป็นายน้อยของตระกูลมู่ได้อย่างไร ข้าละรู้สึกเสียใจแทนน้องมู่ชิงยิ่งนัก เฮ้อ...”
หนานหลิงกล่าวด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
ประโยคนี้เหมือนจะจี้ถูกปมในใจของมู่ชิงเข้าพอดี เพราะสีหน้าของเขาพลันมืดมนลงทันที จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเ็าว่า “หากไม่ใช่เพราะมีท่านลุงใหญ่ของข้าคอยหนุนหลังและสนับสนุนเขา คนอย่างเขาจะได้รับสถานะนั้นมาได้อย่างไร"
“ถูกต้อง แต่การสนับสนุนเขาอาจจะนำตระกูลมู่ไปสู่หนทางที่ไม่มีวันหวนกลับก็ได้นะ”
หนานหลิงส่ายหน้าอีกครั้ง
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?"
มู่ชิงหรี่ตาลง ขณะย้อนถาม
“ไม่ได้มีความหมายอันใด ข้าขอถามน้องมู่ชิง กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหนานหลิง เ้าว่าเป็กองกำลังใด?”
หนานหลิงเปลี่ยนเื่
มู่ชิงมองหน้าหนานหลิงก่อนจะกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมเป็ราชวงศ์”
“ผิด เวลานี้ราชวงศ์จวนจะถึงวาระสุดท้ายอยู่แล้ว น้องมู่อย่าได้หลอกตัวเองอีกเลย เป็จวนเป่ยอ๋องของข้าต่างหาก!”
หนานหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของมู่ชิงพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด
“แล้วตระกูลมู่ในตอนนี้เล่า? ทั้งหมดเป็เพราะความไม่รู้ความของมู่เทียนที่ชักนำให้ตระกูลมู่ต้องสูญเสียทหารไปถึงสองแสนนาย เวลานี้ตระกูลมู่จวนจะสิ้นวาระอยู่แล้ว สถานะของตระกูลมู่ในเวลานี้ก็อ่อนแอลงเป็อย่างยิ่ง และหากยังคิดจะต่อกรกับจวนเป่ยอ๋องอีก เ้าคิดว่าผลลัพธ์จะเป็เช่นไร?”
หนานหลิงเค้นถามอีกฝ่ายไปทีละขั้นอย่างไม่เร่งรีบ
“เ้า…”
มู่ชิงรู้สึกไม่ชอบใจที่หนานหลิงดูแคลนตระกูลมู่ แต่แล้วเขาก็ระงับความโกรธเอาไว้พร้อมคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่าคำพูดของหนานหลิงนั้นมีเหตุผล
“ข้าถามน้องมู่ชิง เ้าคิดว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไร?”
หนานหลิงปล่อยคลื่นพลังออกมากดทับร่างของมู่ชิง พร้อมกับเค้นถามอีกฝ่าย
มู่ชิงโดนกดดันจนรู้สึกอึดอัดอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าของเขาซีดลง ในที่สุดเขาก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “ย่อยยับ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้