บนหน้าต่างไม้ประดับด้วยลูกกรงสีแดงเพลิงที่ถูกแกะสลักเป็รูปทรงต่างๆ แสงไฟสลัวสะท้อนภาพของเมืองที่ดูมีชีวิตชีวาและอบอุ่น
รอยยิ้มอันละเอียดอ่อนของหญิงสาวและความเย่อหยิ่งของชายหนุ่มปรากฏให้เห็นภายในอาคารเล็ก ๆ ที่ดูโอ่อ่านี้ทั้งกลางวันและกลางคืน
ผู้ใดบอกว่าหญิงสาวในโกวหลาน[1]จะมัดใจบุรุษไม่ได้?
ผู้ใดบอกว่าคณิกาเหล่านี้มีฐานะต่ำต้อยและจิตใจสกปรก?
ผู้ใดบอกว่าหอคณิกาไม่ใช่สถานที่หาความสำราญ?
…
เมื่อความคิดที่สวยงามและอารมณ์ที่โศกเศร้ามารวมตัวกัน มันจึงกลายเป็เพลงรักที่ไม่มีเพลงใดเทียบได้
ซูเจินกำลังเหม่อลอย
ปี้เหยียนช่างงดงามจนสามารถดึงดูดสายตาของเย่เช่อได้
แล้วฮั่วฉีอวี่ล่ะ? วันหนึ่งเขาจะตกหลุมรักหญิงสาวจากหอคณิกาหรือไม่?
ดูเหมือนว่ามารดาของเย่เช่อจะพูดถูก
การแวะไปเยือนสถานที่อย่างหอคณิกาให้น้อยลงย่อมเป็เื่ดีกว่ามาก
ซูเจินลูบหน้าผากเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว เขารู้สึกว่าจิติญญาเหมือนจะหลุดลอยไป หลังจากนั่งนิ่งๆ ได้สักพัก เขาก็อยากออกไปจากที่นี่
อย่างไรก็ตาม หญิงงามในอ้อมแขนของเขากำลังอารมณ์ดี ดวงตาของนางหวานหยาดเยิ้ม ใบหน้างดงามและอ่อนโยน นางไม่รู้ตัวว่านางกำลังแสดงออกว่ารักใคร่เขามากเพียงใด
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจเื่นั้น แต่เขาก็ข่มความเบื่อหน่ายเอาไว้และยิ้มให้นาง
ไม่นานแสงจันทร์ก็ค่อยๆ มืดสลัว
อาหารและสุราใกล้จะหมดแล้ว
ในขณะนั้นโคมไฟก็ดับลง
มีเพียงแสงเทียนสีแดงที่ดูพร่ามัว
ซูเจินเอื้อมมือไปดับเทียนสีแดงด้วยอารมณ์ฟุ้งซ่าน
อุณหภูมิในกระโจมฟู่หรง[2]ค่อยๆ อุ่นขึ้น
ซูเจินใช้ประโยชน์จากแสงจันทร์ในการอำพรางตัวและจากไป สาวงามในกระโจมขณะนี้กำลังมัวเมาความปรารถนา ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตัดใจละทิ้งความงามที่พร่างพราวนี้
…
เช้าวันถัดมาขณะที่อวิ๋นจื่อยังคงนอนอยู่บนเตียงไม้ นางได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก
ดูเหมือนว่าจะมีแขกมาหานาง
ใครกันมาเช้าขนาดนี้?
นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน
เมื่อเห็นว่าหงจินเดินเข้ามา นางก็ถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาว่า “ใครกันมาเช้าขนาดนี้?”
หงจินกล่าวเสียงเบา “คุณหนูนอนต่ออีกสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ นางไม่ใช่แขก นายหญิงให้คนมาถามว่าจะให้ส่งตัวจินเหนียงมาเมื่อไหร่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นจื่อก็ดีใจมาก “เ้าไปแจ้งนายหญิงว่าให้ส่งตัวมาเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”
หลังจากอวิ๋นจื่อพูดจบ นางก็กลับไปนอนต่อ
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงโต้เถียงด้านนอกก็ปลุกให้อวิ๋นจื่อตื่นขึ้น
อวิ๋นจื่อลุกขึ้นด้วยความไม่พอใจและส่งเสียงเรียกหงจิน นางจึงได้รู้ว่าแม่นางชิงเกอมาก่อกวนอีกแล้ว
หงจินกระซิบ “คุณหนู แม่นางชิงเกอมาที่นี่เพื่อจับผิดอีกแล้ว”
อวิ๋นจื่อมองไปยังใบหน้าที่ตัวนางเองยังไม่ค่อยคุ้นเคยนักในกระจกและกล่าวเบาๆ ว่า
“เ้ากลัวอะไร?”
ทันทีที่อวิ๋นจื่อกับหงจินเดินออกมายังห้องด้านนอก เสียงแหลมเล็กก็ดังขึ้น
“ข้ามาที่นี่เป็ครั้งที่สองแล้ว วิธีปฏิบัติต่อแขกของแม่นางปี้เหยียนออกจะไร้มารยาทเกินไปหน่อย แม้แต่ตอนที่ข้าเข้าพบนายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋นก็ยังไม่ต้องรอนานเช่นนี้ ปี้เหยียนเ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อคิดว่าคำพูดของอีกฝ่ายฟังดูไร้สาระ ถ้านาง้าจับผิด นางควรพยายามให้มากขึ้น ข้อกล่าวหาเล็กๆ แบบนี้ดูไร้สาระเกินไป ถ้าอวิ๋นจื่อยังอยู่ในวัง หญิงสาวคนนี้ย่อมต้องถูกโบยอย่างหนัก
อวิ๋นจื่อสาปแช่งในใจ แต่ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่งก่อนจะกล่าวเบาๆ “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็แม่นางชิงเกอนั่นเอง”
จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับหงจินว่า “หงจิน แม้ว่าข้าจะตื่นเวลานี้ทุกวัน แต่ถ้าเ้ารู้ว่าแม่นางชิงเกอมาพบข้า เหตุใดถึงไม่ปลุกข้าล่ะ? แม่นางชิงเกอกล่าวว่าการเข้าพบนายหญิงศาลาฉีอวิ๋นง่ายกว่าการเข้าพบข้า เช่นนั้นหงจินเ้าจงฟังให้ดี ต่อไปนี้ไม่ว่าจะกลางดึกหรือย่ำรุ่ง ไม่ว่าแขกผู้นั้นจะหน้าตาอัปลักษณ์เพียงใด หากมีแขกมาพบให้ปลุกข้าทันที จำไว้!”
แม้ว่าอวิ๋นจื่อจะกล่าวโทษหงจินที่ไม่ปลุกนาง แต่คำพูดนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังถากถางชิงเกออย่างแสบสัน
ชิงเกอได้ยินเช่นนั้นก็โกรธเคืองเป็อย่างมาก นางตะคอกถามทันที
“ปี้เหยียน เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
อวิ๋นจื่อมองชิงเกอด้วยท่าทีไร้เดียงสาและกล่าวด้วยความงุนงง “อา แม่นางชิงเกอโกรธหรือ? เื่นี้เป็ความผิดของข้าเอง เพราะปี้เหยียนไม่รู้ว่าแม่นางชอบรบกวนการนอนของผู้อื่น แต่จะโทษข้าคนเดียวก็ไม่ถูกเพราะข้าก็ไม่รู้ว่าแม่นางมีนิสัยแบบนี้เช่นกัน”
สิ่งที่อวิ๋นจื่อกล่าวนั้นย่อมมาจากใจจริง
หงจินที่ยืนอยู่ด้านข้างเม้มปากกลั้นหัวเราะ นางรู้สึกว่าในเวลานี้ใบหน้าของอวิ๋นจื่อดูเปล่งประกายมาก
ใบหน้าของชิงเกอแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่นางไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร นางทำได้เพียงกัดฟันและกล่าวว่า “ปี้เหยียน เ้า…”
“ตายแล้ว แม่นางชิงเกอ” อวิ๋นจื่อเอ่ยแทรกขึ้นอย่างถูกจังหวะ ท่าทางของนางดูตื่นตระหนก
“ดูสิ ข้าลืมไปเลยว่าในเมื่อแม่นางกล้าที่จะรบกวนความฝันของผู้คน จะต้องมีบางอย่างผิดปกติกับแม่นางแน่ เ้ามีเื่สำคัญที่้าพูดคุยกับข้าหรือไม่? รีบบอกมาเร็วเข้า ถ้าปี้เหยียนช่วยได้ย่อมช่วยอย่างสุดความสามารถแน่”
เมื่อเห็นท่าทีของฝ่ายตรงข้าม ชิงเกอก็ตระหนักได้ว่านางกำลังใช้กำปั้นทุบฝ้าย[3]เสียแล้ว
นางหงุดหงิดมากแต่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าจะกลับแล้ว”
หลังจากพูดจบ ชิงเกอก็จากไปอย่างรวดเร็ว
หงจินตกตะลึงไปชั่วขณะ “แค่นี้หรือ?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ยังต้องมีอะไรอีก?”
หงจินมองไปที่นายหญิงผู้เก่งกาจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูน่าทึ่งมากเ้าค่ะ”
อวิ๋นจื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ ปีศาจน้อย ไปเอาสมุดคัดอักษรของข้ามา”
วันนี้นางไม่มีแขก ส่วนจินเหนียงก็ใกล้จะได้กลับมาอยู่ข้างนางอีกครั้ง
ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี!
เย่เช่อล่ะ วันนี้เขาจะมาหรือไม่?
คำพูดของนางจะทำร้ายเขาหรือไม่?
อวิ๋นจื่อขมวดคิ้วเบาๆ
นี่เป็ความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
ตอนนี้นางไม่เพียงแต่หวังว่าเขาจะไม่มาพบนาง แต่ยังหวังว่าเขาจะไม่มาสักสองสามวันเพื่อให้หัวใจของนางได้สงบลง
‘ข้ากำลังทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิง เหตุใดข้าไม่หยุดคิดเื่พวกนี้เสียที’
หงจินนำสมุดคัดอักษรและสมบัติทั้งสี่[4]ของการศึกษามาให้
นางคลี่กระดาษซวนจื่อบนโต๊ะ สุ่มพลิกดูสมุดคัดอักษร และเริ่มลงมือคัดทีละตัว
จินเหนียงชอบตัวอักษรที่นางเขียนมากที่สุด อวิ๋นจื่อจึงเขียนถึงนางเพื่อบรรยายอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง
‘นางจะต่อว่าที่ลายมือของข้าถดถอยลงหรือไม่?’
อย่างไรก็ตาม จินเหนียงไม่เคยตำหนินางเลยสักเื่ นับประสาอะไรกับเื่คัดอักษร
ั้แ่เสด็จแม่จากไป จินเหนียงก็ตามใจนางทุกอย่าง
นับั้แ่ตอนนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
พู่กันในมือของอวิ๋นจื่อไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบหรือเชื่องช้าจนเกินไป นางสร้างโลกอีกใบบนกระดาษที่มีสีขาวราวกับหิมะ
อย่างไรก็ตาม เหตุไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่คาดคิดเสมอ
ใน่ไม่กี่วันมานี้ นางรู้สึกราวกับตนเองเป็ผืนน้ำที่ถูกเศษหินกระทบจนสลายกลายเป็ละออง
แม้แต่เื่ของซูเจินก็ก่อให้เกิดปัญหาระหว่างนางและชิงเกอ จนไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะอยู่ใครจะไป
------------------------
[1] โกวหลาน คือสถานที่รวมตัวของคนร่ำรวยที่มาจากชนชั้นสูงเพื่อเสพความบันเทิงและผ่อนคลาย เช่น ท่องบทกวี แต่งกลอน ดื่มชา และเจรจาทางการค้า โดยมีเหล่าหญิงสาวให้ความบันเทิงด้วยการเต้นรำ ขับร้องและเล่นดนตรี
[2] กระโจมฟู่หรง ทำจากผ้าไหมย้อมด้วยดอกชบา
[3] ใช้กำปั้นทุบฝ้าย เป็คำเปรียบเปรยที่หมายถึงเมื่อบุคคลทะเลาะวิวาทหรือทะเลาะกับผู้อื่นด้วยความโกรธ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ หรือตอบกลับด้วยท่าทีอ่อนน้อม ทำให้ผู้หาเื่ทะเลาะทำอะไรไม่ถูก
[4] สมบัติทั้งสี่หมายถึงอุปกรณ์สำหรับประดิษฐ์ตัวอักษรและวาดภาพอันเป็เอกลักษณ์เฉพาะในประเทศจีน ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้