ชั่วขณะที่จ้านอู๋มิ่งเข้าสู่หุบเขาเกล็ดหิมะ ฉิงชวนก็ทะยานร่างออกไปนอกวังอสนีบาต์ทันที พริบตาเดียวก็ไม่เห็นแล้วแม้แต่เงา ทุกคนยังมิทันได้ตั้งสติคืนมา ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็ทะลุผ่านอากาศ ครู่ต่อมาจ้านอู๋มิ่งปรากฏตัวอีกครั้งนอกหุบเขาเกล็ดหิมะ ฉิงชวนที่เพิ่งทะยานออกไปข้างนอกอยู่ในเงื้อมมือของเขา สีหน้าท่าทางดื้อรั้นและสิ้นหวัง
สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ เดินเข้าไปในหุบเขาเกล็ดหิมะอย่างเงียบงันยิ่งนัก ในใจมีเพียงความโศกเศร้าหม่นหมองไร้สิ้นสุด
ข้างเตียงหลินซีรั่ว สาวใช้หลายคนมีสีหน้าเศร้าสร้อย ฉิงชวนถูกโยนลงเบื้องหน้าเตียงหลินซีรั่ว จ้านอู๋มิ่งยกมือขึ้น เค้นของเหลวสีน้ำตาลเข้มหยดหนึ่งออกจากปลายนิ้ว หยดลงบนพื้นที่เป็หยกเย็น พริบตาเดียวพื้นก็ละลายเป็หลุมเล็กๆ ลึกครึ่งฟุตหลุมหนึ่ง
“ดูแล้วคนที่ปรุงพิษศพเทพออกมาคือเ้าเอง ข้าก็รู้สึกประหลาดใจอยู่แล้ว เ้าสองถึงแม้พร์ไร้ผู้ทัดเทียม แต่เขากลับไม่ถนัดเื่ยาพิษ ไหนเลยจะสามารถปรุงยาพิษศพเทพออกมา อีกทั้งแพร่พิษใส่ซีรั่วได้ นอกจากนี้ปกติเ้าสองเข้าใกล้หุบเขาเกล็ดหิมะน้อยอย่างยิ่ง เพียงแต่ข้ามิเข้าใจ เพราะเหตุใดกันแน่ เหตุใดเ้าต้องทำเช่นนี้? ปกติพี่ใหญ่ไม่ดีต่อพวกเ้าที่ใดบ้าง?” จ้านอู๋มิ่งมองฉิงชวนบนพื้นอย่างปวดร้าวเศร้าใจ เขานึกหาเหตุผลที่ฉิงชวนทรยศเขาไม่ออกเลยจริงๆ หากพูดว่าจี้เว่ยหรานทรยศเขาเพราะ “คัมภีร์เทพอนัตตา” ถ้าเช่นนั้นฉิงชวนล่ะ? แสดงว่าจี้เว่ยหรานเป็ผู้นำพิษศพเทพออกมาจากสุสานทวยเทพนั่นเอง
ฉิงชวนแสดงออกซึ่งความละอายใจเล็กน้อย กัดฟันพูดว่า “เพราะพี่รอง้า “คัมภีร์เทพอนัตตา” ข้ารักพี่รอง…ถ้าจะโทษก็ได้แต่โทษพี่ใหญ่ที่ท่านเห็นแก่ตัวเกินไป “คัมภีร์เทพอนัตตา” ท่านและพี่รองได้มาพร้อมกัน ทว่าแม้แต่ดูก็มิให้พี่รองดู…”
“พวกเ้าไม่คู่ควรเรียกข้าพี่ใหญ่!” จ้านอู๋มิ่งสูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง เขาไม่คิดว่า “คัมภีร์เทพอนัตตา” เล่มเดียว กลับทำให้คนที่ตนมองเป็น้องชายและน้องสาวแท้ๆ สองคนทรยศตนเอง
“ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”
“ในมือข้าไม่มียาถอนพิษ ยาถอนพิษมีเพียงพี่รองเท่านั้นที่มี” ฉิงชวนพูดอย่างโกรธเคือง
“เ้าสองอยู่ที่ใด?” จ้านอู๋มิ่งเมื่อครู่ตอนที่จับตัวฉิงชวนไว้ เขาแผ่จิติญญาตรวจสอบแหวนจักรวาล[1] ของฉิงชวนแล้ว ทราบว่านางมิได้โป้ปด เขาเคยไปที่สุสานทวยเทพ มีความตระหนักรู้ที่แม่นยำต่อพิษศพเทพ มิฉะนั้นเขาก็มิอาจทราบว่าฉิงชวนแพร่พิษใส่ตน
ถึงแม้การฝึกฌานบ่มเพาะพลังของเขาถูกสะกดข่มไว้ ทั้งยังาเ็ถึงปราณต้นกำเนิด เพราะใช้เคล็ดวิชาแบ่งแยกิญญา แต่เขาเชื่อมั่นว่าในใต้หล้ายามนี้คนที่สามารถชนะเขาได้มีไม่มาก แต่ว่าพิษศพเทพเป็พิษที่ร้ายกาจรุนแรงอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง เหนือกว่าพลังใดๆ ในโลก พิษนี้มีจิติญญาของมันเองแล้ว ถึงแม้พิษส่วนใหญ่ถูกตนรีดเค้นออกและสกัดควบคุมพิษตกค้างไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นชั่วคราว
“เขาอยู่ในป่าม่านหมอก หากเ้าคิดช่วยหลินซีรั่ว ก็จงนำ "คัมภีร์เทพอนัตตา" ไปหาเขาที่ป่าม่านหมอก”
“เห็นแก่พวกเราเป็พี่น้องกันมาก่อน ข้าจะไว้ชีวิตเ้า…” ในใจของจ้านอู๋มิ่งเต็มไปด้วยความขมขื่นและความโกรธเคือง ขณะที่เขาทำให้ญาติสนิทสลายกลายเป็ขี้เถ้าอย่างอับจนปัญญาบนเขาเทียนชิงเฟิง เขามีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง แต่เมื่อเขาทราบว่าทุกอย่างล้วนเป็ฝีมือของคนที่ตนเองเห็นเป็พี่น้องดุจแขนขาตลอดมา เขากลับมีแต่ความโศกเศร้าและโกรธเคือง
“ป่าม่านหมอก” จ้านอู๋มิ่งโบกมือคราหนึ่ง ฉิงชวนส่งเสียงร้องน่าอนาถออกมาคราหนึ่ง พลันผิวกายเหี่ยวย่นเหมือนเปลือกส้มตากแห้ง ร่างกายแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว จ้านอู๋มิ่งขจัดทักษะฌานการบ่มเพาะของนางจนหมดสิ้น นางจึงมิสามารถคงสภาพรูปโฉมของตนเองได้อีกต่อไป ท่ามกลางเสียงร้องอเนจอนาถ นางแปรเปลี่ยนเป็หญิงชราเงอะงะงกๆ เงิ่นๆ ไปทันที
จ้านอู๋มิ่งเอื้อมมืออุ้มหลินซีรั่วที่อยู่บนเตียงขึ้นและหายลับไปจากหุบเขาเกล็ดหิมะ…
ป่าม่านหมอกอยู่ห่างจากวังอสนีบาต์หลายหมื่นลี้ เป็หนึ่งในแดนต้องห้ามของแคว้นนี้ อาณาเขตป่าม่านหมอกกว้างใหญ่ไพศาลรัศมีหลายหมื่นลี้ แต่จ้านอู๋มิ่งรู้ว่าจี้เว่ยหรานอยู่ที่ใด นี่คือความลับของเขา จี้เว่ยหรานและฉิงชวนสามคน
จ้านอู๋มิ่งมิได้เดินทางไปป่าม่านหมอกโดยตรงทันที เขาตรองสภาพตนเองมิแน่ว่าจะสามารถมีชีวิตรอดออกมาจากป่าม่านหมอก ต่อให้สามารถรอดชีวิตออกมา สิบวันให้หลังเขาก็ไม่สามารถผ่านทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่เก้าโดยสวัสดิภาพ ดังนั้นระหว่างเร่งเดินทางไปป่าม่านหมอก จ้านอู๋มิ่งเริ่มต้นการลงมือสังหารอย่างโเี้ทารุณ กลิ่นคาวเืคละคลุ้งไปทั่วแคว้นเทียนเฉิง ระยะเวลาเจ็ดวัน รวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสามสิบกว่าสำนักกลายเป็ซากปรักหักพัง เกือบสองหมื่นชีวิตดับสูญภายใต้ดาบสังหารของจ้านอู๋มิ่ง…ใต้หล้าไร้ผู้ที่สามารถทัดทาน พลังฝีมือสูงล้ำแสนอำมหิตสุดอหังการของจ้านอู๋มิ่ง ทำให้ยามนี้หลายๆ คนเริ่มสำนึกเสียใจแล้ว สำนึกเสียใจว่าตนมิควรเชื่อคำพูดยุยง เข้าร่วมบุกโจมตีวังอสนีบาต์
แน่นอนว่าแต่ละสำนักใหญ่ก็มิได้นิ่งเฉย โต้ตอบกลับเช่นกัน จ้านอู๋มิ่งาเ็อยู่แล้วต้องาเ็เพิ่มขึ้น จ้านอู๋มิ่งใช้เวลาร่วมเจ็ดวันเต็มๆ จึงเดินทางมาถึงป่าม่านหมอก ผู้คนทั่วทั้งแคว้นล้วนทราบว่า จ้านอู๋มิ่งบ้าคลั่งแล้ว! คนบ้าคลั่งผู้หนึ่งไม่น่ากลัว แต่คนบ้าคลั่งพลังยุทธ์สูงส่งล้ำเลิศผู้หนึ่งจึงน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
“อู๋มิ่ง มิต้องสิ้นเปลืองพลังปราณเพราะข้าอีกแล้ว…” หลินซีรั่วบางครั้งหลับ บางคราตื่น แต่นางกระจ่างแจ้งแก่ใจ หลายวันมานี้จ้านอู๋มิ่งใช้พลังปราณสะกดข่มพิษในร่างนางไว้มิให้กำเริบ มิฉะนั้นนางต้องสิ้นชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว การกระทำเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังปราณอย่างยิ่ง ได้แต่ทำให้จ้านอู๋มิ่งอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม กว่าจะเดินทางถึงป่าม่านหมอก จ้านอู๋มิ่งก็เหมือนลูกธนูที่ยิงจนสุดแรงล้าแล้ว
จี้เว่ยหรานปรากฏตัวขึ้นแล้ว
จี้เว่ยหรานเฝ้าสังเกตการณ์จ้านอู๋มิ่งตลอดมา ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หลายปีนี้ ในฐานะบุคคลอันดับสองของวังอสนีบาต์ เขามิเคยยินยอมพร้อมใจที่จ้านอู๋มิ่งดำรงอยู่เหนือตนมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ตลอดหลายปี เขาจึงลอบสร้างกองกำลังส่วนตัวขึ้นอย่างลับๆ มิมีผู้ใดทราบความน่ากลัวของจ้านอู๋มิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว ดังนั้นหลังจากวังอสนีบาต์เกิดเื่ เขาจึงไม่อยู่บัญชาการในที่เกิดเหตุและมาอยู่ในป่าม่านหมอก ปล่อยให้ฉิงชวนที่หลงรักตนเองอย่างลึกซึ้งไปเสี่ยงอันตรายแทน สำหรับเขาแล้ว ในใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดที่ทรยศมิได้ ไม่ว่าจะเป็พี่น้อง ผองเพื่อนหรือว่าคนรัก สิ่งสำคัญที่สุดคือการยกระดับพลังยุทธ์และอำนาจของตนเอง ควบคุมกำหนดชะตาชีวิตตนเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเห็นว่าจ้านอู๋มิ่งและตนเป็บุคคลประเภทเดียวกัน เพียงแต่จ้านอู๋มิ่งสติปัญญาไหวพริบดีกว่า แต่ว่าเขากลับโเี้กว่าจ้านอู๋มิ่ง…มีเพียงคนที่โเี้ที่สุดเท่านั้นจึงสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้
“พี่ใหญ่ ท่านมาช้าไปอยู่บ้าง” จี้เว่ยหรานเว้นระยะห่างกับจ้านอู๋มิ่ง ถึงแม้เป็จ้านอู๋มิ่งที่พลังลดทอนลงดุจลูกธนูสุดแรงล้า เขาก็ยังมิกล้าผ่อนคลายความระแวดระวัง ระยะทางยาวไกลจากวังอสนีบาต์มาถึงป่าม่านหมอก หลินซีรั่วไม่เสียชีวิตอย่างแน่นอน จ้านอู๋มิ่งจะต้องถ่ายทอดพลังปราณสะกดข่มพิษของนางอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็เช่นนี้จะคอยกัดกร่อนบั่นทอนพลังปราณจ้านอู๋มิ่งตลอดเวลา ตอนนี้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าที่มันคาดคิดไว้ จ้านอู๋มิ่งกลับใช้่เวลาเจ็ดวันเต็มเข่นฆ่าสังหารไปทั่วหล้า ทำให้ตนเองที่าเ็อยู่แล้วได้รับาเ็เพิ่มขึ้น
“นี่มิใช่ผลลัพธ์ที่เ้า้าหรอกหรือ?” จ้านอู๋มิ่งมองจี้เว่ยหรานอย่างเ็า
“วาจากล่าวมากไปไร้ประโยชน์ วันนี้เป็วันที่ข้าจะเรียกท่านว่าพี่ใหญ่เป็ครั้งสุดท้ายแล้ว เชื่อว่าเพื่อชีวิตของพี่สะใภ้ ท่านจะต้องนำ "คัมภีร์เทพอนัตตา" มาด้วย” สีหน้าจี้เว่ยหรานไร้วี่แววละอายใจ กล่าวอย่างเฉยชา
“ยาถอนพิษศพเทพอยู่ที่ใด?” จ้านอู๋มิ่งหยิบหยกสวยงามแผ่นหนึ่งออกมาจากแหวนจักรวาล ประกายรัศมีเทพศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งไหลวนเวียนอยู่เหนือแผ่นหยก คล้ายดั่ง้าทลายนภาออกไปก็มิปาน
ภายในดวงตาจี้เว่ยหรานปรากฏประกายละโมบขึ้นวูบหนึ่ง นี่ก็คือคัมภีร์วิเศษ สมบัติระดับเทพที่มันใฝ่ฝัน้าตลอดมา ระดับสูงกว่าคัมภีร์เคล็ดวิชาลับทั้งหมดในโลกหล้านี้มากมายนัก ห่างไกลจนสุดกู่ มีเพียงสุสานทวยเทพเท่านั้นจึงจะมีการสืบทอด เขาหยิบขวดหยกออกมาใบหนึ่งพูดว่า “ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่นำชีวิตของพี่สะใภ้มาล้อเล่น” พูดพลางโยนขวดยาให้
จ้านอู๋มิ่งก็โยนแผ่นหยกให้เช่นกัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” แผ่นหยกตกอยู่ในมือ จี้เว่ยหรานหัวเราะร่า แต่แล้ว...เสียงหัวเราะพลันหยุดลงกะทันหัน เนื่องจากบนแผ่นหยกมิมีสิ่งใดทั้งสิ้น
“กระดูกเทพ” จี้เว่ยหรานโกรธจัด สิ่งที่จ้านอู๋มิ่งโยนให้ไม่ใช่ "คัมภีร์เทพอนัตตา" แต่เป็แผ่นกระดูกสร้างจากชิ้นส่วนกระดูกเทพที่ยังสมบูรณ์ของสุสานเหล่าทวยเทพ ถึงแม้สิ่งนี้เป็ของวิเศษที่หาได้ยากยิ่งนักเช่นกัน แต่ว่าสำหรับมันแล้วไร้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งมิต้องนำมาเปรียบเทียบกับ "คัมภีร์เทพอนัตตา"
“มิผิด ข้ามาสายถึงเจ็ดวัน ไม่เพียงเพราะเข่นฆ่าสังหารพวกมันให้หมดสิ้นซากไปจากโลก อีกทั้งยังเป็เพราะตระเตรียมสิ่งของชิ้นนี้ให้เ้าด้วย” จ้านอู๋มิ่งตวาดเสียงทุ้มต่ำคำหนึ่ง “ะเิ” ประกายสายฟ้าสายหนึ่งแผ่จากแผ่นกระดูก แผ่นกระดูกเทพในมือจี้เว่ยหรานะเิขึ้นทันทีจนกลายเป็ผุยผง พลังทำลายสุดแสนน่าสะพรึงกลัวชนิดหนึ่งแผ่กระจายออกจากแผ่นกระดูกทวยเทพ ผู้ที่โดนเข้าเต็มๆ คนแรกก็คือจี้เว่ยหราน
อานุภาพพลังทำลายจากกระดูกทวยเทพเหนือกว่าพลังใดๆ ทั้งมวล ถึงแม้จะเป็เพียงแค่กระดูกเทพชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง แต่ฤทธิ์เดชพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ปะทุขึ้น ทำให้มวลอากาศโดยรอบกระเพื่อมจนเกิดรอยร้าว นภากาศทั้งมวลเหมือนถูกตัดด้วยเส้นด้ายเล็กๆ มากมายนับมิถ้วน จี้เว่ยหรานในสภาพมิได้เตรียมตัวใดๆ ถูกแบ่งเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับมิถ้วนด้วยแรงอัดของมวลอากาศที่แตกสลาย ส่วนหนึ่งหายไปในรอยแยกอากาศโดยตรง สูญสลายหายไปโดยสิ้นเชิง
“แปะ แปะ...”
“วิเศษ ยอดเยี่ยมจริงๆ...ถึงกับบรรจุแก่นปราณจิติญญาไว้ภายในกระดูกเทพ ทั้งยังใช้แก่นปราณจิติญญาเป็ชนวนจุดะเิ พี่จ้านช่างโเี้มากจริงๆ” เสียงปรบมือเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างสบายๆ สีหน้าและแววตาจ้านอู๋มิ่งแปรเปลี่ยนเป็เย็นเฉียบยิ่งขึ้น ั้แ่แรกเขาก็ทราบว่าจี้เว่ยหรานไม่มีพลังคุกคามมากมายขนาดนี้ได้ แต่หลังจากเขาเห็นผู้ที่มาแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็ซีดขาวยิ่งขึ้น นี่คือบุคคลที่ต่อให้ตาย เขาก็คิดไม่ถึงเด็ดขาดผู้หนึ่ง!
“โม่เทียนจี!” จ้านอู๋มิ่งไอออกมาพร้อมโลหิตสดๆ คำหนึ่ง กระดูกทวยเทพต้องใช้แก่นปราณจิติญญาคอยหล่อเลี้ยง จึงสามารถปลูกฝังแก่นปราณจิติญญาเข้าไป เขาเข้าใจพลังยุทธ์ของจี้เว่ยหรานอย่างกระจ่างแจ้ง สภาพของตนในยามนี้มิสามารถต่อกรกับจี้เว่ยหราน วิธีการสังหารฝ่ายตรงข้ามที่ดีที่สุดคือใช้กระดูกเทพ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าหลังจากกำจัดจี้เว่ยหรานแล้ว ยังปรากฏคู่ต่อสู้ขึ้นมาอีกหนึ่งคน ยิ่งคาดคิดมิถึงเด็ดขาดว่าคนที่มากลับเป็โม่เทียนจี
หากจะพูดว่าภายในใต้หล้านี้ จ้านอู๋มิ่งยังมีสหายอยู่อีกผู้หนึ่ง สหายผู้นั้นจะต้องเป็โม่เทียนจีอย่างแน่นอน แต่ทว่าเวลานี้ โม่เทียนจีมาที่นี่คงไม่ได้มาเพื่อช่วยเขาอย่างเด็ดขาด
“เพราะเหตุใด? เ้าก็มาเพราะ "คัมภีร์เทพอนัตตา" เช่นกันหรือ? ทุกอย่างนี้ล้วนเป็เ้าที่คอยบงการอยู่เื้ั?” ในใจจ้านอู๋มิ่งมีแต่ความโศกเศร้า ถูกพี่น้องทรยศ โดนสหายหักหลัง นี่เป็เจตนาของฟ้าหรือภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น?
“มิผิด ทุกอย่างนี้ล้วนเป็ข้าที่คอยบงการอยู่เื้ั ใต้หล้านอกจากข้าแล้ว ยังมีผู้ใดสามารถมองทะลุถึงความลับของฟ้าบ้าง รู้ถึงกระบวนการผ่านทัณฑ์สายฟ้าของเ้า และยังจะมีผู้ใดอีกที่สามารถคำนวณความคิดเ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มิมีผู้ใดทราบความทะเยอทะยานและพลังความสามารถของคนรอบตัวเ้ากระจ่างไปกว่าข้า…แต่ว่าสิ่งที่ข้า้าหาใช่ "คัมภีร์เทพอนัตตา" อะไรนั่น คัมภีร์นั่นสำหรับข้าแล้วจะมีหรือไม่มีก็ได้” โม่เทียนจียังคงมีกิริยาสง่างาม ปลอดโปร่งและสบายใจเช่นเดิม พัดขนนกสะบัดไปมาเบาๆ ราวกับความลับของฟ้าทั้งหมดล้วนตกอยู่ในกำมือเขาจนหมดสิ้น
“ถ้าเช่นนั้นเ้าทำเพื่อสิ่งใดกันแน่?” จ้านอู๋มิ่งรู้สึกนอกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง โม่เทียนจีกระทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ แต่กลับมิใช่เพื่อ "คัมภีร์เทพอนัตตา"
“ปีนั้นข้าเคยบอกว่าดวงชะตาเ้าคือดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาต เ้าเสาะแสวงหนทางควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองมาชั่วชีวิต ฝึกฌานบำเพ็ญเพียรเพื่อชะตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบและ่ชิงชะตาฟ้าเสริมเติมเต็มให้ตนเองอีกทางหนึ่ง ข้าคำนวณทำนายความลับฟ้ามาตลอดชั่วชีวิต อีกทั้งยังฝึกปรือเคล็ดวิธีลวงความลับ์ แต่ก็ยังคงต้องเสริมเติมข้อบกพร่องอยู่ดี วิธีเดียวที่จะบรรลุความสมบูรณ์แบบก็คือเซ่นสังเวย์ด้วยความสิ้นหวัง ความโกรธแค้นขุ่นเคืองของผู้มีดวงชะตาดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาต ระยะเวลาเจ็ดวันนี้ ดาบกระหายชีวิตได้กลืนกินชีวิตจิติญญาแล้วมากมายนับมิถ้วน เสริมเติมเต็มพลังชีวิตของเ้า แต่ก็ได้รวบรวมความโกรธแค้นขุ่นเคืองมากมายไร้ที่สิ้นสุดไว้ด้วยเช่นกัน ตัวเ้าในเวลานี้ สามารถทำให้วิชาคำนวณชะตาชีวิตของข้าสมบูรณ์แบบพอดี”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้น เขาหัวเราะตลอดทั้งชีวิตนี้ของตนเอง ถึงแม้จะบรรลุเป็บุคคลระดับสูงสุดในแคว้นนี้ เป็ราชันทรราชแห่งยุค แต่ว่ามีแค่บุคคลที่ตนรักดั่งดวงใจเพียงคนเดียวไม่แยกจากห่างหาย คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็สหายหรือพี่น้อง กลับล้วนแล้วแต่คิดจัดการเล่นงานตน ต่อให้ชีวิตนี้สามารถเอาชนะโชคชะตาลิขิตฟ้าแล้วอย่างไรล่ะ ก็ยังคงเป็ชีวิตที่ล้มเหลวเช่นเดิมอยู่ดี
จ้านอู๋มิ่งมองหลินซีรั่วในอ้อมกอดด้วยสายตาอ่อนโยนครั้งหนึ่ง ถามขึ้นด้วยความรักสุดซึ้งและทะนุถนอมว่า “ซีรั่ว เ้ายินยอมที่จะตายพร้อมกับข้าหรือไม่?”
ใบหน้าซีดขาวของหลินซีรั่วแดงระเรื่อขึ้นอย่างหาได้ยาก นางแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้อยู่ร่วมกับเ้า ถึงตายก็ไม่รู้สึกเสียใจ!”
“ประเสริฐ นี่จึงเป็สตรีของข้า จ้านอู๋มิ่ง” พูดไปพลาง ขวดหยกในมือที่บรรจุยาถอนพิษศพเทพแตกสลายในพริบตา สลายกลายเป็ผุยผง
สายตาจ้านอู๋มิ่งกวาดมองผ่านโม่เทียนจีอย่างเ็า พลางแผ่รังสีการฆ่าฟันออกมาอย่างไร้สิ้นสุด กล่าวว่า “โม่เทียนจี เ้าคำนวณความลับฟ้าจนหมดสิ้น กลับไม่รู้ว่าเจตนาฟ้ายากหยั่งถึง ถึงแม้ข้าจะยังมิสามารถควบคุมชะตาชีวิตได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็พอจะสอดแนมเห็นร่องรอยวิถีของชะตากรรมอยู่บ้าง เมื่อเป็เช่นนี้แล้ว พวกเราก็มาทำลายมันให้ดับสูญไปด้วยกันเถอะ!” พูดจบกลิ่นอายปราณของจ้านอู๋มิ่งพลันพุ่งทะยานขึ้นกะทันหัน น้ำแข็งและหิมะในป่ารกทึบพวยพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งดุจดั่งมีชีวิต อาศัยจ้านอู๋มิ่งเป็ศูนย์กลาง แรงกดดันมหาศาลทำให้อากาศะเิออกเป็เสียงฉีกขาดที่น่าสลดหดหู่
“ทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่เก้า มาเถอะ…ให้ข้าตระหนักในความรุนแรงบ้าคลั่งของเ้า!” จ้านอู๋มิ่งกู่ร้องคำรามก้อง ทันใดนั้นประกายสายฟ้ามากมายมหาศาลไร้สิ้นสุดก็ปรากฏขึ้นรอบบริเวณร่างของจ้านอู๋มิ่ง ทัณฑ์สายฟ้า ภัยพิบัติครั้งที่เก้า อสนีบาต์ทำลายล้างในที่สุดก็พบช่องทางซัดกระหน่ำแล้ว สายฟ้าโหมโจมตี สาดเทลงมาจากนภากาศอย่างคลุ้มคลั่ง อสนีเติมเต็มอากาศทุกตารางนิ้ว โม่เทียนจีก็ถูกครอบคลุมอยู่ภายใต้ทัณฑ์สายฟ้า
ในขณะเดียวกัน จ้านอู๋มิ่งก็ปลดปล่อยพลังอสนีบาตภายในร่างกายตนออกมา ทำให้ทัณฑ์สายฟ้าที่กักเก็บพลังไว้ถึงสิบวันเต็มยิ่งพิโรธคลุ้มคลั่งกว่าเดิม อากาศทั้งมวลเหมือนถูกเพลิงสายฟ้าซัดกระหน่ำทะลวงจนพรุน กลายเป็เขตแดนพื้นที่อสนีบาตสายฟ้าขึ้นมามากมายนับมิถ้วน ภายในเขตแดนสายฟ้าคลั่ง สรรพสิ่งมีชีวิตกลายเป็เถ้าธุลีล่องลอยในพริบตา…
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง นี่คือทัณฑ์สายฟ้าของเขาที่ต้องผ่าน และนี่คือภัยพิบัติของชีวิต ชั่วพริบตาที่ร่างกายมลายสูญสลาย "คัมภีร์เทพอนัตตา" ภายในร่างแตกสลายอย่างกะทันหัน ในห้วงคำนึงเหมือนดั่งมีกรงขังแห่งหนึ่งถูกเปิดออก ความทรงจำดุจชิ้นส่วนกระจัดกระจายเปล่งประกายราวสายธารไหลผ่าน
การต่อสู้ดิ้นรนของชีวิตชาติแล้วชาติเล่า วัฏสงสารวนเวียนชาติแล้วชาติเล่า…ชีวิตในทุกชาติภพเพียงเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งมรรคาฟ้า ควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง แต่มักถูกมรรคาฟ้าทำลายในขั้นตอนสุดท้าย นี่คือชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตชั่วนิรันดร์ของเขา!
“ไม่! ข้าลิขิตชีวิตข้าเองมิใช่ฟ้ากำหนด ข้าได้ประสบความเ็ปของโลกียวิสัยมาเก้าสิบเก้าชาติภพแล้ว ตกลงไปในขุมนรกเก้าสิบแปดชาติภพ ััถึงความทุกข์ทรมานของวัฏสงสาร การกลับชาติมาเกิด แต่ข้าก็ยังจะสู้ต่อเช่นเดิม!” จ้านอู๋มิ่งตื่นขึ้นสู่ความเป็จริงทันใด ใช้สายตาที่อ่อนโยนไม่สิ้นสุดมองดูสตรีในอ้อมแขน ใบหน้าที่สูญสิ้นความมีชีวิตชีวา แต่รูปโฉมงามสะคราญไร้ที่ติ พึมพำขึ้นว่า “ซีรั่ว ต่อให้เ้าตาย ข้าก็จะผสานรวมเ้าเข้ากับจิติญญาของข้า ถึงแม้จะเป็มรรคาฟ้า ก็มิสามารถแยกพวกเราออกจากกัน”
ใบหน้าของจ้านอู๋มิ่งแสดงออกถึงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า “โจรฟ้าเฒ่า เ้า้าให้ข้าไปเกิดใหม่ในวัฏสงสาร แต่ข้าไม่้าเกิดใหม่แล้ว ข้า้ากลับคืนสู่จิติญญา เสี่ยงโชคสักครั้ง ขอโอกาสย้อนเวลาและหวนคืนสู่ชีวิตนี้ ไม่ว่าจะตายหรือมีชีวิตอยู่ ขอเดิมพันด้วยครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!”
“ควบคุมโชคชะตาของข้า แผดเผาิญญาของข้า ไม่ขอเกิดใหม่ในวัฏสงสาร…หาญกล้าวางเดิมพันชีวิต ขอต่อกรกับฟ้า!”
[1] แหวนที่มีคุณสมบัติเก็บของได้มากมาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้