จวนหลัวที่ตั้งอยู่สุดถนนหลีฮวา ยามนี้แขวนธงขาวไว้
ทว่าก็ไม่ได้แสดงความเศร้าโศกกันอย่างเปิดเผย
พระสนมหรงแต่งเข้าราชวงศ์ ดังนั้นการตายของนางจึงต้องเป็ทางราชวงศ์ที่สูญเสีย
หลิวจื่อเมื่อรู้ข่าวก็ร่ำไห้จนหมดสติไปถึงสองครา
บุตรสาวที่แสนดีของนาง ยามนี้ต้องมาตายทั้งที่ยังไม่ชัดเจนในสาเหตุ
กระทั่งพบหน้าครั้งสุดท้ายก็ยังไม่ได้พบ
ทั้งหมดล้วนแต่ต้องโทษดาวหายนะนางนั้น นางเพียงเพิ่งจะมาถึงก็เกิดเื่เช่นนี้ขึ้นเสียแล้ว
นางร่ำไห้ไปก็ก่นด่าไป เสียงด่าของนางดังขึ้นไม่ขาดสาย ไม่ว่าคำหยาบจำพวกใดก็ล้วนพ่นออกมาจนหมด
หากเป็เมื่อก่อนนางไม่มีทางเป็เช่นนี้
ทว่าบุตรสาวของนางก็ไม่อยู่แล้ว นางจะเสแสร้งต่อไปเพื่ออะไร
บุตรสาวผู้เป็ความหวังสูงสุดของนาง
หลัวไป่ซิ่นคิดจะออกปากว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวกับชิงเฉิง ชิงเฉิงเพิ่งกลับมาเมืองหลวง จะไปพัวพันกับเื่ชิงดีชิงเด่นในวังหลวงได้อย่างไร
หากอยากโทษใครก็ต้องโทษตัวหรงเอ๋อร์เอง
เหตุใดนางจึงกล้าลงมือทำร้ายคนอื่นเช่นนั้น
สถานเบาก็เพียงกล่าวว่านางทำร้ายพระสนมเอกเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน ทว่าสถานหนักสามารถกล่าวได้ว่านางจงใจประทุษร้ายต่อผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แม้จะเป็การลอบทำร้ายเหมือนกัน แต่โทษกลับต่างกันมาก ให้ปะาทั้งตระกูลก็ยังนับว่าสามารถทำได้
นางเพียงแค่ได้รับโทษตาย เช่นนี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว
เมื่อก่อนเพราะมีพระสนมหรง สถานะของคนเรือนใหญ่ในตระกูลหลัวจึงสูงยิ่ง บัดนี้สิ้นพระสนมแล้ว ทั้งนางยังมีโทษติดตัวอยู่เช่นนี้ สถานะของเรือนใหญ่จึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หลิวจื่อร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด น้องสะใภ้เมื่อเห็นนางเป็เช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “เมื่อก่อนอาหรงก็เป็คนนิสัยเปิดเผยเสมอมา แต่เ้ากลับใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนให้ชิงเฉิงจากไปให้ได้ แล้วก็ให้อาหรงมาแทนที่ชิงเฉิง ยามนี้เื่เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะน้ำมือของเ้า เ้ายังมีหน้าโทษคนอื่นอีกหรือ”
เมื่อหลิวจื่อได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับงูโดนเหยียบหางก็ไม่ปาน ไม่อาจวางท่าดังเช่นปกติได้อีก ร่างของนางพลันกระโจนเข้าใส่น้องสะใภ้ทันที เคราะห์ดีที่สาวใช้ของน้องสะใภ้มากันไว้ได้ทัน
ทว่านางก็ยังเอ็ดตะโรคลุ้มคลั่งเสียจนวุ่นวายไปทั้งจวน
ความสงบในเรือนได้สูญสิ้นไปแล้ว หลัวจู่หยางที่มักจะหลบอยู่ในห้องหนังสือจนไหล่ทั้งสองงองุ้ม ยามนี้ไหล่ของเขาก็ยิ่งงุ้มลงอย่างห่อเหี่ยวอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
ตระกูลหลัวถึงคราวพ่ายแล้ว
พระสนมหรงสิ้นแล้ว แต่จวนหลัวที่ต้นถนนกลับมีขันทีอัญเชิญราชโองการพร้อมกับเหล่าทหารองครักษ์มาถึง
ครานี้ฮ่องเต้อยู่ดีๆ ก็ตกรางวัลให้จวนหลัวอย่างไม่มีสาเหตุ
พระราชทานตำแหน่งฮูหยินให้กับแม่นางหลัวผู้มีความดีความชอบในการสร้างโรงทอผ้าในพื้นที่ห่างไกล
เมื่อเห็นป้ายตำแหน่งเขียนว่าฮูหยินหลัว
สีหน้าของท่านราชครูก็เปลี่ยนแปลงไป
แคว้นเชินเคยมีตำนานเกี่ยวกับฮูหยินนางหนึ่ง
ตามตำนานเล่าว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่มีนามว่าอวี๋ได้ตกหลุมรักสตรีสามัญชนนางหนึ่ง ทว่าสตรีนางนั้นกลับมีสามีอยู่แล้ว
ต่อมาเมื่อสามีของสตรีนางสิ้นชีพไป
ยามที่ฮ่องเต้ออกราชการส่วนพระองค์ก็ได้พบกับสตรีนางนั้นเข้า
ยามนั้นนางกลายเป็แม่ม่ายที่ต้องดูแลบุตรเพียงลำพัง
ฮ่องเต้อวี๋ได้พบนางเพียงครั้งเดียวก็ไม่อาจลืมเลือน ทว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนแต่ปฏิเสธ ไม่ให้ฮ่องเต้อวี๋แต่งสตรีม่ายลูกติดเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของราชวงศ์
ด้วยเพราะเื่นี้ไม่เพียงจะไม่เหมาะสม แต่เกรงว่าอาจทำให้สายเืัวุ่นวายได้
สุดท้ายฮ่องเต้ก็ได้แต่ประนีประนอม แต่งตั้งสตรีนางนั้นให้เป็ฮูหยินแทน ทั้งยังรับสั่งให้สร้างจวนพระราชทานให้นางอีกหนึ่งหลัง
ฮูหยินนางนี้กลายมาเป็สตรีคนแรกที่เป็หญิงสาวนอกราชวงศ์ของฮ่องเต้
ด้วยความรักที่มีต่อสตรีนางนั้น แม้ฮ่องเต้อวี๋จะสร้างจวนให้นางแล้ว ทว่าก็เพียงแต่ในนามเท่านั้น สุดท้ายฮ่องเต้ก็รับนางเข้าไปอยู่ในวังอยู่ดี เื่นี้เหล่าขุนนางต่างก็คาดไม่ถึง
จวบจนเกิดภัยพิบัติ ทั้งทางเหนือยังเกิดการรุกราน ประชาชนต้องล้มตาย
ฮ่องเต้อวี๋จึงเพิ่งจะตาสว่าง ลงมือสังหารฮูหยินด้วยน้ำมือของตนเองแล้วจึงกลับเข้าราชสำนัก เริ่มทรงงานอย่างบ้าคลั่งจนแคว้นเชินกลับมามั่นคงอีกครั้ง ประชาชนจึงได้กลับมาอยู่เย็นเป็สุขอีกครา
ฮ่องเต้อวี๋จึงได้กลายมาหนึ่งในฮ่องเต้ที่โดดเด่นที่สุด
ยามนี้ฮูหยินนางนั้นก็ได้กลายมาเป็นางปีศาจทำลายแคว้นที่ผู้คนยังเล่าขานไม่ลืมเลือน
ถึงขั้นบางคราก็กล่าวว่าฮูหยินนางนั้นเป็นางปีศาจที่จำแลงกายมา “ยินดีกับฮูหยินหลัวด้วย ข้าน้อยเพียงแต่มาประกาศราชโองการ ทว่าฝ่าาต่างหากที่กำลังรอคำตอบของฮูหยินอยู่ ไม่ทราบว่าฮูหยินหลัวอยากจะสร้างจวนไว้ที่ใดหรือ” ท่าทางของขันทีเต็มไปด้วยความสอพลอ แตกต่างกับคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง
ครานี้ขันทีไม่ได้รับสินบนอันใด ท่าทีซื่อสัตย์ ค้อมเอวหลังตรง รอยยิ้มพราวเต็มหน้า
ฮูหยินหลัวนับว่าสตรีที่โดดเด่นเสียจริง
หลายวันมานี้ฝ่าาไม่เป็อันคิดอะไร ในสมองมีแต่ฮูหยินหลัวนางนี้
กระทั่งองค์ชายน้อยที่เพิ่งประสูติก็ลืมไปจนหมดสิ้น
หลัวอู๋เลี่ยงได้แต่นิ่งเงียบด้วยความงุนงง ทว่าไม่นานนักก็เข้าใจว่าเหตุใดน้องสาวยามใกล้จะสิ้นใจจึงได้เรียกนางเข้าวังไปเช่นนั้น
ทั้งยังวางแผนจัดการไว้ให้นางอย่างสวยงาม
น้องสาวช่างคาดเดาจิตใจฮ่องเต้ได้แม่นยำนัก
รู้ว่าหากนางเข้าวัง ถึงอย่างไรก็ย่อมดี
จะต้องดึงดูดความสนใจจากฝ่าาได้แน่นอน
หลัวอู๋เลี่ยงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
เมื่อก่อนท่านปู่ก็เคยวางแผนไว้เช่นนี้ ดังนั้นก่อนนางจะถึงวัยปักปิ่นจึงไม่ยอมให้ฮ่องเต้ได้พบนางเด็ดขาด ก็คงเพียงเพราะรอคอยท่าทีตื่นตะลึงเช่นนี้กระมัง
น่าเสียดายที่ความฝันของท่านปู่ยังไม่ทันจะเป็จริง
กลับเป็น้องสาวที่ฉลาดกว่า
หากว่าฮ่องเต้เกิดต้องใจนางขึ้นมา ด้วยนิสัยของนางแล้วย่อมต้องช่วยน้องสาวแก้แค้นไม่ผิดแน่
น้องสาวของนางกระทั่งจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ ก็ยังไม่วายจะจัดการนาง นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือไม่
ยามที่ท่านราชครูกล่าวว่าเฉินโย่วจำเป็ต้องกลับมาเมืองหลวงจึงจะมีชีวิตรอด นางก็พอเดาได้ว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับวังหลวง
เมื่อนางตกลงจะกลับมา นางก็ได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เกรงว่าต่อให้ไม่มีเื่ของน้องสาว นางก็จะหาวิธีให้ตนเองได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ให้ได้อยู่ดี
ดังนั้นนางจึงไม่เคยตอบรับน้ำใจของนายท่านสาม
ด้วยเพราะนางรู้ว่านางเป็เพียงหญิงเ็าคน ทั้งยังไม่ยินดีจะมีชีวิตธรรมดา
นายท่านสามเองก็เช่นกัน ความสามารถของเขาไม่เพียงจะสามารถจะจัดการโรงหลอมและหมู่บ้านไป๋กู่ได้เท่านั้น เขายังมีเส้นทางอีกยาวไกลให้พัฒนาตัว
หากว่านางตกลงปลงใจอยู่กับเขา สุดท้ายเขาและนางก็จะหน่ายกันไปเองในที่สุด
“ข้าอยากไดู้เาสักลูกที่อยู่ใกล้สำนักเชิน หากฝ่าาอนุญาต เื่จวนข้าจะเป็คนสร้างเอง” หลัวอู๋เลี่ยงเอ่ยกับขันทีตรงหน้าด้วยท่าทางสง่างาม
ราวกับว่านางเป็นายหญิงของทุกคนมาั้แ่แรก
ขันทีเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธขึ้ง กล่าวลาอย่างนอบน้อมแล้วจากไป
แม้ขันทีจะจากไปแล้ว ทว่าบรรยากาศในเรือนยังคงเหลือความอึดอัดอยู่
ทุกคนจากไปอย่างรู้ความ กระทั่งเฉินโย่วก็ถูกพี่ชายอุ้มไป ยามนี้จึงเหลือเพียงแค่นายท่านสามและหลัวอู๋เลี่ยง
เรือนที่แสนยิ่งใหญ่ ต้นไม้ทุกต้น ดอกไม้ทุกดอก นายท่านสามล้วนแต่จัดแจงตามความชอบของหลัวอู๋เลี่ยง
ใบหน้าของนายท่านสามยามนี้ไร้สีเื
“เพราะเหตุใด”
นายท่านสามรู้จักหลัวอู๋เลี่ยงดี เขารู้ว่าท่าทางเช่นนี้ของนางย่อมมีความหมายว่าตกลง ยามรับราชโองการ นางไม่มีแม้แต่ท่าทีโกรธเกรี้ยว กระทั่งดูราวกับว่าเป็เื่ที่นางได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว
เมื่อนางมองนายท่านสามก็เห็นภาพของน้องสาวปรากฏขึ้น
เมื่อก้มหน้าลง ก็เห็นธารน้ำที่กำลังไหลริน
“ั้แ่เล็กข้างกายข้ามีนางกำนัลเก่าแก่ถึงสี่คนคอยดูแล พวกนางล้วนแต่เป็นางกำนัลที่ดีที่สุดในวังหลวง ท่านปู่ของข้าเลี้ยงดูข้าเพื่อส่งเข้าวังโดยเฉพาะ”
“การเข้าวังไม่เพียงแต่จะเป็ความฝันของท่านปู่ แต่เป็ความฝันของข้าด้วยเช่นกัน ข้าไม่ยินดีจะอยู่กับท่าน ท่านโปรดสนับสนุนให้ข้าสมหวังด้วย วางมือจากข้าเสียเถิด ข้าเห็นท่านเป็แค่พี่ชายเท่านั้น” หลัวอู๋เลี่ยงกล่าวไปก็เงยหน้ามองนายท่านสาม
นายท่านสามมองหน้าหลัวอู๋เลี่ยง
จ้องนางจนราวกับจะมองทะลุร่างของอีกฝ่ายเสียให้ได้
จ้องนานไปดวงตาทั้งสองก็แดงก่ำ
นี่ไม่มีทางเป็ความฝันของนาง ไม่ใช่อย่างแน่นอน
เื่นี้ย่อมมีสาเหตุที่เขายังไม่รู้ อู๋เลี่ยงไม่ใช่คนเช่นนี้
เพียงแต่นางไม่ยอมบอกเขา
เขาได้แต่ยิ้ม “ข้าย่อมเป็พี่ชายของเ้า ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่ว่าเ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะคอยคุ้มครองเ้า”
“เ้าอยากจะเข้าวัง อยากเป็สนม หรืออยากเป็ฮองเฮา ข้าจะสนับสนุนเ้าเอง” นายท่านสามกล่าวจบก็หมุนกายจากไปทันที ไม่ได้มีท่าทีอาลัยอาวรณ์อีก
สัญญาไม่ใช่เพียงแค่คำพูด แต่คือการกระทำ
เขาเดินจากไปอย่างเด็ดขาด
สายลมยังพัดเสียงดังซู่ๆ
เขาไม่ได้หันกลับไป เขาเกรงว่านางจะเห็นน้ำตาที่ไหลออกมา เขาเกรงว่านางจะรังเกียจที่เขาใช้ไม่ได้
บุรุษที่ร้องไห้เช่นนี้ ช่างใช้ไม่ได้เลยจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยร้องไห้
ไม่เคยเลย
หยาดน้ำตาหยดลงบนชุดตัดใหม่ ก่อนจะซึมหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาสวมชุดใหม่ที่นางตัดให้ ค่อยๆ เดินจากนางมา
