เจียงชิงอวิ๋นกวาดตามองเด็กหนุ่มทั้งสี่ ดวงตาของพวกเขาสดใสดูมีชีวิตชีวา ทำเอาคนที่เห็นแล้วทั้งสบายใจทั้งรู้สึกดี จึงบอกไปว่า “พวกเ้าล้วนอายุไล่เลี่ยกับข้า จะไม่ได้ได้อย่างไร เอาล่ะ อย่ามัวแต่อ้อมค้อมอยู่ ตกลงตามนี้”
เจียงชิงอวิ๋นมิได้รับเด็กหนุ่มทั้งสี่เป็ศิษย์อย่างเป็ทางการ แต่ครานี้เขากลับเต็มใจจะเป็พี่ชายของเด็กหนุ่มทั้งสี่
นี่เป็ความสนิทสนมที่เจียงชิงอวิ๋นมีต่อสกุลหลี่และให้การยอมรับสกุลหลี่อย่างเต็มที่
เด็กหนุ่มทั้งสี่หันมามองหน้ากัน รอจนเจียงชิงอวิ๋นทานบัวลอยข้าวหมากจนหมด ก็พากันเรียกเป็เสียงเดียวดั่งใจสื่อถึงกันได้ว่า “พี่เจียง”
เจียงชิงอวิ๋นตอบรับคำหนึ่ง พอหันไปมองหลี่หรูอี้ ก็เห็นว่านางกำลังยิ้มตาหยีทั้งเผยให้เห็นฟันหน้าหลอซี่หนึ่งอีกด้วย จึงกล่าวว่า “หมอเทวดาน้อยแล้วเ้าเล่า?”
หลี่หรูอี้กลับหันไปบอกกับคนในครอบครัวว่า “พวกท่านฟังสิ เขายังเรียกข้าว่า หมอเทวดาน้อยอยู่เลย”
“ตกลง วันหน้าข้าจะเรียกเ้าว่า หรูอี้”
“พี่เจียง”
เจียงชิงอวิ๋นยิ้มอีกครั้ง แววตาล้ำลึกมีชีวิตชีวาเช่นสุนัขป่าเ้าเล่ห์ที่ได้เห็นอาหารในวันหิมะตก
ลุงฝู ลุงโจว คอยดูอยู่ข้างๆ พากันแอบนับจำนวนครั้งที่เจียงชิงอวิ๋นยิ้มและแอบยินดีอยู่ในใจ
ครั้งนี้เจียงชิงอวิ๋นอยู่ในบ้านหลี่ตลอดบ่าย คอยดูการเรียนของเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่เป็การเฉพาะ และยังไปดูโรงเต้าหู้อีกด้วย เมื่อได้เห็นลาสามตัวที่ถูกปิดตาและเอาแต่เดินวนลากโม่หินให้หมุนก็รู้สึกสนุกขึ้นมา
แต่ว่าโรงเต้าหู้ยามนี้วุ่นวายมาก ทั้งพี่น้องหลี่ซานและพ่อลูกสกุลอู่ต้องคอยทำงานสลับกันระหว่างโม่หินหลายอันกับเอาเต้าหู้ลงพิมพ์เต้าหู้ วุ่นวายกันจนเท้าแทบไม่ติดพื้น เจียงชิงอวิ๋นอยู่ในนั้นเพียงแค่เวลาสั้นๆ ก็ออกมา
“ที่เรือนเ้าทำงานยุ่งเช่นนี้ทุกวันเลยหรือ”
“ไม่ขอรับ ยุ่งแค่ก่อนปีใหม่ ก่อนนี้จะยุ่งแค่่เช้ากับบ่ายขอรับ”
“ปีใหม่ก็ยังขายของด้วยหรือ”
“ไม่ทำขอรับ น้องสาวข้าไปแจ้งกับคนข้างนอกไว้หมดแล้วว่าเต้าหู้บ้านเราจะขายถึงวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสองขอรับ”
“พ้นปีใหม่ไปแล้วค่อยขายเต้าหู้อีกหรือ”
“น้องสาวข้าก็ไปบอกกับคนข้างนอกเอาไว้แล้วว่า หลังวันที่สิบเดือนหนึ่ง จึงจะเริ่มขายเต้าหู้อีกครั้ง”
เจียงชิงอวิ๋นฟังคำที่เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่บอกก็แอบคิดในใจว่า ที่แท้แล้วเื่การค้าของบ้านหลี่มีหลี่หรูอี้เป็คนตัดสินใจนี่เอง
หลี่อิงฮว๋าถามว่า “พี่เจียง ปีใหม่ท่านจะอยู่ที่จวนวันใด พวกเราจะไปไหว้ปีใหม่ท่าน”
“วันที่หนึ่งถึงวันที่สามข้าไม่อยู่ที่จวน วันที่สี่ก็จะกลับมา หากพวกเ้ามีปัญหาใดไม่เข้าใจก็เก็บเอาไว้มาถามข้าในวันที่สี่ก็แล้วกัน”
เมื่อหลี่หรูอี้ได้ยินว่าเจียงชิงอวิ๋นจะกลับแล้ว “ข้าจะจับชีพจรให้ท่านสักหน่อย” ผ่านไปครู่หนึ่ง “ระยะนี้ท่านมีเื่กังวลใจมากเกินไปและไม่ได้ออกกำลังกายด้วย ร่างกายย่ำแย่ลง วันหน้าอย่าเป็เช่นนี้อีกนะเ้าคะ”
เจียงชิงอวิ๋นหันมามองลุงฝูกับลุงโจวคราวหนึ่ง เห็นว่าทั้งสองคนต่างก็ส่ายหน้า จึงรู้ว่าพวกเขาไม่ได้แพร่งพรายเื่นี้กับหลี่หรูอี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อนั้นจึงจ้องหน้าหลี่หรูอี้นิ่ง เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เ้านี่เก่งกาจแท้ๆ แค่จับชีพจรก็รู้สภาพร่างกายของข้าในระยะนี้แล้ว”
จู่ๆ จวนเยี่ยนอ๋องก็มีคนตายคราวเดียวตั้งหลายสิบคน พระชายารองทั้งสี่และอนุต่างก็ถูกลงโทษ เื่ใหญ่หลวงเช่นนี้และยังเกี่ยวพันกับเจียงชิงอวิ๋นด้วย จะไม่ให้เขาเป็เช่นนี้และไม่คิดมากได้อย่างไร
หลี่หรูอี้เอ่ยเสียงละมุนว่า “ท่านไม่ต้องคิดมาก และต้องออกกำลังกายให้มากขึ้นด้วย”
เจียงชิงอวิ๋นเห็นสายตาเป็ห่วงเป็ใยของหลี่หรูอี้ น้ำใจของแม่นางน้อยผู้นี้เขารับไว้ด้วยใจแล้ว จึงพยักหน้า “ตกลง”
จนเมื่อเจียงชิงอวิ๋นกลับไป คนสกุลหลี่ก็ได้แต่ซาบซึ้งอยู่กับความดีอกดีใจเป็ล้นพ้น ประการแรก เพราะของกำนัลของจวนเจียงและจวนเยี่ยนอ๋องนั้นสูงค่ายิ่งนัก ประการที่สองคือ นับแต่วันนี้ไปเจียงชิงอวิ๋นกับพวกของหลี่เจี้ยนอัน ทั้งห้าคนจะเรียกขานกันเช่นพี่น้อง ประการที่สาม หลี่หรูอี้ได้หนังสือรับรองวิชาแพทย์ที่ประกาศโดยจวนเยี่ยนอ๋อง
“พี่เจียงมอบหนังสือให้พวกเราสองหีบใหญ่ เป็หนังสือใหม่เอี่ยมทั้งหมด เขาคงจะส่งคนไปซื้อที่ร้านหนังสือในตัวเมืองเยี่ยนโดยเฉพาะเลย”
“จวนเยี่ยนอ๋องมอบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน หยกประดับชั้นเลิศหนึ่งคู่ เครื่องประดับไข่มุกหนึ่งกล่อง ผ้าแพรต่วนสิบพับ”
“ในที่สุดน้องสาวก็จะได้รักษาคนอย่างออกหน้าออกตาได้สักที”
“ขอบใจมากน้องสาว”
“ทั้งแพทย์หลวง แพทย์เลื่องชื่อ และหมอทั่วไปตั้งมากมาย ต่างก็ไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของท่านชายได้ แต่หรูอี้ไปใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วยามก็ตรวจรักษาเสร็จแล้ว ฝีมือแพทย์ของหรูอี้เก่งกาจจริงๆ”
คนทั้งครอบครัวเข้ามาห้อมล้อมหลี่หรูอี้ด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน และอวยพรให้นางได้เป็หมอที่ทางการให้การยอมรับ
หลี่หรูอี้เองก็ยิ้มหน้าบานดั่งดอกไม้ ขณะเปิดกล่องไม้แดงขนาดเท่าฝ่ามือท่ามกลางสายตาของคนทั้งบ้าน เผยให้เห็นหนังสือรับรองวิชาแพทย์ที่อยู่ภายในนั้น
บนใบประกาศที่เป็กระดาษชั้นดีสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างยาวหนึ่งฉื่อ มีตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกสองสามบรรทัดว่า หลี่หรูอี้ เกิดเมื่อปี XX แห่งแคว้นต้าโจว ณ หมู่บ้านหลี่ อำเภอฉางผิง เมืองเยี่ยน เป็ผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ สามารถทำการรักษาได้
ตัวอักษรงดงามเรียบร้อยเป็อย่างยิ่ง ขอแค่เป็คนที่รู้หนังสือก็จะอ่านออก
ลงนามโดยสำนักราชการแห่งเมืองเยี่ยน แคว้นต้าโจว ยังมีตราของสำนักราชการและตราประทับส่วนตัวของขุนนางผู้รับผิดชอบออกหนังสือทางการแพทย์ และสำนักแพทย์หลวงสาขาย่อยอีกด้วย
สำนักแพทย์หลวงจัดตั้งสาขาย่อยอยู่ในเมืองใหญ่หลายแห่งทั้งเหนือใต้ ซึ่งเมืองเยี่ยนก็เป็หนึ่งในนั้น
แพทย์หลวงผู้รับผิดชอบตรวจสอบคุณสมบัติของคนเป็หมอก็คือแพทย์หลวงในสำนักแพทย์หลวงสาขาย่อย และขุนนางแห่งเมืองเยี่ยน
เมื่อหนังสือรับรองวิชาแพทย์มีตราประทับของส่วนราชการและส่วนตัวของขุนนาง ก็ดูเป็ทางการน่าเกรงขามขึ้นมาในบัดดล
ซึ่งนี่ก็คือ หนังสือรับรองวิชาแพทย์ของแคว้นต้าโจว
ในโลกก่อน หลี่หรูอี้มีใบอนุญาตด้านการแพทย์อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ในโลกนี้นางเพิ่งได้รับหนังสือรับรองวิชาแพทย์เป็ครั้งแรก
ตอนที่กลับจากจวนเยี่ยนอ๋องก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่า คงจะได้รับรางวัลเป็ของล้ำค่าจำพวกเงินทอง แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้รับหนังสือรับรองวิชาแพทย์ด้วย
นั่นเป็เพราะว่านางเป็สตรี ซ้ำยังเป็เด็กหญิงที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบอีกด้วย นับแต่สถาปนาแคว้นต้าโจวก็ยังไม่มีหมอที่เป็สตรีเลย
การที่จวนเยี่ยนอ๋องออกหนังสือรับรองให้กับนาง จึงนับเป็เื่น่าตื่นเต้นยินดีที่เกินคาดอย่างมาก และนางก็รู้อยู่แก่ใจว่า เจียงชิงอวิ๋นจะต้องเป็คนกลางในเื่นี้อย่างแน่นอน
“หรูอี้ ให้แม่ดูหนังสือรับรองของเ้าหน่อย”
“สกุลหลี่ของเราไม่เคยมีใครเป็หมอมาก่อน เ้าเป็คนแรกทีเดียว” หลี่ซานตั้งใจไว้ว่า ยามจุดธูปไหว้ตอนปีใหม่ จะต้องบอกกล่าวเื่น่ายินดีใหญ่หลวงนี้แก่บรรพชน
“ช่วยคนจะตาย คนล้มป่วย คนาเ็ เป็หมอคือการทำความดี น้องสาวรักษาอาการเจ็บป่วยให้คนเจ็บ ก็คือการทำความดีสั่งสมบุญ”
คนสกุลหลี่ รวมทั้งหลี่สือล้วนรู้หนังสือ ต่างพากันเช็ดมือให้แห้ง แล้วผลัดกันเอาหนังสือรับรองวิชาแพทย์มาดูอย่างละเอียด
“น้องสาว เ้าสามารถไปออกรักษาที่ร้านยาในตัวตำบลจินจีได้แล้ว”
“ฝีมือแพทย์ของพวกหมอในตำบลจินจียังไม่สูงส่งเท่าน้องเลย น้องสาวจะไปรักษาในร้านยาในตัวเมืองเยี่ยนก็ยังได้”
“น้องสาว จวนเยี่ยนอ๋องมอบเงินให้เ้าหนึ่งพันตำลึงเงิน เ้าสามารถเอาเงินก้อนนี้ไปเปิดร้านยาในตัวเมืองเยี่ยน จะได้เป็หมอรักษาผู้คนทั่วหล้า!”
“ใช่แล้ว ฝีมือแพทย์ของน้องสาวสามารถไปเปิดร้านยาของตนเองได้ทีเดียว”
เด็กชายสกุลหลี่ทั้งสี่ตื่นเต้นเกินจะเปรียบ พากันจินตนาการถึงอนาคตของหลี่หรูอี้
จ้าวซื่อคิดในใจว่านี่คือใต้หล้าของบุรุษ ไม่ว่าการงานใดล้วนไม่มีสตรีออกหน้า ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสตรีเปิดร้านยาเลย
แต่เมื่อเห็นว่าบุตรชายทั้งสี่ดีอกดีใจเพียงนี้ นางต้องตัดใจจะทำให้พวกเขาเสียใจไม่ได้ จึงไม่ไปขัดคำพวกเขา
“เปิดร้านยาหรือ” หลี่หรูอี้ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า “เปิดร้านยามิใช่เื่ง่ายๆ เลย และไม่ใช่ข้าคนเดียวจะทำได้ด้วย ข้าได้ยินอู่โก่วจื่อบอกว่า ร้านยาในตำบลจินจีมีหมอประจำอยู่สองคน มีหมอยาหนึ่งคนและศิษย์หมอยาอีกสองคน หมอทั้งสองคน กับหมอยาหนึ่งคน ล้วนเป็คนจากตระกูลแพทย์ซึ่งอยู่ในชั้นตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น”
ตำบลจินจีเป็เพียงตำบล ในร้านยาก็ยังมีหมอ หมอยา และศิษย์รวมกันห้าคน ฉะนั้นร้านยาในตัวเมืองเยี่ยนอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีหมอ หมอยา และเหล่าศิษย์รวมกันนับสิบกว่าคน
โดยมากคนในสายงานนี้ล้วนเป็บุตรที่สืบทอดความรู้มาจากบิดา ถ่ายทอดวิชาแพทย์กันมาจากรุ่นสู่รุ่น การจะสั่งสมบารมีได้มากมายเช่นนี้ ย่อมต้องมีเื้ัที่ลึกซึ้งยิ่งนัก
หากหลี่หรูอี้้าเปิดร้านยาก็ต้องไปดึงตัวคนจากร้านยาอื่นมา และต้องสั่งยาสมุนไพรจำนวนมาก ซึ่งต้องแย่งแหล่งซื้อหายาจากร้านอื่นด้วย
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้