ในเมื่อวางแผนเสร็จเรียบร้อย ในมือก็มีเงินแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องรีบเดินหน้าจัดการ
สวี่เหราได้จองวัตถุดิบในการซ่อมกำแพงเอาไว้แล้ว หินเป็ชิ้นๆ นั้นจำเป็ต้องเก็บมาจากในูเารอบๆ เมือง เว่ยหลางหาทหารเก่าที่ตนเองเชื่อใจได้กลุ่มหนึ่งในกองทัพมาให้ หลังจากที่พวกเขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็แสร้งทำเป็ช่างก่อสร้างที่เดินทางมาจากด้านนอก พวกเขาช่วยกันยกหินมาล้อมที่ตรงนั้นที่สวี่เหราทำสัญลักษณ์เอาไว้ จากนั้นก็มอบสถานที่ก่อสร้างนี้ให้กับอาลักษณ์หลี่เป็ผู้ดูแล อย่างไรก็ตาม ในสายตาผู้อื่นนี่ก็เป็เรือนที่ครอบครัวอาลักษณ์หลี่เป็เ้าของ
ออกแบบเรือนเป็เรือนห้าทางเข้า ครอบครัวของสกุลหลี่มีคนมาก ก่อนหน้านี้ฮูหยินหลี่เองก็เคยพูดเอาไว้ ว่ายามนี้เรือนที่ตนเองพักอยู่ในตอนนี้ไม่กว้างมากพอ อยากจะสร้างเรือนที่ใหญ่กว่านี้ ครั้งนี้ประจวบเหมาะพอดี หลังจากสร้างเสร็จแล้ว ก็ให้สกุลหลี่ย้ายเข้าไปอยู่ ส่วนคลังเสบียงใต้ดินก็สร้างอยู่เรือนหลัง
ในส่วนด้านหน้าเรือนของสกุลหลี่ก็สร้างตามวิธีปกติ มีก็แค่เรือนหลังที่ออกแบบการสร้างโดยเฉพาะ บนดินสร้างเป็เรือนเล็กหลายห้อง และบนกำแพงที่ล้อมรอบก็ติดประตูหลังหนึ่งทาง
คุณภาพดินที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ ค่อนข้างเหนียว คนงานหลายคนต่างช่วยกันขุดห้องใต้ดินเอาไว้ในห้องที่เรือนหลังเพื่อเอามาไว้ใช้เก็บของ หลังจากสร้างเรือนหลังเสร็จแล้ว ด้านล่างก็ขุดห้องว่าง ใต้พื้นดินและกำแพงรอบๆ ทั้งสี่ด้านใช้หินเป็ส่วนประกอบ รับประกันว่าไม่มีรูแม้แต่รูเดียว เพื่อป้องกันหนูไม่ให้เข้ามากัดแทะเมล็ดข้าว ้าจึงใช้ไม้มาพยุงเอาไว้อีกรอบ และใช้หินมาทำเป็เสา
หลังจากสร้างห้องที่มีขนาดสองร้อยกว่าตารางเมตรเสร็จแล้ว สวี่เหรากับเว่ยหลางก็มาดูผลงานในตอนกลางคืนรอบหนึ่ง จากนั้นจึงส่งคนให้ไปอยู่ในเรือนด้านหลัง รอจนกระทั่งได้เวลาอันสมควร ก็ทำการย้ายอาหารจากคลังที่สะสมไว้จากด้านซื่อจื่อเว่ยหลางมาเก็บเอาไว้ที่นี่
ในยามที่สกุลหลี่สร้างเรือน ขณะเดียวกันสวี่เหราก็นำกลุ่มชาวบ้านมากมายเริ่มซ่อมแซมกำแพงเมือง
ในมือมีเงินมากมาย อีกทั้งค่าจ้างคนงานเองก็ไม่ได้แพงมาก ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็แบกหาม แต่คนที่มาช่วยมีจำนวนมาก รอจนกระทั่งหิมะแรกตกที่เมืองเหอซี ประตูเมืองทิศตะวันออกของเหอซีก็ซ่อมเสร็จแล้ว
ทางทิศตะวันตกของเขตเมืองเหอซีอยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมิน ทางทิศใต้ทิศเหนือล้วนเป็ูเาสูง มีเพียงทิศตะวันออกที่เป็ทางเข้าออกของเมืองที่จำเป็ต้องผ่าน
เพื่อทำการป้องกันเมืองให้ดีที่สุด วัตถุดิบที่ใช้ทำกำแพงเมืองจึงไม่ได้มีการประหยัดงบเลยแม้แต่น้อย ้าของกำแพงม้าสามารถวิ่งได้ ประตูเมืองก็ทำมาจากไม้หวายมู่ที่มีความหนาและหนัก ถึงแม้จะใช้คนงานเปิดปิดประตูสามถึงห้าคนก็ยังเปิดไม่ได้
การก่อสร้างของทางนี้ต่างส่งเสียงครึกครื้น แต่การฝึกทหารทางด้านของเว่ยหลางเองกลับทำให้เหล่าทหารต้องร้องโอดโอยกันระงม
เว่ยหลางคิดมาตลอดว่าสวี่ตี้ไม่เหมือนกับคนหนุ่มคนอื่นๆ จนกระทั่งสวี่ตี้มอบกระดาษหลายแผ่นนั้นกับตนเอง ก็ยิ่งรู้ว่าเขาเป็คนเก่งกาจมาก
เด็กหนุ่มทั้งสองคนขังตัวเองอยู่ในห้องด้วยกันหนึ่งวันหนึ่งคืน จางจ้าวฉือก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน เพียงแต่กำชับชิงเหมี่ยวกับชิงซุยให้ดูแลอยู่ข้างๆ อย่าได้บกพร่อง ถึงยามกินก็กิน ถึงยามดื่มก็ดื่ม เสบียงพวกนี้จะต้องรีบนำไปส่งให้ลูกของนางทาน อย่างอื่นไม่ต้องไปสนใจ
เว่ยหลางถือกระดาษหลายแผ่นนั้นไว้แน่นราวกับว่าถือของที่มีมูลค่ามหาศาล ก่อนจะออกจากจวนสกุลสวี่ไปอย่างอารมณ์ดี
สวี่ตี้ไม่ได้นอนทั้งคืน ตาแดงไปหมด จางจ้าวฉือมองสวี่ตี้ก็พูดออกมาด้วยความสงสาร “ทานโจ๊กร้อนๆ นี่ก่อน ทำให้ท้องอุ่นแล้วลูกค่อยไปนอนเถิด”
สวี่ตี้พยักหน้ารับ “ในอนาคตหากข้าตัวไม่สูง เช่นนั้นก็มีเหตุผลของมันนะขอรับ สองวันนี้ข้าจะพักผ่อนเสียหน่อย ผ่านไปอีกสองสามวันก็จะเข้าูเาไปฝึกซ้อมกับพวกเว่ยหลางขอรับ”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็เอ่ยออกมาด้วยความใ “ลูกจะตามไปด้วยงั้นหรือ?”
สวี่ตี้ถอนหายใจ “ใช่สิขอรับ เว่ยหลางบอกว่ามีหลายเื่ที่เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่”
จางจ้าวฉือเอ่ยกับบุตรชายด้วยความสงสารเป็อย่างยิ่ง “ลูกเพิ่งจะอายุกี่สิบปีเอง อีกอย่างร่างกายก็ไม่ได้ฝึกมาั้แ่เด็กจะทนรับความลำบากไหวหรือ?”
สวี่ตี้เอ่ยตอบมารดา “ไม่ไหวก็ต้องไหวขอรับ ตอนนี้เื่มันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเรา หากไม่มีสิ่งใดที่สามารถปกป้องชีวิตได้ ในใจของข้าก็รู้สึกไม่มั่นคง ท่านวางใจเถิด ข้ารู้จักแยกแยะได้ขอรับ”
สวี่เหรายุ่งอยู่กับการสร้างคลังเก็บเสบียง ยุ่งอยู่กับการซ่อมกำแพง ตอนกลางคืนกลับเรือนมานอนก็กรนออกมาเพราะความเหนื่อยล้า จางจ้าวฉือเองก็ไม่อยากจะไปรบกวนเขา จึงทำอาหารง่ายๆ สะดวกๆ ให้สวี่เหรารับประทาน
ตอนนี้สวี่จือยิ่งมีกิริยาท่าทางเหมือนกับคุณหนูสกุลใหญ่ ไม่ว่าจะเป็การเดิน ยืน นั่ง หรือนอน อีกอย่างสายตาก็พัฒนาขึ้นมากภายใต้การชี้แนะของแม่นมลู่
สวี่จือยุ่งอยู่กับการเรียนของตนเอง ทั้งยังเอาใจใส่เริ่มสังเกตคนในครอบครัว นางพบว่า่นี้เวลาที่ท่านแม่อยู่ในโรงครัวยิ่งนานมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไปดูด้วยความประหลาดใจ
จางจ้าวฉือกำลังศึกษาวิธีการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ เ้าสิ่งที่ทั้งอร่อยและทั้งสะดวกนี้ ผลสรุปคือทำมาหลายรอบแล้วก็ยังทำออกมาไม่ได้ โรงครัวจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารทอดหอมยั่วน้ำลาย
หลังจากที่สวี่ตี้กำหนดเวลาไปฝึกบนูเากับเว่ยหลางเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบไปที่ไร่ จัดการเื่ที่ไร่ให้เรียบร้อย รอจนกระทั่งเข้ากลับมาในเรือนอีกครั้ง ก็เห็นมารดาที่กำลังเศร้าสร้อยเพราะไม่สามารถทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาได้
ได้ยินมารดาของตนเองบอกว่าจะทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แล้วมองไปยังโรงครัวที่อยู่ในสภาพเละเทะ สวี่ตี้ก็ถอนหายใจ “ท่านแม่ น้ำใจของท่านข้ารับไว้แล้วขอรับ แต่ว่าท่านเป็คนที่เข้าครัวแค่ไม่กี่ครั้ง จู่ๆ จะมาทดลองทำสิ่งที่ยากขนาดนี้ มันลำบากท่านเกินไปนะขอรับ มาๆ ท่านไปพักก่อนเถิด ที่เหลือไว้เป็หน้าที่ของข้าเองขอรับ”
จางจ้าวฉือมองบุตรชายที่จัดการเตรียมเส้นอย่างคล่องแคล่วก็ถอนหายใจ “สวี่ตี้ เ้าว่าแม่เป็มารดาที่ไม่ได้เื่หรือไม่ ั้แ่เด็กแม่ก็ไม่ค่อยได้สนใจลูก เอาแต่ไปสนใจอยู่แต่กับงาน สุดท้ายลูกก็เติบโตมาเป็คนที่ดีโดยที่แม่ไม่ได้มีส่วนร่วมเลย คิดๆ ไปแล้ว ข้าที่เป็แม่ที่ไม่ผ่านมาตรฐานเลยจริงๆ”
สวี่ตี้ฟังแล้วก็หัวเราะแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ข้ารู้สึกว่าท่านดีที่สุดขอรับ ถึงแม้ท่านกับท่านพ่อจะไม่ค่อยได้สนใจข้า แต่ว่าพวกท่านเป็แบบอย่างในการยืนหยัดที่ดีให้ข้านะขอรับ พลังในการเป็แบบอย่างนั้นมีอย่างไม่จำกัด”
หลังจากจางจ้าวฉือเห็นสวี่ตี้นวดแป้ง แล้วยืดแป้งออกเป็เส้นๆ จากนั้นเอาไปขึ้นหม้อนึ่ง นึ่งจนจับตัวเข้ารูปแล้วค่อยเอาลงไปทอดในหม้ออีกครั้ง เมื่อตักขึ้นมาเป็ก้อนแป้งเล็กๆ ที่เมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่งแล้วพบว่ามันทั้งนุ่มทั้งกรอบ ยามที่นำลงไปต้มน้ำร้อนก็ออกมามีลักษณะเหมือนกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เคยรับประทาน
สวี่ตี้เองก็ลองชิมดูก่อนจะกล่าว “เ้านี่จะทำมากไม่ได้นะขอรับ เราไม่มีบรรจุภัณฑ์ ทำได้แค่ใส่ในถุงแป้ง ตอนที่จะทานก็ไม่สะดวก แล้วก็พวกเครื่องปรุง ถึงตอนนั้นค่อยใส่ผักดองลงไป แต่ข้าว่ามิสู้ทำเนื้อตากแห้งไม่ดีกว่าหรือขอรับ”
จางจ้าวฉือตอบ “เ้านี่ก็ดีมากแล้วนะ ยามไปออกรบพอเวลาไม่ทันกาล เดินไปทานไปสองชิ้นก็อิ่มท้องแล้ว ไม่ต้องไปทำอาหาร ลดปัญหาไปเยอะ”
สองแม่ลูกช่วยกันคิดว่ายังมีของกินอะไรอีกที่ทั้งอร่อยทั้งสะดวกร่วมกันอยู่ในโรงครัว ประเด็นสำคัญก็คือสะดวกต่อการพกพา ซึ่งในตอนนั้นเว่ยหลางก็มาถึงพอดิบพอดี
เห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่ในตะแกรงกรองน้ำมัน เว่ยหลางก็หยิบขึ้นมาชิม หลังจากครุ่นคิดก็มองสวี่ตี้ด้วยสีหน้าใ “เ้านี่ถ้าหากเอาไปด้วยยามออกเดินทางก็สามารถทำเป็อาหารแห้งได้นะ”
สวี่ตี้ตอบ “แน่นอนสิขอรับ ข้ากำลังเตรียมตัวทำเพื่อเอาไปทานยามฝึกซ้อม ซื่อจื่อ การฝึกพิเศษนั้นไม่ได้พูดเล่นๆ นะขอรับ การสร้างกลุ่มนี้ขึ้นมานั้นเปลืองทรัพยากรมาก แต่หากฝึกได้ดีแล้วละก็ นี่จะเป็ทหารที่จะทำให้เรามีโอกาสได้รับชัยชนะมากเป็พิเศษขอรับ”
เว่ยหลางพยักหน้าหนักแน่น “ข้าได้เลือกคนเอาไว้แล้ว ครั้งนี้เลือกออกมาหนึ่งร้อยคน พรุ่งนี้เช้าจะพาพวกเขาเข้าไปทีู่เา”
สวี่ตี้เอ่ย “ในเมื่อจะให้พวกเขาฝึกกันดีๆ อาหารพวกนี้ก็ต้องมีพร้อม ท่านกลับไปก็ให้คนครัวทำเ้านี่เอาไว้มากหน่อยนะขอรับ แล้วก็พวกผัดข้าวผัดเส้น พวกเราเข้าูเาครั้งนี้จะอยู่ก่อนสิบวัน ที่นั่นไม่สามารถจุดไฟได้”
เว่ยหลางรับคำอย่างแข็งขัน บอกว่ากลับไปจะให้ทหารที่รับผิดชอบทำอาหารมาเรียนวิธีการทำ ก่อนจะไปยังทิ้งท้ายว่า “สวี่ตี้ ข้าคิดมานานแล้วว่าจะให้สถานะทางทหารในกองทัพกับเ้า”
สวี่ตี้ได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็เอ่ย “ในอนาคตข้าจะสอบขุนนาง ท่านจะให้สถานะกับข้าไปเพื่อเหตุใดหรือขอรับ”
เว่ยหลางตอบ “เ้าทำให้ข้ามากมายถึงเพียง อย่างอื่นข้าก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เ้าได้”
สวี่ตี้เอ่ย “พวกเราร่วมมือกันเปิดร้านหม้อไฟมิใช่หรือ? ต่อไปพวกเราก็เป็หุ้นส่วนกันแล้ว หุ้นส่วนช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็เป็เื่ที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ? เอาล่ะๆ พี่เว่ย ท่านอย่าคิดเื่พวกนี้มากนักเลยขอรับ พวกเราฝึกซ้อมพวกเขาเอาไว้ ก็เพื่อให้สามารถสกัดพวกเป่ยตี้ไว้ด้านนอกนั่น ไม่ให้พวกเขาเข้ามาได้ก็พอแล้ว ปกป้องครอบครัวปกป้องแคว้น ผู้ใดก็มีความรับผิดชอบเช่นนี้นะขอรับ”
สวี่ตี้ส่งเว่ยหลางไปแล้วก็รีบกลับไปผัดข้าวผัดเส้นในโรงครัวต่อ
ซึ่งล้วนใช้ของที่ปลูกในไร่ทั้งนั้น ข้าวก็เอามาจากข้าวฮ่านต่าว แป้งก็เป็ข้าวสาลีที่โม่หลังจากเก็บเกี่ยวฤดูร้อน
สวี่ตี้นั้นเป็ที่โตไวฉลาดไว ั้แ่เด็กก็ตามไปฝึกซ้อมที่ค่ายทหาร อาศัยอายุน้อย ปากหวาน สติปัญญาสูง เป็เพื่อนกับคนที่อายุมากกว่าเขาสิบกว่าปี ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว คนพวกนั้นออกจากกรมกลับบ้านมาก็ยังมีติดต่อกันบ้าง แล้วก็มักจะส่งของดีประจำท้องถิ่นมาให้บ่อยๆ บางครั้งสวี่ตี้ก็จะไปเที่ยวเล่นที่บ้านของเพื่อนเหล่านี้
ผัดข้าวผัดเส้นนั้นเรียนรู้จากตอนที่ไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกัน
ใส่ข้าวลงไปในกระทะแล้วผัดให้แห้ง หลังจากผัดสุกแล้วข้าวก็จะมีกลิ่นออกไหม้หน่อยๆ แต่ว่าจะทานแบบดิบหรือเอาลงไปต้มนั้นก็ดีหมด สวี่ตี้ยังเคยเอาข้าวผัดที่ว่านี้ไปในห้องทดลอง แล้วเอาหม้อทำความร้อนมาต้มเป็โจ๊ก
ผัดเส้นทางที่ดีที่สุดให้ใส่น้ำมันหมูลงไปด้วย ถ้าหากมีกากหมูผสมด้วยจะเป็อะไรที่ลงตัวที่สุด ตอนที่ทานแห้งๆ ก็จะกัดโดนกากหมูอย่างไม่ตั้งใจ ทำเช่นนั้นแล้วก็จะได้อารมณ์อีกแบบ ผัดเส้นที่ทำเสร็จแล้วเอาไปต้มในน้ำร้อน เมื่อซดน้ำเข้าไปเป็อะไรที่ดีมาก
หลังจากผัดทั้งสองอย่างเสร็จแล้ว ก็ยกขึ้นมาพักไว้ เตรียมถุงผ้ามาบรรจุอาหารใส่ลงไป
สวี่เหรากลับบ้านมาเห็นอาหารง่ายๆ พวกนี้ก็เอ่ย “สวี่ตี้ เ้าสามารถใช้ผ้าหยาบๆ มาเย็บเป็ถุงใส่อาหารพกติดตัวได้นะ เหมือนพวกรุ่นก่อนตอนที่อยู่คณะปฏิวัติ แบบนั้นสะดวกจะตายไป”
สวี่ตี้ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ของพวกนั้นข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนี่ขอรับ”
สวี่เหราหัวเราะ “ข้ารู้ หน่วยงานของพวกข้าทุกปีจะไปเที่ยวที่ทำของพวกนั้น ในนิทรรศการก็มี ไกด์เคยแนะนำรายละเอียดให้กับพวกข้า การปักเย็บของแม่เ้าไม่ดี เ้าไปเรียกแม่นมลู่มา พวกเราจะให้แม่นมลู่เย็บให้เ้า”
สวี่ตี้รับคำด้วยความดีใจ รีบไปที่เรือนหลังเพื่อเรียกแม่นมลู่มา ก่อนที่แม่นมลู่จะเย็บถุงผ้าใส่ของแห้งตามที่สวี่เหราบอก
ต่อมาสวี่ตี้ก็ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็ขนาดพอดีคำ หลังจากทอดออกมาแล้วรอให้เย็นก็ใช้ถุงอาหารแห้งมาห่อ ตอนเช้าตรู่ฟ้ายังไม่สางเว่ยหลางก็มารับตัวเขาไป พอเห็นว่าบนตัวเขาพกถุงผ้าห่ออาหารแห้งสามใบ ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ใช้ไปแล้วสะดวกมากจริงๆ
ครั้งนี้พากันไปฝึกในูเา ที่เว่ยหลางเลือกมาล้วนเป็คนที่มีร่างกายแข็งแรงมาก เป็คนที่มีความซื่อสัตย์สูง เพื่อการฝึกนี้ เว่ยหลางใช้ความคิดไปเยอะมาก สวี่ตี้ได้พูดกับเขาเอาไว้แล้วว่าคนที่มาฝึกในครั้งนี้ ในสนามรบจะสามารถสู้หนึ่งต่อสิบได้ ที่สำคัญที่สุด คนพวกนี้ต่อไปจะต้องเป็ครูฝึก จะต้องฝึกคนเก่งออกมาอีกมากมาย แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะฝึกซ้อมคนให้เก่งไปเสียเปล่า
เว่ยหลางถึงขั้นพูดแค่กับคนที่ไว้ใจไม่กี่คนเื่การฝึกซ้อมในครั้งนี้ แม้แต่เลือกคนก็ยังแอบเลือก เว่ยหลางเป็คนที่รักและปกป้องทหารของตนเอง ลูกน้องพวกนั้นร่างกายดี ปฏิกิริยาตอบรับไว ในใจรู้จักประมาณตน จึงเรียกคนมารวมตัวกัน บอกเื่การฝึกซ้อม และเขาก็ได้พูดถึงความเสี่ยงก่อน หากทุกคนไม่ยินยอมก็สามารถถอนตัวออกไปได้
ซื่อจื่อพาคนไปฝึกด้วยตนเอง ถึงแม้จะมีความเสี่ยง แต่เพราะว่าเสี่ยงผลตอบแทนจึงสูง ซึ่งการถอนตัวออกไปนั้นย่อมเป็คนโง่จริงๆ
คนหนึ่งร้อยกว่าคนพกของกันง่ายๆ แต่งตัวสบายๆ แต่ละคนพกอาหารแห้งสำหรับสิบวันเอาไว้ พวกเขาถูกเว่ยหลางกับสวี่ตี้พาขึ้นเขา โดยการออกเดินทางเข้าูเาเข้าทางประตูทิศเหนือของเหอซีเป็ไปอย่างเงียบเชียบ
ที่สำคัญที่สุดของเขตเมืองเหอซีคือประตูทิศตะวันออก ประตูตะวันตกเพราะว่าอยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมิน กำแพงเมืองจึงไม่ได้สูงใหญ่มากนัก ส่วนประตูทางทิศเหนือกับทิศใต้ เพราะว่าอยู่ใกล้กับูเาทั้งสองข้าง จึงซ่อมกำแพงใหญ่ให้สูงใหญ่ขึ้น ด้านล่างกำแพงก็เป็ประตูเมืองเล็กๆ ที่นี่ปกติมักจะไม่ค่อยมีใครมาเฝ้าเท่าไหร่
คนของเมืองเหอซียิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เมืองเองก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เพราะว่าจวนแม่ทัพอยู่ด้านนอกประตูทิศตะวันออก มีบางคนจึงมาสร้างบ้านอยู่ตรงนี้ ไม่เช่นนั้นสวี่เหราคงไม่สร้างเรือนเอาไว้ที่นี่ ด้านใต้เรือนก็มีคลังเก็บอาหาร
สวี่เหราเคยคิดเอาไว้แล้ว ต่อไปหากมีเงินอีก จะซ่อมกำแพงฝั่งทิศตะวันตกให้ดี ทางที่ดีที่สุดคือล้อมเข้ามาอีกสักหน่อย กำแพงจะไม่ทำให้แข็งแรงเหมือนกับด่านเยี่ยนเหมิน แบบนั้นมันแข็งแรงเกินปกติ อย่างน้อยอยากจะโจมตีทำลายประตูเมืองก็ไม่ใช่เื่ง่ายๆ หากมาถึงในคราวที่ด่านเยี่ยนเหมินถูกทำลายแล้วจริงๆ กำแพงทางนี้ก็ยังสามารถป้องกันได้ สามารถยื้อเวลาให้คนได้มีเวลาหนีมากขึ้น
สวี่ตี้ตามเว่ยหลางไปแล้ว ในตอนเช้าจางจ้าวฉือก็ทานอาหารไม่อร่อย สวี่เหราเห็นเช่นนั้นแล้วก็อดเอ่ยไม่ได้ “ลูกก็อายุสิบกว่าปีแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยแยกกับพวกเรามาก่อน เหตุใดเ้ายังเป็เช่นนี้อีก?”
จางจ้าวฉือตอบ “ตอนนั้นพวกเรารู้ว่าลูกจะต้องปลอดภัยมิใช่หรือ เ้าดูตอนนี้สิ ตามเข้าไปในป่าลึกทางเหนือ เหล่าสวี่ เ้าว่าในูเานั้นจะมีสัตว์ป่าหรือไม่?”
สวี่เหราตอบ “คนเยอะขนาดนั้นเ้าไม่ต้องรีบร้อนหวาดกลัวเช่นนี้หรอก พวกเราจะต้องเชื่อใจลูก อีกอย่างยังมีพวกเว่ยหลางอยู่ไม่ใช่หรือ บุรุษแข็งแกร่งร้อยกว่าคนเชียวนะ”
จางจ้าวฉือถอนหายใจ “เมื่อวานจู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตนเองเป็คนเห็นแก่ตัวมากๆ ตอนสวี่ตี้เล็กๆ พวกเราสองคนก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับงานของตนเอง ลูกก็ดูแลตัวเองไป ต่อมาลูกก็ยังต้องมาดูแลพวกเราอีก ข้าคิดไม่ออกเลยว่าตัวเองเคยทำอาหารเช้าให้ลูกเมื่อไหร่ ข้ารู้สึกผิดกับลูก”
สวี่เหราฟังแล้วก็ถอนหายใจ “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ถึงแม้ลูกของพวกเราจะเชื่อฟัง แต่ว่าข้ารู้สึกว่าลูกแค่ตัดปัญหา ไม่ได้คิดเลยว่าเหตุใดลูกถึงได้เชื่อฟังเช่นนี้ คนอื่นๆ ต่างอิจฉาที่เรามีลูกดี พอคิดเช่นนี้พวกเราสองคนก็ไม่มีความรับผิดชอบเลย บีบให้ลูกจำเป็ต้องโตขึ้นมาด้วยตัวเอง”