เพราะถูกจุนห่าวเมินใส่ หลิวสือจึงกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “จุนห่าว นี่เ้ากล้าหาญชาญชัยเสียจริง ถึงได้กล้าทำเป็มองไม่เห็นข้า เ้าไม่ไล่ตามน้องสาวข้าแล้วรึ?” หลิวสือฉุกคิดได้ว่า จุนห่าวเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนเวลาที่จุนห่าวพบเขา จุนห่าวจะเคารพและมีความนอบน้อมต่อเขา เขาสั่งให้จุนห่าวไปทางทิศตะวันออก จุนห่าวก็จะไม่กล้าไปทางทิศตะวันตก หลายเดือนที่ไม่ได้เจอ เขาไม่คิดเลยว่าจุนห่าวจะกล้าเพิกเฉยต่อเขา บางทีการที่จุนห่าวถูกไล่ออกจากตระกูล คงทำให้สมงสมองของจุนห่าวหายไปหมดแล้ว
“พี่รอง นี่ท่านพูดเื่ไร้สาระอะไรกัน บัดนี้ข้ามีคู่หมั้นแล้ว ท่านกล่าวเช่นนี้จะไม่เป็การทำลายชื่อเสียงของข้าหรือ?” หลิวหว่านพูดอย่างเดือดดาล พลางคิดในใจ หลิวสือ เ้าคนโง่เง่า นี่เ้าจะถ่วงความเจริญกันหรือไง คู่หมั้นของข้าก็อยู่ข้างกายเขานะ
หลิวสือรู้สึกได้ว่าตนเองเผลอพลั้งปากไป จึงรีบกล่าวกับคู่หมั้นของหลิวหว่านว่า “น้องเขย โปรดอย่าถือสาข้าที่พูดจาไร้สาระเมื่อครู่เลยนะ”
“ไม่เป็ไร มีใครไม่รู้บ้างล่ะว่าลูกผู้น้องของข้าเอาแต่ไล่ตามหลิวหว่าน เื่นี้เป็ที่โด่งดังะเืเลื่อนลั่นไปทั่ว มีคนชอบหลิวหว่านก็ถือว่าเป็เกียรติของข้า เพราะพิสูจน์ได้ว่าหลิวหว่านของข้านั้นเป็คนที่โดดเด่นเพียงใด ตามหลักธรรมชาติของมนุษย์น่ะ สตรีผู้อ่อนหวานชดช้อยก็จะคู่ควรกับสุภาพชนที่มีคุณธรรม” คู่หมั้นของหลิวหว่านกล่าว เขาไม่เคยคิดว่าจุนห่าวคือคู่ต่อสู้ของเขาเลย นอกจากความรูปงามแล้ว จุนห่าวก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าเขาเลย แต่ในวันนี้ลูกผู้น้องของเขาผู้นี้ กลับเปลี่ยนไปมาก อย่าบอกนะว่าหลังจากถูกไล่ออกจากตระกูล เขาก็ปลุกเร้าตัวเองให้ฮึกเหิมขึ้นมา เขายังคิดอยู่เลยว่า จุนห่าวคงจะใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวัน ๆ เหมือนคนเมา แม้ว่าจุนชังจะมองไม่ออกว่าพลังปราณของจุนห่าวเปลี่ยนไปเพียงใด แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าจุนห่าวเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจคาดเดาได้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกได้ถึงความร้ายกาจที่ไม่อาจพรรณนาออกมาได้
เมื่อจุนชังกล่าวจบ ก็หันมาพูดกับจุนห่าวว่า “ลูกผู้น้อง เวลานี้หลิวหว่านคือคู่หมั้นของข้าแล้ว เ้าคงรู้นะว่า ควรทำอย่างไร”
นี่เป็ครั้งแรกที่จุนห่าวได้พบกับคู่หมั้นของหลิวหว่าน... จุนชัง ลูกผู้พี่ของเขาที่ต่างกล่าวขานกัน ได้ยินมาว่าเป็เด็กหนุ่มที่มากความสามารถ แต่จุนห่าวมองอย่างไร ก็งั้น ๆ อีกทั้งบัดนี้จุนชังก็ไม่ใช่ลูกผู้พี่ของเขาแล้ว จุนห่าวจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายจุนวางใจได้ ข้าไม่คิดเลยเถิดกับคู่หมั้นของท่านเลยสักนิด ก่อนหน้านี้ข้าเป็เพียงคนหนุ่มบ้าคลั่งและไม่มีวินัยในตนเอง แต่ยามนี้ข้ามีความรักอย่างใจจริงแล้ว ต่อให้นางฟ้านาง์ทั้งเก้าลงมายังโลกมนุษย์ก็ไม่อาจต้องตาข้าอีกต่อไป”
เมื่อได้ยินจุนห่าวกล่าวจบ สายตาของทุกคนก็หันไปมองทางหานรุ่ยเป็ตาเดียว ที่จุนห่าวกล่าวถึงความรักอย่างใจจริงคงจะหมายถึงท่านผู้นี้ พวกเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจุนห่าวใช้สายตาอะไรมอง ถึงขั้นไม่เลือกนางฟ้า แต่ดันมาเลือกคนอัปลักษณ์แบบนี้
จุนชังเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี นี่เราห่างเหินกันแล้วหรือ แม้ว่าเ้าจะถูกท่านลุงรองไล่ออกจากตระกูล แต่เ้ากับข้าก็ยังมีความสัมพันธ์ทางสายเืที่ตัดขาดกันไม่ได้ ข้ายังถือว่าข้าเป็ลูกผู้พี่ของเ้าอยู่ และเ้าก็ยังคงเป็ลูกผู้น้องของข้าอยู่เหมือนกัน” จุนชังรู้สึกว่าจุนห่าวไม่ใช่คนที่ไม่ทะเยอทะยานอีกต่อไป สักวันหนึ่งตำแหน่งลมปราณของจุนห่าวจะขึ้นพรวดพราด การผูกสัมพันธ์อันดีไว้คือสิ่งที่จำเป็ เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า สายตาของท่านลุงรองเป็อะไร ทำไมถึงขับไล่จุนห่าวออกจากตระกูลเพื่อจุนหรู เขากล้าพูดเลยว่า ท่านลุงรองจะต้องเสียใจในภายหลังเป็แน่
จุนห่าวกล่าวว่า “ข้าไม่อาจตีตนเสมอ เพื่อคบค้ากับท่านได้หรอก” ยามนี้จุนห่าวไม่้าที่จะผูกสัมพันธ์กับใครในตระกูลจุนทั้งนั้น
เมื่อได้ยินดังนั้น จุนชังจึงกล่าวตอบไปว่า “ลูกผู้น้องล้อเล่นเกินไปแล้ว”
หลิวหว่านเห็นจุนชังพูดกับจุนห่าวอย่างสุภาพ จนถึงขั้นประจบจุนห่าว หลิวหว่านก็ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้นพลางดึงแขนเสื้อของจุนชังว่า “ข้าหิวแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ! อย่ารบกวนมื้ออาหารของจุนห่าวอีกเลย” หลิวหว่านเกลียดชังจุนห่าว เพราะจุนห่าวตามติดนาง จนนางรู้สึกขยะแขยง บัดนี้จุนห่าวเลิกตอแยนางแล้ว ทำให้หลิวหว่านรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
“ถ้าอย่างนั้นไว้พบกันใหม่นะ ลูกผู้น้อง หากมีธุระอะไรก็มาหาข้าที่บ้านตระกูลจุนได้ ในเมืองอวี้หวานั้น ข้าถือว่าเป็คนที่พอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง” จุนชังพูดกับจุนห่าว
“ขอบคุณท่านมาก คุณชายจุน แต่ข้าคิดว่าจะคงไม่มีวันนั้นหรอก” จุนห่าวกล่าว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจุนชังถึงได้สุภาพต่อเขานัก ก่อนหน้านี้มีแต่ดูถูกร่างเดิม
“จุนห่าว เ้าคงไม่ได้มากินฟรีที่นี่หรอกนะ!” หลิวสือถามขึ้นก่อนเดินจากไป
จุนห่าวยกกำปั้นขึ้นใส่เขา ดูเหมือนหลิวสือจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าเขาจึงเริ่มแปรเปลี่ยน และเดินจากไปอย่างหม่นหมอง จุนห่าวฉุกคิดได้ว่า ครั้งก่อนคงจะทิ้งเงามืดไว้ให้หลิวสือเสียแล้ว
จุนห่าวพูดกับหานรุ่ยที่กำลังมองคนเ่าั้เดินจากไปว่า “สายตาของข้าเมื่อก่อนนี้ ช่างแย่เสียจริง”
หานรุ่ยรู้ว่าจุนห่าวหมายถึงอะไร จึงเอ่ยขึ้นว่า “คนเราย่อมมีความคิดเห็นและรสนิยมที่แตกต่างกัน ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะถูกหรือผิด” หานรุ่ยคิดในใจ สายตาเ้าก่อนหน้านี้คือปกติแล้ว ตอนนี้น่ะสิที่ไม่ปกติ
“กินข้าวกันเถอะ ไอ้เ้าหลิวสือนั่น กล้าคิดว่าข้าจะมากินฟรีได้อย่างไร ข้าดูเป็คนแบบนั้นหรือ?” จุนห่าวมองดูอาหารที่เพิ่งถูกนำมาวางบนโต๊ะ พลางคิดว่า ข้าก็พอจะมีเงิน ไม่มีทางทำเื่หลอกลวงแบบนั้นเป็แน่
หานรุ่ยพูดตอบว่า “เขามีตา แต่หามีแววไม่”
จุนห่าวกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ถือว่าจุนชังยังพอมีแววมองออกว่าข้าเป็คนมีของ ถึงได้อยากที่จะคบค้าสมาคมกับข้า”
หานรุ่ยกล่าว “รีบกินเถอะ เ้าอยากมากินอาหารแพง ๆ แบบนี้ ถ้าไม่กินก็จะสิ้นเปลืองเสียเปล่า มีแต่ของดีทั้งนั้น”
จุนห่าวกินไปหนึ่งคำ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ก็งั้น ๆ”
หานรุ่ย: ...... ถ้าใครมาได้ยินคำพูดของจุนห่าวขึ้นมาล่ะก็ จะต้องหมั่นไส้ปนเคียดแค้นเป็แน่