เช้าวันรุ่งขึ้น เหยียนอู๋อวี้ได้แต่งตั้งเลื่อนขั้นเป็สนมขั้นเจ็ด พระราชโองการให้ตำหนักเฟิ่งชัยเป็ที่ประทับหลักถูกส่งไปยังเรือนหลินหลาง พร้อมมีนางกำนัลสองนางกับขันทีหนึ่งคนคอยติดตามดูแลใกล้ชิด
เหยียนอู๋อวี้รับพระราชโองการท่ามกลางสายตาอาฆาตจากทั่วทุกสารทิศ พลางข่มความประหลาดใจไว้ข้างใน
เมื่อคืนวานเพิกเฉยทั้งคืนจนกระทั่งฟ้าสาง วันนี้กลับได้รับพระราชโองการดังกล่าว ทั้งยังได้พำนักอาศัยอยู่ในตำหนักภายในพระราชวังในฐานะสนมขั้นเจ็ด ทรงเป็ที่โปรดปรานยิ่งนัก
ทันทีที่ขันทีประกาศพระราชโองการออกไป บรรยากาศภายในเรือนหลินหลางพลันแปลกประหลาดขึ้นมาทันที บางคนกล่าวแสดงความยินดี บางคนยากจะซ่อนความอิจฉาริษยาไว้ภายใน
“ใบหน้าเ้าเล่ห์แสร้งทำตัวน่าสงสาร ทว่ายามปีนป่ายเตียงักลับคล่องแคล่วปราดเปรียวเชียวนะ?”
เหยียนอู๋อวี้ถือพระราชโองการในมือกวัดแกว่งไปมา พลางเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “สิ่งนี้คืออันใด?”
ดวงตาของถงซวงเอ๋อร์เต็มไปด้วยอารมณ์ริษยาและโกรธเคือง นางพูดจาแบบไม่คิดออกไป “เหยียนอู๋อวี้ เ้าคิดหรือว่าเ้าจะถือดีเช่นนี้ได้ถึงเมื่อใด? พระสนมซูเฟยทรงยังมิได้เอ่ยปาก รอเ้ารอดชีวิตจากเงื้อมมือพระสนมซูเฟยก่อนแล้วค่อยอวดดีก็ยังไม่สาย!”
เหยียนอู๋อวี้เงยหน้าแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถงซิ่วหนี่ว์ ให้ร้ายพระสนมซูเฟยอาจต้องโทษปะา”
“ข้าให้ร้ายพระสนมั้แ่เมื่อใด?!”
“โอ้? แล้วเมื่อครู่ผู้ใดเอ่ยอย่างมั่นใจว่าพระสนมซูเฟยจะทำร้ายสนมในตำหนักหลังกัน?”
“เหยียนอู๋อวี้เ้าอย่าคิดใส่ร้ายผู้อื่น บิดเบือนความจริง!” ถงซิ่วหนี่ว์ทั้งร้อนใจทั้งเดือดดาล นางกุมหน้าอกรีบเอ่ยแก้ตัว
เหยียนอู๋อวี้กอดพระราชโองการไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทีที่ยังคงอ่อนแอนุ่มนิ่มไม่แสดงท่าทีขุ่นเคืองอันใด กระทั่งยังกล่าวปลอบใจนางเสียงอ่อนว่า “ข้ารู้ว่าถงซิ่วหนี่ว์เพียงเอ่ยวาจาโดยมิได้ตั้งใจ ทุกคนต่างเป็พี่สาวน้องสาวกันทั้งนั้น ข้าจะไม่แพร่งพรายเื่นี้ออกไป”
นางเอ่ยวาจาอย่างสุภาพ ทว่าถงซวงเอ๋อร์กลับไม่คิดรับน้ำใจ นางกำลังจะเอ่ยตอกกลับไปอีกครั้งทว่ากลับถูกซิ่วหนี่ว์อีกนางหนึ่งที่อยู่ด้านข้างปรามนางไว้ “ซวงเอ๋อร์ หยุดพูดได้แล้ว”
“เหตุใดข้าจะพูดไม่ได้? พวกเ้ากลัวนาง แต่ข้าไม่กลัว!”
เห็นได้ชัดว่าซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นไม่คาดคิดว่าถงซวงเอ๋อร์จะไม่รู้จักสถานการณ์เช่นนี้ นางจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากเอ่ยกระซิบ “เซวียซิ่วหนี่ว์”
ถงซวงเอ๋อร์ได้ยินถึงกับหน้าถอดสี เพียงแค่คืนเดียว กลิ่นคาวเืในเรือนหลินหลางยังไม่ทันจางหายไป ผู้ใดจะลืมได้ลง? นางทั้งใทั้งหวาดกลัว รีบสะบัดมือเนี่ยเจินออกอย่างขุ่นเคืองพลางหมุนกายเดินกลับเข้าไปในห้อง
เหยียนอู๋อวี้อดที่จะมองซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นคราหนึ่งมิได้ นางค่อนข้างประทับใจเนี่ยเจินบุตรสาวของจงเจิ้งซื่อชิง[1]ยิ่งนัก
เนี่ยเจินมิได้ขุ่นเคืองอันใด นางถอนสายบัวให้เหยียนอู๋อวี้อย่างสุภาพแล้วกลับเข้าไปในห้อง คนที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นเช่นนี้จึงแยกย้ายกันไป
“พวกเ้าตามข้าเข้ามาเถิด” วันนี้สุขภาพนางไม่ได้ดีกว่าเดิมนัก ยืนได้ไม่เท่าไรก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว นางจับมือป้าโฉ่วอย่างไร้เรี่ยวแรงพลางหันหลังกลับมาเอ่ยกับคนจากวังหลวงทั้งสาม
ป้าโฉ่วรู้สึกเครียดยิ่งนัก สุขภาพของเหยียนอู๋อวี้ในปัจจุบันย่ำแย่อย่างยิ่ง ภายนอกดูสดใสร่าเริง ทว่าภายในกลับเริ่มเน่าเปื่อย หากเป็เช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ใช่แผนการที่ดีอย่างแน่นอน นางรู้ดี ทว่าไร้แรงยับยั้ง ทำได้เพียงคอยดูแลอย่างสุดความสามารถ
เหยียนอู๋อวี้นั่งพิงขอบโต๊ะพลางกวาดสายตามองพวกเขาสามคน ป้าโฉ่วเอ่ยปากถามทันที “พวกเ้ามีนามว่าอันใดกันบ้าง เมื่อก่อนรับใช้ที่ใด?”
ขันทีน้อยด้านข้างมีสายตาเฉียบคมที่สุดรีบคุกเข่าพลางเอ่ยว่า “บ่าวนามหยางหลิน เพิ่งเข้าวังมาไม่นานขอรับ แต่เดิมบ่าวเคยรับใช้ในซือหลี่เจียน[2] วันนี้โชคดีได้รับเลือกให้มารับใช้คุณหนูขอรับ”
“บ่าวนามซูอิ่ง เดิมเป็นางกำนัลรับผิดชอบงานหยาบทั่วไปของพระสนมเต๋อเฟยในตำหนักเยถิงเ้าค่ะ”
พระสนมเต๋อเฟยผู้นี้เดิมทีเป็นางกำนัลคนสนิทของเฮ่อไทเฮา นางรับใช้ซ่งอี้เฉินมาั้แ่เล็ก จึงมีอายุมากกว่าเล็กน้อย แม้นางจะนั่งอยู่ในตำแหน่งพระสนม ทว่านางละทางโลกมานานแล้ว ยามนี้นางมุ่งมั่นอยู่แต่กับการสวดมนต์เพียงเท่านั้น
เหยียนอู๋อวี้ยกฝาถ้วยชาขึ้นพลางค่อยๆ หยิบใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำขึ้นมา นางกำนัลอีกคนรีบเปิดปากพูด “บ่าวนามหรูอิน ก่อนหน้านี้รับใช้อยู่ในฝ่ายห้องเครื่องเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ให้นางกำนัลทั้งสองคนออกไปแล้วจึงค่อยๆ กางพระราชโองการออกมา
ตำหนักเฟิ่งชัยเป็หนึ่งในหกตำหนักของเมืองหลวง สถานที่ที่พระราชทานให้นางคือวังอีหลวน นางมีฐานะเป็นายหญิงและมีสิทธิ์อำนาจเด็ดขาดในวังนั้น
นอกจากนี้ในตำหนักทั้งหก ยังมีพระสนมเต๋อเฟยหลินหว่านหรงจากตำหนักเยถิง พระสนมซูเฟย ฮวารั่วซีจากตำหนักอวี้ซิ่ว สนมลี่เจาอี๋[3] เซียวซิ่งเซวี่ยจากตำหนักอีเฉิง สนมซินเจาอี๋ เฉินหานเตี๋ยจากตำหนักผูซี และสนมเหลียงเจาอี๋ ลู่จื่อจากตำหนักถางหง
แต่ละนางล้วนมีลำดับขั้นสูงกว่านาง นางมีดีอันใดถึงได้เป็นายหญิงและมีสิทธิ์อำนาจในวังของตนเอง?
เพียงแค่ให้นางเป็เป้าธนู ้าใช้นางกำบังผู้ใดกัน?
ก็คงมีเพียงแค่คนคนนั้น
นางปิดพระราชโองการ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเ็า
ดียิ่ง แม้จะคลาดเคลื่อนจากที่นางคาดการณ์ไว้บ้าง ทว่าดูผิวเผินแล้วมิได้ต่างกันมากนัก นางกำลังจะไปถึงตำแหน่งที่ตนเอง้าในไม่ช้า
......
ไม่นานพวกเขาก็เข้าไปในวังอีหลวน เหยียนอู๋อวี้มีข้าวของไม่มากนัก มีเพียงเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแค่ไม่กี่ชิ้น
พวกนางเพิ่งมาถึงวังได้ไม่นานก็มีคนมาเยี่ยมเยียนเสียแล้ว
เป็เหลียนหง นางกำนัลข้างกายพระสนมซูเฟยนั่นเอง
แม้เหลียนหงจะเรียกได้ว่าไม่ใช่คนสนิทของพระสนมซูเฟย ทว่าในตำหนักแห่งนี้ ขอเพียงได้อยู่ข้างกายพระสนมซูเฟยก็ถือว่ามีหน้ามีตาใหญ่โตมากแล้ว ดังนั้นเหลียนหงจึงมิได้เกรงอกเกรงใจเหยียนอู๋อวี้มากนัก นางเชิดคางพลางกล่าวว่า “พระสนมของเราชื่นชมความงามอันเป็ที่สุดในแผ่นดินของสนมเหยียนมานานแล้ว วันนี้ได้พบสนมเหยียน เห็นจะเป็จริงดังคาด”
เหยียนอู๋อวี้รีบแสดงท่าทางประหลาดใจจากการได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันพร้อมเอ่ยเอาใจว่า “พระสนมซูเฟยชมเกินไปแล้ว อู๋อวี้อ่อนแอคล้ายต้นหลิวเหี่ยวเฉายามใกล้สารทฤดู ไหนเลยจะเทียบกับรูปลักษณ์ดั่งบุปผางามสะท้อนผืนน้ำของพระสนมได้”
“พระสนมชื่นชอบสนมเหยียนมานานแล้ว หลังจากทราบข่าวว่าท่านเข้ามาดูแลตำหนักเฟิ่งชัยจึงได้ส่งหม่อมฉันมามอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านเ้าค่ะ” เหลียนหงยื่นกล่องที่ถือไว้ในมือให้ป้าโฉ่วที่คอยยืนรับใช้อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง “นี่คือชายอดอ่อนใบม่วงจากเขากู้จู่ซึ่งเป็บรรณาการจากเมืองหูโจว ฤดูนี้พระสนมของเราได้รับมาทั้งหมดห้าชั่ง พระสนมทำใจดื่มไม่ลง ยามนี้ทั้งหมดนั้นอยู่ที่นี่แล้วเ้าค่ะ”
“ขอบคุณพระสนมซูเฟยมากสำหรับความรักและความห่วงใยอันลึกซึ้ง รอให้ข้าจัดการทางนี้เรียบร้อยดีแล้ว ข้าจะไปกล่าวขอบคุณพระสนมถึงตำหนักด้วยตนเอง” เหยียนอู๋อวี้รีบลุกขึ้นยืนกล่าวขอบคุณพร้อมถอดกำไลข้อมือยัดใส่มือเหลียนหง “น้ำใจเล็กน้อย ท่านป้าโปรดอย่างรังเกียจเลยนะ”
“พระสนมกล่าวแล้วว่าจะปฏิบัติต่อท่านอย่างจริงใจ ไม่จำเป็ต้องกล่าวขอบคุณอันใดเ้าค่ะ” เหลียนหงกวาดสายตามองกำไลคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคุณภาพไม่เลวสีหน้าจึงอ่อนลงเล็กน้อย ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวต่ออีกว่า “หากสนมเหยียนมีใจ หากในอนาคตได้ดิบได้ดี อย่าได้ลืมพระสนมของเรานะเ้าคะ”
เหยียนอู๋อวี้ย่อมตอบรับอย่างแน่นอน “พระสนมลดตัวลงมาดีกับข้าถึงเพียงนี้ อู๋อวี้ไม่กล้าลืมแน่”
หลังจากส่งเหลียนหงไปแล้วนางจึงกวาดตามองกล่องบนโต๊ะพลางเอ่ยถามเสียงเบา “ป้าโฉ่ว พิษร้ายแรงที่สุดในโลกจะปกป้องข้าได้หรือไม่?”
ได้ยินเช่นนี้ป้าโฉ่วพลันหน้าเปลี่ยนสี
เหยียนอู๋อวี้ยกยิ้มมุมปาก ใบหน้างดงามดุจดังดอกไม้ไฟเจิดจ้า “คนตายย่อมไม่กลัวตาย”
เชิงอรรถ
[1] จงเจิ้งซื่อชิง เป็ตำแหน่งขุนนางในราชวงศ์ถัง รับผิดชอบด้านกิจการของราชวงศ์ จัดการลำดับวงศ์ตระกูลของราชวงศ์ และพระญาติ และปกป้องสุสานของราชวงศ์
[2] ซือหลี่เจียน คือ สำนักขันทีฝ่ายพิธีการ รับผิดชอบงานเอกสารราชการ
[3] เจาอี๋ เป็ตำแหน่งของสนมในวังหลวง ลำดับขั้นต่ำกว่าพระสนม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้