คนโบราณเขาว่า “โกรธง่าย หายเร็ว” คือนิสัยของเด็ก แต่สำหรับเด็กหญิงอาวรรณ ชั้น ป.5/2 คนนี้... “โกรธง่าย หายยาก(มาก)” น่าจะเป็คำจำกัดความที่ถูกต้องกว่า
หลังจากเหตุการณ์ที่เราเริ่มไปนั่งเล่นหลังห้องด้วยกัน ความสัมพันธ์ของฉันกับมอสก็ดูเหมือนจะดีขึ้น... ในระดับหนึ่ง คือเราคุยกันมากขึ้น แบ่งขนมกันกินบ้าง (ส่วนใหญ่เขาแย่งฉัน) แต่ในใจลึกๆ ของฉัน มันยังมี “ตอ” เล็กๆ ฝังอยู่
เื่ ‘ช็อกโกบอล’ วันนั้นนั่นแหละ
ถึงปากจะบอกว่าช่างมันเถอะ แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาเดินเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ภาพที่เขาแย่งซื้อตัดหน้าฉันไปมันก็ยังตามมาหลอน ยิ่งคิดก็ยิ่งหมั่นไส้ ยิ่งหมั่นไส้ก็ยิ่งอยากจะหาเื่
บ่ายวันศุกร์ คาบสุดท้ายก่อนกลับบ้าน เป็วิชาลูกเสือ-เนตรนารี พวกเราอยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ อากาศร้อนอบอ้าวทำให้ผ้าพันคอสีเหลืองที่ผูกเงื่อนพิรอดไว้อย่างดิบดีเริ่มชุ่มเหงื่อ
ฉันนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโต๊ะเรียน รอครูปล่อยเลิกชั้น พลางใช้สมุดพัดวีให้ตัวเองไปพลางๆ ส่วนมอส... หายหัวไปไหนไม่รู้ั้แ่พักเบรกย่อย คาดว่าคงไปเตะบอลโกลรูหนูหลังตึกกับพวกแก๊งผู้ชาย แล้วกลับมาไม่ทันเข้าห้อง
“ไอ้คนไม่รักษาเวลา...” ฉันบ่นพึมพำในใจ
แต่แล้ว จู่ๆ ประตูห้องเรียนก็เปิดออก ร่างสูงโปร่งในชุดลูกเสือสีกากี (ที่ชายเสื้อหลุดลุ่ยตามสูตร) เดินหอบแฮ่กๆ เข้ามาในห้อง เขาไม่ได้เดินไปที่โต๊ะตัวเอง แต่เดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะของฉัน
เพื่อนในห้องเริ่มหันมามองอย่างสนใจ ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาขวางๆ “มองอะไร เดี๋ยวฟ้องครูนะว่าโดดเรียน”
มอสไม่ตอบโต้ เขาแค่ยืนหอบหายใจ เอามือปาดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตุงๆ ของเขา
แกร๊บ...
เสียงถุงพลาสติกดังขึ้นเบาๆ เขาดึงอะไรบางอย่างออกมา แล้ววางมันลงบนโต๊ะเรียนตรงหน้าฉันดัง ปุ้บ!
ฉันก้มมองสิ่งนั้น... แล้วต้องเบิกตากว้าง
มันคือ ช็อกโกบอล ขนมปังเคลือบช็อกโกแลตห่อสีแดงเพลิง ยี่ห้อเดียวกับที่เป็ชนวนาเมื่อวันก่อนเป๊ะๆ และที่สำคัญ... มันไม่ได้มีแค่ห่อเดียว แต่มันมีถึง สองห่อ
ฉันเงยหน้ามองมอสอย่างไม่เข้าใจ “อะไร?”
เขายกมือเกาท้ายทอย แก้เขิน สายตาลอกแลกมองไปทางอื่น “ก็... ซื้อมาให้”
“ซื้อมาทำไม?” ฉันถามเสียงแข็ง ทั้งที่ใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ
“ก็...” เขาอึกอัก “ก็วันนั้นแย่งกินไปแล้ว... วันนี้เลยซื้อมาคืน ไง” เขาพูดรัวเร็วเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง แล้วดันห่อขนมทั้งสองห่อมาให้ชิดตัวฉันมากขึ้น “เอ้า เอาไปดิ... ถือว่าหายกันนะเื่วันนั้นอะ”
วินาทีนั้น ความรู้สึกในใจของเด็กหญิงอาวรรณมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ใจหนึ่งก็ดีใจ... เฮ้ย เขาจำได้ด้วยแฮะว่าฉันอยากกิน อีกใจหนึ่งก็ระแวง... มันใส่ยาถ่ายรึเปล่าวะ แต่อีกใจหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดคือ ‘ศักดิ์ศรี’
ฉันในตอนนั้นเป็เด็กฟอร์มจัด (มาก) จะให้มารับของง้อกันง่ายๆ แค่นี้เหรอ? ฝันไปเถอะ!
“ไม่เอา!” ฉันผลักขนมคืนไป “ใครอยากกิน ฉันไม่ได้อยากกินซะหน่อย”
มอสทำหน้าเหวอ “อ้าว... ก็วันนั้นเห็นอยากกินจนจะร้องไห้”
“ไม่ได้จะร้องไห้เว้ย! แค่เจ็บใจ!” ฉันเถียงข้างๆ คูๆ “แล้วอีกอย่าง ฉันไม่รับของใครฟรีๆ โดยเฉพาะของนาย เดี๋ยวบุญคุณท่วมหัว”
“โอ๊ยยย ยัยบ้า คิดเยอะจังวะ!” มอสเริ่มหงุดหงิด “ก็แค่ขนมเอง กินๆ ไปเหอะน่า อุตส่าห์วิ่งไปซื้อที่สหกรณ์มาเนี่ย เหลือสองห่อสุดท้ายพอดีเลยนะเว้ย”
ประโยคนั้นทำเอาฉันชะงัก ‘วิ่งไปซื้อมา... เหลือสองห่อสุดท้าย’
ภาพในหัวของฉันจินตนาการเห็นเขา... เด็กผู้ชายที่ปกติไม่เคยสนใจใคร ต้องรีบวิ่งหน้าตั้งจากสนามบอลไปที่ร้านป้าสมร แย่งเบียดกับคนอื่นเพื่อซื้อไอ้นี่มาให้ฉัน...
กำแพงทิฐิในใจเริ่มร้าว แต่ปากมันยังแข็งอยู่
“ไม่กินก็คือไม่กิน!” ฉันยืนกราน แล้วลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ “เดี๋ยวมา!”
“เฮ้ย จะไปไหนอะ!” มอสตระโกนไล่หลัง
ฉันไม่ตอบ วิ่งออกจากห้องเรียน ลงบันไดตึกไปอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือ... ร้านป้าสมร
ฉันวิ่งไปถึงหน้าร้าน หอบแฮ่กๆ “ป้าสมรคะ! ช็อกโกบอลเหลือไหมคะ!”
ป้าสมรเงยหน้ามอง ทำหน้างงๆ “หมดแล้วลูก... เมื่อกี้ไอ้มอสมันเพิ่งมาเหมาสองห่อสุดท้ายไป... หนูมาช้าไปก้าวนึงอีกแล้วนะ”
ฉันยืนนิ่งอยู่หน้าตะแกรงเหล็ก... หมดแล้ว... เขาซื้อมาให้ฉันหมดแล้วจริงๆ
ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านไปทั่วอก เขาไม่ได้ซื้อมาแบ่ง เขาซื้อมา “ให้” ทั้งหมดที่มี
ฉันยืนเม้มปากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นขนมอีกอย่างที่วางอยู่ข้างๆ ขนมปังไส้สังขยา ห่อสีเขียว ราคาเท่ากัน ฉันตัดสินใจควักเหรียญสิบบาทออกมา “ป้าคะ... เอาสังขยามาสองห่อค่ะ!”
...
ห้านาทีต่อมา ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องเรียน มอสยังนั่งอยู่ที่โต๊ะฉัน ทำหน้าเซ็งโลก เขากำลังจะแกะห่อช็อกโกบอลห่อหนึ่งกินเอง
“หยุด!” ฉันะโห้าม
เขาชะงัก เงยหน้ามอง “อะไรอีกเล่า ก็บอกไม่เอา เราก็จะกินเองดิ เสียดายของ”
ฉันเดินดุ่มๆ เข้าไปหา วางถุงขนมปังไส้สังขยาสองห่อลงบนโต๊ะ ดัง ปัง! ข้างๆ ช็อกโกบอลของเขา
“นี่!” ฉันพูดเสียงดังฟังชัด
มอสมองขนมปังสีเขียวสลับกับหน้าฉัน “สังขยา?”
“ใช่” ฉันกอดอก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฉันไม่ชอบติดหนี้ใคร นายซื้อช็อกโกบอลมาคืนฉัน ฉันก็ซื้อสังขยามาคืนนาย... ราคาเท่ากัน ถือว่าเจ๊ากัน!”
มอสนิ่งอึ้งไปสามวินาที ก่อนจะค่อยๆ หลุดขำออกมา “ฮ่าๆๆๆๆ โอ๊ยยยย อา... เธอนี่มัน...”
เขาหัวเราะจนตัวงอ น้ำตาเล็ด “ลงทุนวิ่งลงไปซื้อเพื่อจะบอกว่า ‘เจ๊ากัน’ เนี่ยนะ? ยอมใจเลยว่ะ”
“ขำอะไร! ไม่กินเหรอ! ไม่กินเอาคืนมา!” ฉันหน้าแดงแปร๊ด ทำท่าจะคว้าขนมคืน
“กินๆๆๆ กินคร้าบบบบ” เขารีบตะปบขนมไว้ “ของฟรีใครจะไม่กิน”
เขายิ้ม... รอยยิ้มคราวนี้ไม่มีแววเยาะเย้ยเหมือนวันนั้น แต่เป็รอยยิ้มกว้างๆ ที่ดูสดใสและจริงใจอย่างประหลาด
“งั้น...” เขาหยิบช็อกโกบอลห่อหนึ่งยื่นให้ฉัน “แลกกัน อันนี้ของเธอ” แล้วเขาก็หยิบสังขยาไปห่อหนึ่ง “อันนี้ของเรา”
เราสองคนนั่งลงข้างๆ กันที่โต๊ะเรียน แกะห่อขนมกินกันเงียบๆ ฉันกัดช็อกโกบอลคำแรก... รสชาติของช็อกโกแลตราคาถูกที่หวานเลี่ยน แต่วันนี้มันกลับอร่อยล้ำอย่างบอกไม่ถูก ส่วนมอสกัดขนมปังไส้สังขยา เคี้ยวตุ้ยๆ
“อร่อยปะ” เขาถามทั้งที่ขนมเต็มปาก
“ก็งั้นๆ แหละ” ฉันตอบฟอร์มจัด “ของนายล่ะ”
“อร่อยว่ะ” เขาตอบทันที “สงสัยเพราะมีคนเลี้ยง”
ฉันแอบยิ้มมุมปากโดยไม่ให้เขาเห็น ความขุ่นเคืองเื่ ‘ยัยเตี้ยขาสั้น’ หายวับไปกับขนมคำนั้น กำแพงความเป็ศัตรูพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
ในวัย 35 ปี เมื่อฉันมองย้อนกลับไป ขนมราคาห้าบาทสองห่อนั้น มันไม่ใช่แค่ของกินเล่น แต่มันคือ “ธงขาว” ที่เราต่างคนต่างโบกให้กัน
และมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คำว่า “เรา” ไม่ได้หมายถึง ฉันกับศัตรู อีกต่อไป แต่หมายถึง ฉันกับมอส... เพื่อนสนิท (ที่คิดไม่ซื่อ) ประจำห้อง ป.5/2 ต่างหาก.
