คิดจะร่วมมือกับนายน้อยแห่งวาณิชใหญ่สกุลเมิ่งผู้นั้นโดยอาศัยแค่กระเป๋าสะพายหลังใบเดียว? นางจะไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่
เหลียนเซวียนอมยิ้ม
"ท่านอย่านึกว่าข้าทำเป็แค่กระเป๋าแบบนี้ ของที่ข้าทำเป็ยังมีอีกมาก ทั้งกระเป๋าสะพาย กระเป๋าถือ กระเป๋าคาดอก กระเป๋าคาดแบบสายคู่ กระเป๋าใส่เครื่องประทินผิว อืม... เอาเป็ว่าเยอะก็แล้วกัน อีกอย่างก็ไม่แน่ว่าต้องร่วมมืออะไร ข้าแค่วาดแบบโครงสร้างขายให้เขาก็ใช้ได้แล้ว"
"อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่แคว้นหลีไม่นาน ขายให้กับพวกเขาไปไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันเกินไป ตอนนี้พวกเรากำลัง้าเงิน มีเงินก็รักษาตาของท่านให้หายได้ แล้วค่อยหาทางถอนพิษจากร่างกายของท่านให้หมด ต่อไปการเดินทางของพวกเราจะได้สะดวกขึ้น หากพบกับโจรป่าอะไรนั่นอีก ข้าเชื่อว่าท่านคนเดียวจัดการพวกเขาทั้งหมดได้แน่"
เซวียเสี่ยวหรั่นตื่นเต้นมาก หากเหลียนเซวียนหายดี ต่อให้เจอโจรป่าระหว่างทาง เธอก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
เธอคาดหวังกับความสามารถของเหลียนเซวียนสูงทีเดียว
ยามอยู่ในป่าทั้งที่ร่างกายอ่อนแอขนาดนั้น ยังสามารถจัดการกับหมีร้ายด้วยอาวุธลับเพียงดอกเดียว ถ้าเขาหายโดยสมบูรณ์ จะต้องเป็คนที่น่าทึ่งมากแน่นอน
เซวียเสี่ยวหรั่นคิดแล้วก็รู้สึกตื่นเต้น
จอมยุทธ์ที่สามารถเหินฟ้าดำดินได้ จัดการโจรป่ากลุ่มเดียวย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรง ฮ่าๆ
แม้เขาจะไม่ใช่จอมยุทธ์ แต่ในใจของเซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังรู้สึกว่าคนมีความสามารถสูงส่งและแข็งแกร่งเช่นนี้ หากไม่ใช่จอมยุทธ์ก็ต้องเหนือกว่า
เหลียนเซวียนมุมปากกระตุก นางไปเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากไหน นึกว่าเขาคนเดียวจะสามารถจัดการโจรูเาหลายร้อยคนพร้อมกันได้หรือ
เขายอมรับ แม้ร่างกายจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ยามเผชิญหน้ากับโจรป่าหลายร้อยคน ถ้าไม่มีความมั่นใจเขาก็ถอยเหมือนกัน
ใครจะโง่ออกไปลุยกับโจรป่านับร้อยตัวคนเดียว วิธีกำจัดโจรมีมากมายถมไป
แต่แค่นางอยากให้เขากลับมาแข็งแรงก็มีน้ำใจมากแล้ว
"เ้าคิดว่าจะได้หรือ" เขาถามเสียงเบา
เขาไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกับพวกพ่อค้า สินทรัพย์และกิจการในนามของเขามากมาย ล้วนมีคนดูแลให้โดยเฉพาะ ไม่ต้องให้เขาเป็กังวล
การค้าอันใดเขาไม่เคยเข้าไปยุ่ง
"ได้สิ ข้าจะไปคุยกับเขาว่ากิจการค้ากระเป๋าของบ้านเมืองเราเฟื่องฟูมาก กระเป๋าใหญ่เล็กมีทุกรูปแบบ สีสันหลากหลาย แม่นางคนไหนล้วนมีกระเป๋าในมือมากมายกันทั้งนั้น"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงคำพูดของดาราบางคน อารมณ์ดีต้องซื้อกระเป๋า อารมณ์เสียยิ่งต้องซื้อกระเป๋า
กระเป๋าฮอตฮิตติดเทรนด์แค่ไหนก็ดูเอาแล้วกัน
แม้ว่าที่นี่จะเป็โลกของผู้คนที่มักทำงานฝีมือด้วยตนเอง แต่ก็ต้องมีคนที่ฝีมือไม่ดี หรือคนร่ำรวยที่้าซื้อของแปลกใหม่
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่ากิจการขายกระเป๋าน่าจะทำเงินได้อยู่
นางเอ่ยถึงที่นั่นอีกแล้ว เหลียนเซวียนก็หันมามอง แต่คราวนี้นางกลับไม่เฉไฉแชเชือน
"แฮ่ม ท่านลองคิดดู คนของพวกท่านที่นี่ยามออกเดินทางก็จะใช้ห่อผ้าหรือไม่ก็หีบหวาย อย่างแรกประโยชน์ใช้สอยจำกัด อย่างหลังก็หนักมาก ส่วนกระเป๋าสะพายหลังของเรา ทั้งสะดวกสบายและเบามาก สามารถใส่สัมภาระได้เต็มที่ ถ้าท่านออกเดินทางจะอยากใช้แบบไหนล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นพูดล้างสมองของเขาต่อไป
เหลียนเซวียนตรองดู ก็รู้สึกว่าคำพูดของนางมีเหตุผล
"ยามเหล่าสตรีออกจากบ้านก็เหมือนกัน ถุงผ้านอกจากใส่เงินก็ใส่ของจุกจิกอย่างอื่นล้วนลำบาก หากมีกระเป๋าสะพายหรือกระเป๋าถือใบเล็กสักใบ ที่สามารถใส่ของได้บ้างยามออกจากบ้าน ทั้งสะดวกสบาย ใช้เป็เครื่องประดับก็ได้ สตรีส่วนใหญ่ล้วนชมชอบ"
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น หากเมิ่งเฉิงเจ๋อไม่ร่วมมือหรือไม่ซื้อแบบจากเธอ ต่อไปค่อยเปิดร้านกระเป๋าของตัวเองก็ได้
ได้ยินนางพูดมาแต่ละอย่าง เหลียนเซวียนก็รู้สึกทึ่งจนต้องมองนางใหม่อีกครา
"เ้าคิดจะทำอย่างไร"
"อืม รอก่อน ดูว่านายน้อยสกุลเมิ่งผู้นั้นจะปราดเปรื่องสามารถ มีหัวการค้าสมคำร่ำลือหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ เธอจะไม่เข้าไปหาผู้อื่น ต้องวางมาดหน่อย รอให้คนมาเชิญ
เหลียนเซวียนอมยิ้ม หนวดเคราเริ่มกระดิก "ไม่เลว ไม่เลว รู้จักแสร้งถอยเพื่อรุก"
"มันแน่อยู่แล้ว ข้าฉลาดจะตาย" เซวียเสี่ยวหรั่นแค่นเสียงหึใส่เขาเบาๆ "ข้าจะไปทำอาหาร อาเหลย อยู่กับเหลียนเซวียนดีๆ ล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปทำของอร่อยมาให้กิน"
เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้น วิ่งไปหยิบวัตถุดิบอาหารที่ซื้อมาตุนไว้บนรถม้าเมื่อวาน
พวกเขามีแต่หม้อดิน ผัดผักอะไรอย่านึกฝัน แค่ตุ๋นน้ำแกง เคี่ยวโจ๊กได้ก็ไม่เลวแล้ว
ดังนั้นเซวียเสี่ยวหรั่นจึงได้แต่ทำโจ๊กเหมือนเดิม
เธอให้อูหลันฮวาซื้อกระดูกมาไม่น้อย สับมาเรียบร้อยแล้ว ใส่อยู่ในตะกร้า อากาศไม่นับว่าร้อนมาก เก็บไว้สามวันก็ไม่มีปัญหา
ท้ายขบวนรถ ผู้คนจำนวนมากต่างกำลังยุ่งอยู่กับมื้อกลางวัน คนจำนวนไม่น้อยต่างรวมตัวกันพูดคุยกระซิบกระซาบเกี่ยวกับเื่น่าตื่นตระหนกที่เพิ่งเผชิญมาก่อนหน้านี้
ทางคาราวานวาณิชส่งผู้คุ้มกันมาขนย้ายก้อนหินที่ปิดช่องเขาไว้ออกไป
ขบวนพ่อค้าไม่เคลื่อนที่ ขบวนรถของพวกเขาย่อมไม่ไปไหน ใครจะรู้ว่าด้านหน้ายังมีโจรป่าซุ่มโจมตีอยู่หรือไม่
ติดตามคาราวานวาณิชสกุลเมิ่ง ยังมีขบวนรับหน้า หากใครไปเองก็คงจะเบื่อโลกเต็มทน
หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ มีคนวิ่งไปสอบถามสถานการณ์กับทางโน้น
จึงรู้ว่าพวกเขารอให้ทางการมาจัดการส่วนที่เหลือ ดังนั้นจึงต้องเลื่อนการเดินทางออกไป
ทุกคนค่อยๆ สงบลง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เ้าหน้าที่ทางการก็มา
ผลก็คือทั้งตรวจสอบ ทั้งสอบปากคำ ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม
กว่าคาราวานจะเคลื่อนที่อีกครั้งดวงตะวันก็คล้อยต่ำใกล้ตกดิน
เมิ่งเฉิงเจ๋อไม่ได้ตามเธอไปพูดคุย เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่เร่งร้อน
เข้าไปนั่งในรถม้าของอูหลันฮวา วางผ้าปูเพิ่มเข้าไปอีกผืน ให้นางนั่งครึ่งหนึ่งพิงครึ่งหนึ่ง แผลจะได้ไม่ปริตอนรถสั่นะเื
อูหลันฮวากลับไม่ยินยอม "ต้าเหนียงจื่อ ผ้ายังต้องเอาไว้ปูนอน เอามานั่งเช่นนี้ไม่ดีกระมัง"
"ไม่เป็ไร ตอนนี้ร่างกายเ้าสำคัญที่สุด ถ้าแผลปริขึ้นมา ไม่ยิ่งยุ่งกันพอดีหรือ"
อูหลันฮวานั่งลงอย่างลังเล ตลอดทางก็นั่งอย่างไม่เป็สุข
"เฮ่อ นั่งให้สบายใจเถอะ รอให้ถึงเมืองถัดไปค่อยซื้ออีกผืนก็ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกจนใจ พยายามเกลี้ยกล่อม
อูหลันฮวายิ้มเจื่อน แท้จริงแล้วเธอเองใช้อะไรคลุมก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่อยากเอาผ้าห่มของต้าเหนียงจื่อมารองก้นของตนเอง
ในที่สุดขบวนวาณิชสกุลเมิ่งก็ไปหยุดอยู่นอกเมืองเล็กๆ ก่อนฟ้ามืด
เซวียเสี่ยวหรั่นจูงเซวียเสี่ยวเหล่ยเข้าเมืองไปซื้อของพร้อมกับซีอู่
เมืองไม่ใหญ่มาก ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รั้งอยู่นานเกินไป รีบซื้อของแล้วรีบออกมา
หลังกินโจ๊กไปสองมื้อ มื้อเย็นเซวียเสี่ยวหรั่นจึงหุงข้าวกินกับหมูตุ๋นและไก่ย่าง ทุกคนกินกันจนพุงกาง กำลังวังชาที่สูญเสียไปเมื่อตอนกลางวันต้องบำรุงกลับมา
ผ่านเหตุการณ์ชวนขวัญหนีดีฝ่อมาทั้งวัน ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด กินข้าวแล้ว แต่ละคนต่างรีบพักผ่อน
หลังจากซื้อผ้าห่มใหม่ อูหลันฮวาค่อยผ่อนคลายลงมาก นางกลัวว่ากลิ่นคาวเืของตนจะไปรบกวนต้าเหนียงจื่อ จึงเอาผ้าที่ใช้ปูนั่งมาห่มถึงหลับอย่างสบายใจ
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับไม่สบายใจนัก ภายในรถเดิมทีก็คับแคบ หากวางผ้าปูถึงสองผืนเธอก็แทบจะพลิกตัวไม่ได้
ผลก็คือเธอต้องนอนตัวแข็งอยู่ท่าเดียวทั้งคืน ตื่นเช้ามาจึงพบว่าตกหมอน
เอี้ยวศีรษะนิดเดียวก็เจ็บเจียนตาย เซวียเสี่ยวหรั่นต้องเดินคอแข็งลงจากรถอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
ให้ตายเถอะ ทำไมเธอถึงโชคร้ายแบบนี้
